บุตรอสูรบรรพกาล - ตอนที่ 250 ทะเลทราย
บุตรอสูรบรรพกาล ตอนที่ 250 ทะเลทราย
“ประตูเปิดแล้วว” เสียงตะโกนของพ่อค้าที่อยู่แถวหน้าสุดตะโกนขึ้นเพื่อให้พ่อค้าที่อยู่ด้านหลังรู้ตัวเพราะกว่าจะถึงเวลาเปิดประตูรถม้าที่ต่อแถวกันเพื่อจะเข้าไปในประตูก็มีมาก กว่าร้อยคันไปแล้วเรียกได้ว่าเป็นขบวนสินค้าที่ใหญ่มากทีเดียว
“โชคดีจริงๆที่ได้คนมาคุ้มคลองแบบนี้ ไม่อย่างนั้นข้าคงไม่กล้าข้ามทะเลทรายแน่ๆ” ชายที่นั่งอยู่บนรถม้าข้างๆไปจูเหวินพูดพลางผูกม้าของตนกับบังเหียนอย่างรวดเร็ว ถึงประตูจะเปิดแล้วแต่กว่ารถม้าข้างหน้าจะเริ่มขยับก็มีเวลาอี กพักหนึ่งเลยที่เดียว
“ขอรับ โชคดีจริงๆ”ไปจูเหวินตอบพลางยิ้มอย่างเป็น มิตรเพราะคนคุ้มกันที่ว่าก็มีฝีมือกันจริงๆ แต่ละคนอยู่ระดับเทียนเซียนกันทั้งนั้น แม้จะยังอยู่ระดับต้นๆก็ตาม เพียงแต่ หัวหน้าขบวนอาจจะรับคนมาเยอะเกินไปหน่อยเพราะกลุ่มผู้คุ้มกันมีแค่ 4 คนเท่านั้น บางทีอาจจะไม่พอปกป้องคนทั้งหมดก็ได้
ครืดดด… ประตูขนาดใหญ่ที่กั้นระหว่างเมืองเอา ไว้เปิดออกช้าๆ พร้อมขบวนรถที่เริ่มออกเดินทางไปข้างหน้าพร้อมๆกัน พ่อค้าในขบวนสินค้าเหล่านี้ต่างเป็นพ่อค้าที่ ได้รับการยอมรับในระดับหนึ่งทั้งนั้นเพราะการอนุญาตให้ออกไปค้าขายนอกอาณาจักรจําเป็นต้องมีความสามารถในระดับหนึ่ง
“ร้อนจัง” หลินหลินว่าพลางมองพื้นที่ของอาณาจักรซิน ที่อยู่ตรงหน้า อาณาจักรชินได้ชื่อว่าเป็นอาณาจักรแห่งดินพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นเป็นพื้นที่ราบที่มีหญ้าและต้นไม้ประปายแต่ที่สําคัญคือหลังจากนี้ขบวนสินค้าจะเดินทางตัดทะเลทราบเพื่อย่นระยะเวลา ซึ่งนั้นจะทําให้เสียงต่อการโดนอสูรที่ซ่อนอยู่ในทะเลทรายโจมตีนั่นคือเหตุผลที่ต้องจ้างคนคุ้มกันมานั่นเอง
“ปิงปิง เจ้าช่วยสร้างไอเย็นหน่อยสิ” หลินหลินว่าพลางเข้าไปกอดปิงปิงเอาไว้เมื่อเห็นหลินหลินขอร้องปิงปิงก็สร้างไอเย็นออกมาตามที่นางขอทําให้ด้านหลังรถม้าแทบไม่ได้ผลกระทบอะไรกับความร้อนเลย
“เหม่ยหลิน เจ้าร้อนหรือเปล่า”ไปจูเหวินถา มพลางมองไปที่เหม่ยหลินยิ่งใกล้ทะเลทรายเท่าไหร่อากาศก็ยิ่งแห้ง แถมร่มเงาก็น้อยลงเรื่อยๆทําให้ภาพพื้นดินที่โดนแดดเผาจนเป็นสีเหลืองทําให้รู้สึกร้อนมากกว่าเดิมเสียอีก
