บุตรอสูรบรรพกาล - ตอนที่ 198 มารครอบงํา
บุตรอสูรบรรพกาล ตอนที่ 198 มารครอบงํา
“เจ้านี้เหมือนเดิมไม่เปลี่ยนเลยนะ” หยงเวยว่าพลางมองหลินหลินที่กําลังนั่งเคี้ยวหยกที่ต้นสร้างขึ้นมาด้วยท่าทีดีอกดีใจ
“ขะ ข้ายังไม่ได้บอกว่าข้าไว้ใจท่านแล้วนะ” หลินหลินพูดพลางแยกเขี้ยวใส่หยงเวย แต่เพราะหลินหลินไม่ได้โจมตีหยงเวยแล้วปิงปิงเลยไม่ได้ทําอะไรไปด้วย
“ก็บอกแล้วไงว่าข้าขอโทษ” หยงเวยส่ายหัวพลางถอนหายใจออกมา
“พี่เวยไม่รู้หรอกว่าตอนนั้นข้าตกใจแค่ไหน” หลินหลินทําแก้มปองพลางมองค้อนหยงเวยเข้าอย่างจัง
“งั้นจะให้ข้าทําอะไรเจ้าถึงจะยกโทษให้ละ” หยงเวยถามด้วยสีหน้าลําบากใจ ก่อนที่มันจะโดนพลังมารเข้าครอบงำมันก็สนิทกับหลินหลินไม่น้อย แต่พอโดนพลังมารเข้าครอบงํามันก็ดันไปโจมตีหลินหลินเข้า แถมยังไม่ได้เจอหน้ากันอีกเลยจนตอนนี้ แต่มันก็รู้สึกโล่งใจที่ยังพอใช้อาหารล่อให้นางใจเย็นลงได้
“ไม่ พี่เวยเป็นคนไม่ดี ข้าไม่ไว้ใจพี่เวยแล้ว” หลินหลินว่าพลางกินหยกจากมือของคนที่นางไม่ไว้ใจอย่างอารมณ์ดี
“เอาเถอะ เจ้าไม่โจมตีข้าก็พอแล้ว” หยงเวยว่าพลางลูบหัวของหลินหลินอย่างเอ็นดู
กร้อป! ยังไม่ทันโดนตัวหลินหลินมือมรกตของมันก็โดนตัดขาดไปอีกรอบเสียแล้ว ท่าทางนางจะยังไม่ยอมให้มันแตะตัวเหมือนสมัยก่อนกระมัง
“เจ้านี้อย่าไปกัดใครมั่วซั่วเชียวนะ” หยงเวยมองมือมรกตที่มันสร้างขึ้นมาจากพลังมารด้วยสีหน้าซีดเผือด หากเป็นแขนคนธรรมดามีหวังขาดไปแล้วแน่ๆ แต่ถึงจะเป็นมือมรกตมันก็แตกไม่มีชิ้นดีอยู่ดี นับว่าโชคดีมากที่หยงเวยสามารถซ่อมมันได้ง่ายๆ
“พี่ชาย หอตําราไปทางไหนหรือ” ขระกําลังดูหลินหลินกินอาหารอยู่นั้น ที่หน้าประตูก็ปรากฏชายคนหนึ่งเดินเข้ามาในตัววัด มันเป็นชายวัยกลางคนที่ผอมและสูง แต่หยงเวยไม่มีพลังวิญญาณเช่นเดียวกับหลินหลินและปิงปิงที่มีแต่พลังอสูร พวกมันทั้ง 3 ไม่สามารถตรวจสอบได้ว่าอีกฝ่ายเป็นผู้มีพลังวิญญาณหรือไม่
“ข้าจะนําทางให้ท่านเองขอรับ” หยงเวยว่าพลางสังเกตอาการของหลินหลิน นางไม่มีปฏิกิริยาอะไรกับชายคนนั้น ท่าทางมันจะไม่ใช่อสูร และตัวมันก็ไม่มีกลิ่นอายพลังมารด้วยหยงเวยเลยวางใจได้
“ทางนี้ขอรับ”หยงเวยว่าพลางพาชายวัยกลางคนมาที่หอตําราของวัด ซึ่งเป็นเรื่องปกติอยู่แล้วที่จะมีคนเข้าวัดเพื่อศึกษาตําราธรรมมะ แม้จะมีไม่มากนักเพราะวัดอยู่ไกลจากเมืองพอสมควรก็ตาม
“ถ้าหาอะไรไม่เจอบอกข้าได้นะขอรับ ข้าจะหยิบมาให้ท่านเอง”หยงเวยตอบด้วยท่าที่สุภาพ เพราะตั้งแต่เข้ามาช่วยงานในวันหยงเวยก็ทําหน้าที่นําทางและทําความสะอาดหอตําราอยู่ตลอด แถมหยงเวยยังศึกษาตําราธรรมมะพวกนี้มาหมดแล้วด้วย ทําให้มันทราบหมดว่ามีตําราเล่มใดอยู่ตรงไหน
