บุตรอสูรบรรพกาล - ตอนที่ 189 ปัญหาตามหลัง
บุตรอสูรบรรพกาล บุตรอสูรบรรพกาล ตอนที่ 189 ปัญหาตามหลัง
ร่างของไป๋จูเหวินนั่งสมาธิอยู่ในถ้ำฝึกฝนมากว่า 3 อาทิตย์แล้ว มันไม่ได้ดื่มน้ำหรือกินอะไรเลยมาเป็นเวลานาน ตัวมันเพียงใช้งานเคล็ดโลหิตมังกรและร่างสถิตมังกรอย่างต่อเนื่องเพื่อเพิ่มพูนพลังวิญญาณอย่างตั้งใจ ทําให้พลังวิญญาณที่แต่เดิมชะงักค้างอยู่ระดับชําระกระดูกมาหลายเดือนเริ่มเพิ่มขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง จนยามนี้ไป๋จูเหวินก้าวเข้ามาในระดับชําระเส้นเอ็นขั้นที่ 5 แล้ว
“จูเอ๋อ ข้าเอาอาหารมาให้” พยัคฆ์อัสนีว่าพลางนําผลมท้อของต้นท้ออสูรเข้ามาในถ้ำฝึกวิชา แน่นอนว่าไป๋จูเหวินไม่ได้จําเป็นต้องกินอาหารแต่อย่างไร เพียงแต่การได้กินผลท้ออสูรนั้นสามารถช่วยเพิ่มพลังอสูรในร่างได้ แถมตลอด 3 อาทิตย์ที่ผ่านมาไป๋จูเหวินยังกินท้ออสูรพวกนี้ทุกวัน ทําให้พลังอสูรนั้นพัฒนาไปได้มากกว่าพลังวิญญาณเสียอีก ทําเอาไป๋จูเหวินกังวลว่าพลังวิญญาณจะไม่สามารถตามพลังอสูรไปได้ตลอดเลยหรือไม่
“ท่านน้า”ไป๋จูเหวินลืมตาขึ้นพลางมองไปทางพยัคฆ์อัสนี
“ข้าว่าถึงเวลาที่ข้าจะต้องออกจากถ้ำแล้วละ”ไป๋จูเหวินพูดจบก็ลุกขึ้นยืนช้าๆ มันอยู่ที่นี้มาเกือบเดือนแล้ว เมื่อรวมกับเวลาที่มันเดินทางไปหาต้าชิงต้าเฉินก็กินเวลาไปเดือนกว่าๆแล้ว ตัวมันไม่ได้ขออนุญาตหวงหลงออกมาบางที่ตอนนี้พวกมันอาจจะกําลังเป็นห่วงอยู่ก็ได้
“อย่างนั้นเหรอ” พยัคฆ์อัสนีพยักหน้าพลางเปิดประตูถ้ำฝึกฝนออก
“มาคราวนี้ข้าไม่ค่อยได้อยู่กับพวกท่านเลย”ไป๋จูเหิวนว่าพลางถอนหายใจออกมา อยู่ๆมันก็โดนจับเข้าถ้ำฝึกฝน เลยกลายเป็นว่ามันเอาแต่อยู่ในถ้ำไม่ได้ออกไปเจอพวกน้าๆเลย แน่นอนว่าพวกน้าๆเองก็อยากอยู่กับไป๋จูเหวินเช่นกัน แต่เพราะพวกมันตระหนักว่าไป๋จูเหวินยังต้องเพิ่มพลังฝีมืออีกมากเพื่อความปลอดภัยของตนเอง พวกมันเลยยอมเสียเวลาให้ไป๋จูเหวินได้ฝึกฝนพลังและช่วยกันดูแลพวกแมงมุมของไป๋จูเหวินอย่างเต็มที่แทน
“ไม่เป็นไร คราวหน้าเจ้าก็มาหาพวกเราอีกก็พอแล้ว” พยัคฆ์อัสนีว่าพลางยิ้มด้วยท่าทางใจดี แต่ภายในใจของมันนั้นกลับไม่ค่อยสบายใจนัก ไม่ทราบทําไมตัวมันถึงมีความรู้สึกประหลาดราวกับจะมีเรื่องร้ายเกิดขึ้น และพวกราชาตนอื่นๆก็คงรู้สึกเช่นเดียวกันจึงลงมือฝึกให้กับเหล่าแมงมุมของไป๋จูเหวินเช่นนี้