“มะ ไม่ร้อนหรอกเจ้าค่ะ แค่นี้เอง”เหม่ยหลินตอบพลางยิ้มเงื่อนๆหากเป็นปกติพลังวิญญาณจะช่วยปรับอุณหภูมิอยู่แล้วแต่เพราะตอนนี้ทั้งสองคนใช้วิชาค วบคุมพลังวิญญาณอยู่ทําให้ได้รับผลกระทบกับความร้อนพอสมควร แต่เพราะไปจูเหวินมีความสามารถในการทนทานสภาพอากาศมาก่อนจะมีพลังเสียอีกทําให้ความร้อนไม่มีผลอะไรกับไปจเหวินเลยหรือก็คือตอนนี้มีเพียงเหม่ยหลินคนเดียวเท่านั้นที่เหงื่อออกจนดูออกได้ทันทีว่ากําลังร้อนอยู่ แต่เพราะพ่อค้าคนอื่นๆอาการหนักกว่าเหม่ยหลินมาก ถึงขนาดบางคนเหงื่อชุ่มจนเสื้อเปียกเป็นทางก็มี
“สวมนี้เอาไว้สิ”ไปจูเหวินไม่สนใจคําตอบของเหม่ยหลินเพราะเห็นอยู่ว่านางร้อนไปจูเหวินเลยเอาผ้าพันคอสีขาวออกมาพลางนํามันพาดคอของเหม่ยหลินเอาไว้
“เอ๊ะ…”เหม่ยหลินตอนแรกเห็นไปงูเหวินเอาผ้าพั นคอออกมาก็งงไปครู่หนึ่งแต่พอผ้าพันคอสัมผัสร่างกายนางถึงได้ทราบว่าผ้าพันคอผืนนี้ส่งไอเย็นออกมาเพียงสวมมันเอาไว้ความร้อนรอบๆก็ทําอะไรไม่ได้เลย
“นั่นทํามาจากขนของท่านน้าจิ้งจอก ถึงมันจะดูแปลกๆที่เอาผ้าพันคอมาดับร้อนแต่มันก็ได้ผลนะ”ไปจูเหวินยิ้มพลางนึกถึงสมัยที่ตนเองยังต้องใช้ขนของน้าจิ้งจอกใน การดับร้อนอยู่
“หลังจากนี้เราจะเดินทางผ่านทะเลทราย ขอให้ทุกคนระวังให้ดีด้วยขอรับ” ชายคนหนึ่งในกลุ่มผู้คุ้มกันส่งเสียงประกาศให้ทุกคนได้ยินโดยผู้คุ้มกัน 4 คนยืนตรงหัวขบวน ซ้ายขวาและท้ายขบวนพอดี
“หวังว่าจะไม่มีอสูรเข้ามาโจมตีพวกเรานะ” ชายที่อยู่ด้านหน้าไปจูเหวินพูดพลางกําบังเหียนของตนเองแน่นปกติแล้วอสูรจะซ่อนอยู่ในทรายทําให้การรับมือกับพวกมัน ค่อนข้างยาก มีหลายครั้งที่พวกมันโจมตีขึ้นมาจากพื้นทําให้แม้แต่ยอกฝีมือยังเสียท่า แต่การเดินทางคราวนี้พวกพ่อค้าไม่จําเป็นต้องกังวลก็ได้เพราะอสูรในทะเลทรายนั้นไม่กล้าทําอะไรอย่างแน่นอนหากถามว่าทําไมนะเหรอเพราะมีหลินหลินปิงปิงและ หงเยว่อยู่ตรงนี้ยังไงล่ะ
แม้มนุษย์จะสัมผัสพลังอสูรของพวกนางไม่ได้ แต่พวกอสูรด้วยกันสามารถสัมผัสได้ ยิ่งพลังในตัวของเหม่ยหลินและไปจูเหวินเองด้วยแล้วทําเอาพวกมันไม่กล้าแม้แต่จะ เข้ามาใกล้ระยะของพวกไปจูเหวินเสียด้วยซ้ําแถมทะเลทรายแห่งนี้ยังไม่ใช่เขตอสูรจึงหมดห่วงเรื่องจะเจออสูรระดับสูงไปได้เลยแต่หากบังเอิญเจอจริงๆอย่างมากก็ให้ไปจูเหวินออกหน้าเท่านั้น
“พี่ไป ดูสิเหมือนที่สันเขาทองคําเลย” หลินหลินว่าพลางชี้ไปทางทะเลทรายสีเหลืองทองเพราะแสงอาทิตย์ที่สาดส่องลงมาจากท้องฟ้าตอนนี้พวกไปจูเหวินกําลังเดิน ทางบนพื้นดินซึ่งเป็นเหมือนถนนทอดยาวผ่านกลางทะเลทรายไม่มีผิด ท่าทางจะเป็นทางที่ผู้ใช้ธาตุดินสร้างเอาไว้ทําให้ม้าไม่ต้องกังวลเรื่องเดินบนพื้นทรายเท่าไหร่ เพียงแต่ในมือของทุกคนตอนนี้ต่างถือน้ํากันหมดเพราะอากาศที่แห้งมากทําให้ไปจูเหิวนและเหม่ยหลินต้องแกล้งดื่มน้ําเป็นระยะเพื่อความแนบเนียน