“ไม่ต้องหรอก ข้าเจอสิ่งที่ข้าต้องการแล้ว” ชายวัยกลางคนหยุดอยู่ตรงหน้ากําแพงว่างเปล่าแห่งหนึ่ง มันยกมือขึ้นไปจับกําแพงพลางเปิดกําแพงออกด้วยกําลังมหาศาล ท่าทางชายคนนี้จะไม่ใช่คนธรรมดาเสียแล้ว
ตูม! ทันทีที่ประตูเปิดออก ชายตรงหน้าหยงเวยก็เตะเข้าที่ร่างของหยงเวยอย่างจัง ด้วยกําลังมหาศาลระดับนี้สมควรคร่าชีวิตคนธรรมดาได้อย่างง่ายดายไปแล้ว แต่ไม่ใช่กับหยงเวย
ครืดด หยงเวยถอยออกมานิดหน่อยทําให้ชายที่กําลังเปิดกําแพงลวงตาออกตกใจไม่น้อย หยงเวยไม่มีพลังวิญญาณเลยแต่กลับสามารารถรับลูกเตะของมันโดยไม่สะดุ้งสะเทือนได้ มันย่อมไม่ใช่คนธรรมดาเสียแล้ว
“เจ้ามาเพื่อชิงตํารามารสินะ” หยงเวยว่าพลางมองภายในกําแพง หยงเวยที่สามารถสัมผัสพลังมารได้ทราบเรื่องตํารามารที่ถูกเก็บเอาไว้ในหอตําราอยู่แล้ว แต่ไม่นึกว่าจะมีคนคิดมาชิงมันไปด้วย
“เจ้า…” ชายวัยกลางคนว่าพลางมองหยงเวยนิ่ง มันไม่สามารถสัมผัสพลังวิญญาณจากตัวหยงเวย แต่ไม่ทราบทําไมตัวมันถึงรู้สึกหนาวสั่นขึ้นมาเสียเฉยๆ
“เจ้าเป็นผู้ใช้พลังมาร”ชายคนนั้นว่าพลางหันหลังหนีออกไปข้างนอก แต่หยงเวยก็ตามออกไปในทันทีด้วยความเร็วที่เหนือกว่าเล็กน้อย
“หยุด”เห็นว่าตนหนีไม่ทัน ชายวัยกลางคนเลยตัดสินใจวิ่งเข้าไปหาหลินหลินที่อยู่ตรงอาคารด้านหน้าแทน มันตรงเข้าไปล็อคคอหลินหลินเอาไว้พลางนํามีดออกมาจ่อไปที่คอของนาง
“ถ้าเจ้าเข้ามาข้าจะแทงคอนางให้ตาย” เพราะทราบดีว่าความเร็วของตนต่ำกว่าหยงเวย ทําให้มันเลือกใช้วิธีจับตัวประกัน
“…”น่าเสียดาย มีดในมือของมันไม่ได้ทําให้หยงเวยกลัวแต่อย่างไร
“ทําไมท่านมาจับข้าล่ะ มันเจ็บนะ” หลินหลินว่าพลางดันแขนของชายคนนั้นออกอย่างง่ายดาย
ทําเอาชายวัยกลางคนสะดุ้งโหยง
“เจ้าเองก็เป็นผู้ใช้พลังมารงั้นเหรอ”ชายวัยกลางคนถามพลางมองมาทางหลินหลินอย่างตื่นตระหนก เพราะกําลังของนางเหนือกว่าตัวมันเสียอีก
“ข้าไม่ใช่มารนะ ข้าไม่เหมือนพี่เวยซะหน่อย” หลินหลินโวยพลางผลัดร่างของชายคนนั้นออกไปห่างตัว
“อัก” ชายที่โดนหลินหลินผลักกระแทกเข้ากับกําแพงอย่างจังจนกระอักเลือดออกมา
“หลินหลินเจ้าเบามือหน่อย ที่นี่เป็นเขตวัดอย่าฆ่าเลย”หยงเวยว่าพลางเดินเข้าไปดูอาการของอีกฝ่าย เห็นมันแค่บาดเจ็บภายในก็เลยโล่งใจ
“อย่าคิดว่าจบแค่นี้นะ พวกข้าล้อมที่นี่เอาไว้หมดแล้ว”ชายวัยกลางคนว่าพลางกําหมัดแน่น ตอนแรกมันนึกว่าพวกหยงเวยเป็นแค่คนธรรมดาเลยกะจะมาชิงตําราไปเฉยๆ ไม่นึกเลยว่าจะโดนพวกหยงเวยเล่นงานได้ง่ายดายเช่นนี้ แต่ถึงพวกมันจะเก่งแต่ลูกพี่ของมันต้องเอาชนะพวกหยงเวยได้แน่ๆ
“ข้าบอกแล้วว่าบุกตั้งแต่แรกก็จบแล้ว” ชายคนหนึ่งกระโดดลงมายืนบนกําแพงวัดอย่างรวดเร็ว ไม่นานเหล่าพวกพ้องของชายกลางคนก็พากันเข้ามาในวัดเต็มไปหมด หากประเมินด้วยตาเปล่าก็คงมีคนราวๆ 30 คนได้