หลังจากออกมาจากถ้ำ ไป๋จูเหวินก็พาหงเยว่ที่อยู่ในปราสาทอยู่แล้วออกไปรับหลินหลินและพวกต้าชิงต้าเฉินที่อยู่ในเขตใกล้ๆ ก่อนจะพากันไปรับปิงปิงที่เทือกเขาเหมันต์จนครบคน แต่ก่อนจากไป๋จูเหวินก็ไม่ลืมที่จะขอแกะทองคําลับไปด้วย 6 ตัวโดยมัดด้วยใยแมงมุมแล้วนําขึ้นหลังของหลินหลินไป
การจากลาครั้งนี้ควรจะเป็นการจากลาที่ไม่มีอะไรแท้ๆ แต่ไม่ทราบทําไมท่าทีของพวกท่านน้าถึงดูกังวลนัก…
“ไป๋จูเหวิน” ระหว่างเดินทางกลับ อยู่ๆตรงหน้าของหลินหลินที่ทําหน้าที่พาหนะก็ปรากฏร่างของม้ามีปีกตัวหนึ่งบินเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว คนบนหลังของมันที่พึ่งตะโกนชื่อของไป๋จูเหวินออกมาก็เป็นคนที่คุ้นหน้ากันดี นางคืออาวุโส 7 แห่งกลุ่มนักล่าอสูรนั่นเอง
“ท่านอาวุโส มีเรื่องอะไรหรือ”ไป๋จูเหวินขมวดคิ้วพลางมองอาวุโส 7 ที่กระโดดลงมาบนหลังของหลินหลินด้วยความรีบร้อน
“เกิดเรื่องนะสิ”อาวุโส 7 ว่าพลางจับม้าของตนให้ลงมายีนบนหลังของหลินหลิน
“เรื่อง?” ไป๋จูเหวินขมวดคิ้วราวกับจะถามว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นงั้นหรือ
“มีคนจากอาณาจักรชเดินทางเข้ามาหาพวกเรา บอกว่ามีคนของเราไปทําลายกลุ่มนักล่าอสูรของพวกมันนะสิ แถมพวกมันยังระบุชื่อเจ้าอีกต่างหาก” อาวุโส 7 มีท่าที่ไม่สบายใจอย่างมาก เพราะคนที่มาแจ้งข่าวล้วนมีพลังสูงจนน่ากลัวทั้งสิ้น
“ตอนนี้พวกมันไม่ยอมกลับจนกว่าจะได้เจอเจ้า รีบกลับไปที่วังมังกรเถอะ” อาวุโส 7 พูดด้วยท่าที่เครียดจัดเพราะคนจากอาณาจักรชูมาด้วยท่าที่คุกคามอย่างมาก หากพวกมันอาลาวาดแม้แต่หวงหลงก็คงไม่อาจหยุดพวกมันได้
“ขอรับ ข้าเข้าใจแล้ว”ไป๋จูเหวินว่าพลางสั่งให้หลินหลินรีบเดินทางกลับเมืองร้อยแปดอสูรในทันที ท่าทางอาวุโส 7 จะเดินทางตามหาไป๋จูเหวินมาหลายวันแล้ว โชคดีที่นางเดาได้ว่าไป๋จูเหวินอาจจะอยู่ที่เขตอสูรผาไร้ก้นเลยมาตามตัวที่นี่
“กิ้ว…” เมื่อออกมาจากแขตอสูรผาไร้ก้นแล้ว ร่างของอสูรปักเป้าก็ลอยลงมาอยู่ข้างๆตัวไป๋จูเหวินในทันที เพราะมันแทบจะรออยู่นอกเขตมาตลอด