“โชคดีจริงๆที่ไม่มีอสูรโผล่ออกมา แบบนี้ก็ระวังแค่พวกโจรทะเลทรายก็พอ” พ่อค้าคนหนึ่งพูดพางถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกแต่ดูเหมือนมันจะไม่ทราบว่าหากเข้าปาแล้วห้ามพูดถึงเสือเป็นแน่เพราะทันทีที่มันพูดออกมาไปจูเหวินก็สัมผัสได้ถึงกลุ่มพลังวิญญาณที่มุ่งหน้าเข้ามาหากลุ่มพ่อค้าพวกมันมีคนระดับเทียนเซียนอยู่ 5 คนดูแล้วสุ่มเสี่ยงไม่น้อย
“ทุกคนหยุด” หัวหน้ากลุ่มคุ้มกันว่าพลางกระโดดลงจากรถม้าดูท่าพวกมันเองก็ตะสัมผัสพลังของพวกโจรได้แล้วแม้จะต้องรอให้เข้ามาใกล้มากก็ตาม
“ค่อยๆเดินรถต่อไป หากพวกเราบอกให้หนีก็รีบไปเข้าใจนะ” หัวหน้ากลุ่มคุ้มกันว่าพลางเตรียมอาวุธออกมาเพราะพลังของพวกมันกับกลุ่มโจรค่อนข้างสูสี ทําให้ไม่ท ราบว่าพวกโจรจะบุกเข้ามาหรือไม่แต่เพียงไม่นานกลุ่มโจรก็ปรากฏเบื้องหน้าเหล่าพ่อค้าโดยพวกมันเพียงยืนอยู่บน เนินทรายเท่านั้นไม่ได้วิ่งลงมาบุกแต่อย่างไร
“เตรียมตัว” ผู้คุ้มกันว่าพลางเรียกดาบของมันออกมาคุมเชิงขบวนสินค้าเต็มไปด้วยของที่พ่อค้านํามาขายนั้นหมายความว่าทรัพย์สินมูลค่ามหาศาลกองอยู่ตรงหน้า แถมกําลังคนยังถ้ํากึ่งกันอีกด้วยแม้พวกโจรจะเหมือนเสียเปรียบแต่ก็มีความเสี่ยงที่น่าจะคุ้มค่า
วูบ..พวกโจรถอยหายเข้าไปในเนินทรายราวกับกําลังถอยกลับไปเพียงแต่ผู้คุ้มกันไม่ได้วางดาบลงแต่อย่างไร พวกมันรับงานคุ้มกันผ่านทะเลทรายมานานคุ้นเคยกับ พวกโจรกลางทะเลทรายดี
เปรี้ยง! ดาบเล่มหนึ่งพุ่งขึ้นมาจากพื้นตรงที่ผู้คุ้มกันยืนอยู่เพียงแต่ผู้คุ้มกันเองก็รับมือเอาไว้ได้
ฟุบๆๆๆ ร่างของโจนทะเลทรายพุ่งขึ้นมาจากผืนทราบราวกับพวกแมลงทะเลทรายที่ซ่อนตัวในผืนทรายไม่มีผิดพวกมันอาศัยความได้เปรียบเรื่องจํานวนเพื่อชิงสินค้า ทําให้พวกมันเลือกที่จะพุ่งตัวเข้ามาพร้อมกันเพื่อให้คนที่หลุดรอดไปเอาสินค้าไปให้ได้มากที่สุด
เพี้ยๆๆๆๆๆๆ อยู่ๆหญิงสาวคนหนึ่งในกลุ่มผู้คุ้มกันก็ใช้แส้ยาวสีขาวฟาดใส่คนที่พยายามจะพุ่งเข้ามาด้วยความยาวของแส้และความรวดเร็วในการหวดแส้ทําให้พวกโจรไม่สามารถผ่านหญิงสาวคนนี้ไปได้เลย
“พวกมันมีฝีมือไม่เลวเลย” หงเยว่ว่าพลางมองพวกผู้คุ้มกันพวกมันฉลาดที่รู้อยู่แล้วว่าตนเองมีคนน้อยแล้วอีกฝ่ายจะหาทางฝ่าเข้ามาจึงให้หญิงสาวในกลุ่มคุ้มกันออก มาคอยป้องกันด้านหลังเอาไว้ส่วนชายหนุ่มอีก 3 คนที่เหลือก็เข้าไปจัดการพวกระดับเทียนเซียนก่อน