“พวกเจ้าอยากได้ตําราพวกนั้นไปทําอะไร” หยงเวยถามพลางมองเข้าไปในหอตํารา ตํารามารแม้จะมีข้อดีที่ฝึกฝนได้อย่างง่ายดาย แต่ก็มีข้อเสียที่ต้องโดนจิตมารเข้าเล่นงานเสมอ หากจิตใจอ่อนแอเช่นหยงเวยในตอนแรก ไม่นานก็คงโดนมารในใจครอบงาจนไม่เป็นตัวเองแน่ๆ
“พวกเจ้าหลบไปก่อน” หยงเวยว่าพลางเดินออกมาข้างหน้าของพวกหลินหลิน เพราะมันไม่อาจวัดพลังของอีกฝ่ายได้ หยงเวยเลยไม่อยากประมาท
“ข้าก็สู้ได้นะ พี่เวยนั่นละถอยไป” หลินหลินว่าพลางเดินขึ้นมายืนข้างๆหยงเวยในทันที นางเดินทางกับไป๋จูเหวินมานาน เจอคนมีฝีมือมามาก และคนพวกนี้ก็ไม่เหมือนคนพวกนั้นเลย
“มันไม่จําเป็นต้องให้พวกเจ้ามาเหนื่อยหรอก” หยงเวยว่าพลางเรียกดาบมรกตออกมา พริบตานั้นพลังมารของมันก็แผ่ออกไปรอบๆพร้อมพื้นที่เริ่มปรากฏเนื้อมรกตขึ้นมาแทนผืนดิน
วูบ ก้อนมรกตจํานวนมากงอกออกมาจากผืนดินราวกับหญ้าที่แทรกผืนดินขึ้นมาเพื่อเติบโต เพียงแต่เหล่ามรกตไม่ได้งอกออกมาเฉยๆ แต่มันเริ่มก่อรูปร่างจนกลายเป็นรูปปั้นหยกที่มีรูปร่างเหมือนนักรบสวมเกราะไม่มีผิด
“จับพวกมัน” หยงเวยว่าพลางปักดาบมรกตลงพื้น พริบตานั้นหุ่นทหารมรกตของหยงเวยก็ตรงเข้าเล่นงานพวกพ้องของชายวัยกลางคนทันที
ฟุบ! ใยแมงมุมของหลินหลินกับปิงปิงพุ่งไปข้างหน้าจับตัวพวกชิงตําราเอาไว้อย่างง่ายดาย เพียงพริบตาเดียวคนที่เข้ามาชิงตําราก็โดนจับตัวจนหมด
“ปล่อยนะโว้ย ถ้าไม่อยากให้ลูกพี่เราเล่นงานพวกเจ้า” ชายคนหนึ่งโวยพลางพยายามดิ้นจากใยแมงมุมของหลินหลิน แต่คนที่ซวยที่สุดคงหนีไม่พ้นคนที่โดนใยแมงมุมของปิงปิงที่แทบจะโดนแช่แข็งอยู่รอมร่อ
“ลูกพี่พวกเจ้า” หยงเวยว่าใช้รูปปั้นมรกตจับตัวพวกชิงตํารามารวมกันทีเดียวแล้วให้หลินหลินมัดร่างของพวกมันเอาไว้ทั้งหมด
“ถ้าลูกพี่ของพวกเรามา…อื้อ” หยงเวยใช้รูปปั้นมรกตปิดปากชายคนนั้นเอาไว้ ไม่ใช่เพราะคิกว่ามันพูดเรื่องไร้สาระ แต่เพราะมันสัมผัสได้ถึงพลังมารที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
“มันสินะลูกพี่ของเจ้าพวกนี้”หยงเวยว่าพลางเดินออกไปนอกประตู ที่นั้นปรากฏร่างของชายคนหนึ่งที่สวมชุดสีดําสนิทเอาไว้ไม่เหมือนคนที่จะมาวัดเลยแม้แต่น้อย
“เจ้าเองก็ฝึกวิชามารสินะ” ชายตรงหน้าหยงเวยพูดพลางเดินตรงเข้ามาหาหยงเวยอย่างเรียบเฉย
“น่าเสียดายที่พลังมารของเจ้ายังไม่ตื่น” ชายสวมชุดดําว่าพลางหยุดยืนอยู่ตรงหน้าหยงเวย
ตูม! ร่างของหยงเวยลอยออกมาหลายเมตร แต่เพราะมันรีบสร้างเกราะมรกตขึ้นมาทําให้มันสามารถป้องกันการโจมตีของชายตรงหน้าได้
“โห พลังแค่นั้นแต่กลับรับการโจมตีของข้าได้” ชายหนุ่มชุดดําว่าพลางปลดปล่อยพลังมารออกมา แม้จะไม่เข้มข้นเท่าของหยงเวย แต่อีกฝ่ายก็มีพลังมารมหาศาลกว่าอยงเวยมาก
“เป็นพวกที่โดนกินไปแล้วสินะ” หยงเวยว่าพลางมองชายหนุ่มตรงหน้า มันคือตัวตนที่ยอมแพ้ต่อจิตมารไปแล้ว เป็นมารที่แท้จริง