“ถ้าถึงเมืองร้อยแปดอสูรแล้ว เจ้าอย่าขยายร้างจะได้หรือไม่”ไป๋จูเหวินเห็นอสูรปักเป้าเข้าก็พลันนึกถึงสภาพเขตของกลุ่มนักล่าอสูรที่โดนอสูรปักเป้าคืนร่างใส่ขึ้นมาทันที
หากอสูรปักเป้าคืนร่างในเมืองขึ้นมามีหวังได้มีสภาพเหมือนเขตของกลุ่มนักล่าอสูรแห่งอาณาจักรชูแน่ๆ
“กิ้ว…”ไม่ทราบมันเข้าใจหรือไม่ แต่มันก็ส่งเสียงร้องกลับมาครั้งหนึ่ง
หมับ! ขณะลอยไปลอยมาอยู่ตรงหน้าไป๋จูเหวิน อยู่ๆ ปิงปิงก็จับอสูรปักเป้ามาไว้ในมืออย่างรวดเร็ว ก่อนจะมองอสูรปักเป้าอย่างสงสัย
แกร๊ก…น้ำแข็งค่อยๆลามออก จากมือของปิงปิงจนลามไปทั่วตัวอสูรปักเป้าจนราวกับมันกําลังโดนแช่แข็ง แน่นอนว่าอสูรปักเป้าที่เป็นอสูรระดับบรรพกาลไม่เป็นอะไรกับการแช่แข็งแค่นี้แน่ๆ แถมมันยังส่งตาแป๋วกลับมาให้ปิงปิงอีกต่างหาก
“อย่างน้อยก็คงไม่คืนร่างเล่นละนะ”ไป๋จูเหวินว่าพลางถอนหายใจออกมา อย่างน้อยอสูรปักเป้าก็ไม่โจมตีไป๋จูเหวินและพวกพ้องละนะ
“…” หลังจากเดินทางมาจนถึงเมืองร้อยแปดอสูร ในที่สุดไป๋จูเหวินก็เข้าใจความหวาดกลัวของอาวุโส 7 เสียที ภายในวังมังกรมีกลิ่นอายของผู้อยู่ระดับเทียนเซียนขั้นที่ 10 กว่า 7 คน จํานวนขนาดนี้ไม่มีทางรับศึกได้ทันเวลาแน่หากพวกมันคิดจะลงมือทําอะไร
“หัวหน้า นายน้อยกลับมาแล้วขอรับ” อาวุโสหน่วย 10 เข้าไปรายงานหวงหลงทันทีที่เห็นไป๋จูเหวินกลับมาแล้ว
“มันมาแล้วสินะ” ชายคนหนึ่งในห้องประชุมว่าพลางลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว ตัวมันรอไป๋จูเหวินกลับมานานมากแล้ว เรียกได้ว่าแทบจะหมดความอดทนแล้วก็ว่า
“เจ้าคือไป๋จูเหวินสินะ” ชายคนที่ลุกขึ้นก่อนหน้านี้ถามหลังจากเห็นไป๋จูเหวินเดินเข้ามาในวังมังกรแล้ว
“ถูกแล้วขอรับองค์ชาย” ชายอีกคนพูดพลางมองมาทางไป๋จูเหวินด้วยท่าทีข่มขู่ มันคือราชาอสูร ผู้โดนอสุรปักเป้าเล่นงานนั่นเอง การที่มันรอดมาได้จากการโจมตีของอสูรปักเป้าทําเอาไป๋จูเหวินประหลาดใจไม่น้อย แต่ถึงอย่างนั้นสภาพของมันก็ไม่ต่างจากตายเท่าไหร่เพราะทั่วทั้งร่างเต็มไปด้วยบาดแผลเหมือนโดนหอกแทง แถมขาขวาและแขนซ้ายยังหายไปแล้วอีกต่างหาก ยามนี้มันนั่งเก้าอี้สําหรับหามเช่นเดียวกับคนพิกาลไม่มีผิด