ฟื้ว…ฟื้ว… จะเรียกว่าสมกับเป็นเจ้าถิ่นได้หรือไม่แต่พวกโจรก็อาศัยพื้นทรายในการต่อสู้ได้ดี ทําให้พวกผู้คุ้มกันจัดการพวกโจรไม่ได้เลยแม้แต่คนเดียว
เพี้ย! แส้ของผู้คุ้มกันหญิงหวดใส่ร่างของโจรคนหนึ่งแต่มันกลับไม่ยอมหลบ มันเลือกที่จะจับแส้เอาไว้เพื่อให้พวกพ้องของมันฝ่าเข้าไปได้แทน
โครม!! แต่หยิงสาวไม่ได้อ่อนประสบการณ์ถึงขนาดนั้นนางเหวี่ยงเอาทั้งคนทั้งแง่ขึ้นพื้นก่อนจะกระแทกร่างของคนที่จับแส้เอาไว้ลงพื้นแต่น่าเสียดาบที่พื้นเป็นทราย ทําให้กําลังทําลายไม่ได้มากเท่ากระแทกใส่พื้นดินเจ้าโจรคนนั้นจึงยังจับแส้ของหญิงสาวเอาไว้ได้
เปรี้ยง! หญิงสาวเห็นเช่นนั้นจึงไม่รอช้าพุ่งตัวเข้าไปเตะอัดเข้าที่ร่างของโจรคนนั้นจนแส้ของนางหลุดออกมาได้
ฟุบๆๆ แส้ของนางพุ่งตรงไปยังร่างของโจรที่กําลังวิ่งเข้าไปหาพวกพ่อค้า ทําให้โจรส่วนใหญ่โดนหยุดเอาไว้ได้เพียงแต่นางก็ไม่สามารถหยุดพวกมันเอาไว้ได้ทั้งหมด
ฟุบ! ไม่ทราบเพราะความบังเอิญหรือไม่แต่โจรคนนั้นก็เลือกที่จะกระโดดเข้ามาตรงรถม้าของไปจูเหวินอย่างพอดิบพอดี
“อย่าพึ่ง”ไปจูเหวินว่าพลางยื่นมือไปห้ามพวกหงเยว่เอาไว้เพราะเห็นว่านางเตรียมจะลงมือแล้ว ส่วนโจรตรงหน้าก็จ้างดาบพยายามจะเหวี่ยงมาทางเหม่ยหลินที่นั่งอยู่ใกล้ที่สุด
“ระวัง” ชายคนหนึ่งในหลุ่มคุ้นกันหันกลับมาพร้อมใช้ความเร็วสูงสุดของมันพุ่งเข้ามาจัดการเจ้าโจรคนนั้นก่อนที่มันจะลงดาบแม้ความจริงแล้วมันจะไม่สามารถทําอะไรเหม่ยหลินได้ก็ตาม
“อากกก”โจรคนนั้นโดนเตะจนลอยไปอีกข้างของถนนทําให้ไม่เหลือโจรอยู่ในกลุ่มพ่อค้าอีกแล้ว
“ไม่เป็นอะไรใช่…” ชายที่เข้ามาช่วยเหม่ยหลินเอาไว้พูดเหมือนกําลังจะถามไถว่าเหม่ยหลินเป็นเช่นไรบ้าง แต่ดวงตาของมันกลับมองค้างไปที่ใบหน้าของเหม่ยหลินนิ่งราวกับสมองไม่สั่งการอะไรเลยเสียอย่างนั้น
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ขอบคุณท่านมาก” เหม่ยหลินตอบเสียง เบาพลางมองไปที่โจรที่พึ่งโดนเตะไปท่าทางมันจะลุกไม่ ขึ้นแล้วกระมัง
“มะ ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้วขอรับ” ชายหนุ่มตอบด้วยท่าที เก้ๆกังๆพลางค่อยๆถอยออกห่างจากเหม่ยหลินไปช้าๆ
“เฮ้ย กลับมาช่วยกันได้แล้ว” ชายที่เป็นหัวหน้าตะโกนพลางจัดการพวกโจรไปหนึ่งคนทําให้ชายที่เข้ามาช่วยกลับไปร่วมสู้อีกครั้งแต่แม้จะยังสู้อยู่มันก็ยังแอบลอบมองมาทางเหม่ยหลินเป็นระยะๆอยู่ดี