“เจ้ากล้าดียังไงบุกเข้ามาในอาราจักรของข้า และโจมตีกลุ่มนักล่าอสูรของข้า”คนที่ราชาอสูรเรียกว่าองค์ชายถามพลางเดินลงมาหาไป๋จูเหวินด้วยท่าที่หยิ่งผยอง มิน่าเล่าถึงมีคนระดับเทียนเซียนขั้นที่ 10 เยอะนัก เพราะองค์ชายเสด็จมาด้วยตนเองนี่เอง
“กราบเรียนองค์ชาย ข้าน้อยไม่ได้บุกเข้าไปแต่อย่างไร”ไป๋จูเหวินว่าพลางประสานมือคารวะอย่างนอบน้อม แม้จะเป็นองค์ชายจากต่างแดน ไป๋จูเหวินก็ยังต้องคารวะเพราะอาณาจักรของพวกมันยังสงบศึกกันอยู่
“ไม่ได้บุกเจ้าจะบอกว่าเขตของนักล่าอสูรระเบิดหายไปเองงั้นหรือ”องค์ชายจากอาณาจักรซูถามพลางมองไป๋จูเหวินอย่างเอาเรื่อง
“การที่เจ้าทําลายเขตของกลุ่มนนักล่าอสูรของอาณาจักรข้า มันก็เท่ากับการประกาศสงคราม เจ้าอยากให้ความสงบที่มาเนิ่นนานนี้หายไปหรืออย่างไร”ได้ยินดังนั้นไป๋จูเหวินก็ส่ายหน้าช้าๆ
“ไม่ขอรับ ข้าน้อยไม่ยากให้เกิดสงคราม และไม่ได้ทําลายเขตกลุ่มนักล่าอสูรของพวกท่านด้วย”ไป๋จูเหวินตอบพลางมองไปยังราชาอสูร
“เจ้าไม่ได้ทํา แล้วใครกันเล่าที่ทํา เจ้าจะบอกว่าเจ้าบังเอิญอยู่ที่นั่นตอนที่เกิดการระเบิดงั้นเหรอ”องค์ชายจากอาณาจักรชูถามเสียงเครียด
“ตอนนั้นข้าเพียงอยู่ในสถานการณ์เท่านั้น เหตที่ทําให้กลุ่มนักล่าอสูรของอาณาจักรท่านมีสภาพเช่นนั้นเพราะเหล่าอสูรของราชาอสูรต่างหาก”ไป๋จูเหวินตอบ เพราะคนที่ทําลายเมืองคือเหล่าอสูร มิใช่ตัวไป๋จูเหวินเสียหน่อย แถมอสูรส่วนใหญ่ที่อาลาวาดก็เป็นอสูรของราชาอสูรเองด้วย
“ หรือท่านจะบอกว่าตัวข้าที่อยู่ระดับชําระเส้นเอ็นจะมีพลังมากพอทําเรื่องเช่นนั้นขณะที่ราชาอสูรระดับเทียนเซียนอยู่ที่นั่นงั้นหรือ”ไป๋จูเหวินถามพลางมองไปที่ราชาอสูร
“กิ้ว…”ขณะราชาอสูรกําลังจะเถียง อยู่ต่อสูรปักเป้าก็ลอยออกมาพ้นแผ่นหลังของไป๋จูเหวิน ทําเอาราชาอสุรหน้าซีดเผือดรีบถีบพื้นถอยหนีในทันที
“…”ท่าทีตื่นตกใจจนเกินเหตุของราชาอสูรทําเอาคนทั้งห้องต่างแสดงสีหน้างุนงงออกมา
“เจ้าจงเล่าเหตุการณ์ในวันนั้นมาให้หมด ข้าจะเป็นผู้ตัดสินเองว่าเรื่องนี้เป็นความผิดของใคร”องค์ชายจากอาณาจักรชูว่าพลางนั่งลงที่เก้าอี้อีกครั้ง ท่าทางมันไม่ได้เหมือนคนที่จะมาพูดคุยด้วยสันติเสียเท่าไหร่เลย