บุตรอสูรบรรพกาล - ตอนที่ 255 แดนลับแล
บุตรอสูรบรรพกาล ตอนที่ 255 แดนลับแล
“นายน้อย ท่านอยากจะแก้แค้นกลุ่มเขี้ยวโลหิตหรือขอรับ” หวังตงถามหลังจากได้เล่าเรื่องทุกอย่างออกไปหมดแล้ว
“ใช่…”ไปจูเหวินตอบพลางพยักหน้าช้าๆ ตอนนี้มันไม่อาจให้อภัยกลุ่มเขี้ยวโลหิตได้จริงๆ
“ไม่ได้ขอรับนายน้อย” หวังตงว่าพลางเอามือทาบอกของตนเอง
“เมื่อราวๆสิบปีก่อนข้าพยายามจะบุกเข้าไปทําลายกลุ่มเขี้ยวโลหิตแล้วแต่ข้าก็โดนพวกอาวุโสรุมจนบาดเจ็บสาหัสแม้ตอนนี้ภายนอกจะไม่เหลือบาดแผลแล้ว แต่มันก็ทําให้พลังของข้าลดลงไปมาก”ได้ยินเช่นนั้นไปจูเหวินจึงใช้ดวงตาสีเขียวตรวจสอบร่างกายของหวังตงดูปรากฏว่าบริเวณหน้าอก หรือก็คือซี่โคงหัวใจและปอดบางส่วนมีร่องรอยของอาการบาดเจ็บอยู่จริงๆ ท่าทางหวังตงคงจะบาด เจ็บหนังจริงๆ นั่นหมายความว่าหวังตงที่ไปจูเหวินสู้อยู่เมื่อครู่นี้ไม่ใช่หวังตงที่สมบูรณ์พร้อม แต่ถึงอย่างนั้นหวังตงที่สมบูรณ์พร้อมแล้วกลับไม่สามารถเอาชนะกลุ่มเขี้ยวโลหิตได้เช่นนั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึงไปจูเหวินมันไม่มีทางทําอะไรกลุ่มเขี้ยวโลหิตได้เลย
“อย่างน้อยข้าก็ไม่อยากให้ท่านทําอะไรโง่ๆเหมือนข้า” วังตงว่าพลางเดินไปที่หลังร้านแต่เมื่อพบว่าไม่มีใครเหลือเลยแม้แต่คนเดียวหวังตงจึงนําถุงเงินออกมาวางเอาไว้บนโต๊ะพลางชวนให้ไปจูเหวินออกไปข้างนอก
“อย่างน้อยท่านก็ควรอยู่ระดับเทียนเซียนขั้นที่ 10 ก่อนหากเป็นนายน้อยคงสามารถสู้กับพวกมันได้” หวังตงว่าพลางมองไปทางเหนือยามนี้ดวงตาของมันต่างจากชายขี้เมาก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิงแม้ร่างกายจะไม่เหมือนเดิมแล้วแต่ ดวงตาของมันยามนี้กลับมาเป็นหวังตงคนเดิมเสียที
“และข้ารู้ ว่าใครจะช่วยท่านได้”หวังตงยิ้มพลางรวบเส้นผมของมันขึ้นมัดเอาไว้ด้านหลังทําให้มองเห็นรอยสักรูปมัง กรที่แผ่นหลังของมันได้อย่างชัดเจน
“ท่านหมายถึง…”ไปจูเหวินขมวดคิ้วพลางมองไปทางที่หวังตงมองมันไม่ทราบว่าหวังตงมองอะไรแต่มันก็ทราบว่าต้องเป็นเรื่องสําคัญอย่างแน่นอน
“ขอรับ ข้าจะพาท่านไปหาคนที่ถ่ายทอดวิชาลมปราณมังกรให้แก่ข้าท่านคือบิดาของนายน้อยขอรับ”ได้ยินเช่นนั้นดวงตาของไปจูเหวินก็เบิกกว้างด้วยความตกใจ บิดาขอ งมัน?บิดาของมันยังมีชีวิตอยู่งั้นหรือ?
“สุดยอด สมกับเป็นนายน้อยจริงๆ” หวังตงว่าพลางมองความเร็วของหลินหลินที่กําลังพาพวกมันเดินทางไปข้างหน้าเพราะมันทราบที่อยู่ของพ่อตนเองแล้วไปจูเหวินจึงออกเดินทางทันทีซึ่งรอบนี้เหม่ยหลินก็ไม่ได้โต้แย้งอะไร มันไม่เหมือนก่อนหน้านี้ที่ไม่ทราบว่าจะได้เจออะไรข้างหน้าแต่คราวนี้ไปจูเหวินได้ทราบแล้วว่าบิดามันอยู่ที่ไหนทําให้เหม่ยหลินนึกถึงตอนที่ตนเองจะได้พบมารดาครั้งแรกไม่มีผิด
“ถ้าเป็นแบบนี้ต้องเข้าไปพบนายท่านได้แน่ๆ” หวังตงยิ้มอย่างมีความสุขตลอดนับสิบปีที่ผ่านมา การที่หวังตงไม่กลับไปหาบิดาของไปจูเหวินนั้นไม่ใช่เพราะเรื่องไม่อยากพบหน้าหรือสํานึกผิดแต่เพราะที่ๆบิดาของไปจูเหวินอยู่นั้นคนธรรมดาไม่สามารถเข้าไปได้นั่นเอง
“ทําไมหรือท่านหวังตง ที่นั่นเข้าไปยากงั้นหรือ”ไปจูเหวินถามด้วยความสงสัยมันพูดราวกับหากไม่ใช่ไปจูเหวินคงเข้าไปไม่ได้เสียอย่างนั้น
“ขอรับ ที่ๆพวกเราจะไปคือแดนลับแลขอรับ” หวังตงว่าพลางนั่งลงบนหลังของหลินหลินหากเดินทางด้วยความเร็วขนาดนี้ไม่กี่วันก็คงถึงแล้ว
“แดนลับแล แล้วมันเป็นอย่างไรกัน”ไปจูเหวินยังคงไม่เข้าใจแค่บอกว่าแดนลับแลออกมามันก็ไม่เข้าใจหรอกว่าสถานที่แบบนั้นเป็นเช่นไร
“มันคือดินแดนที่คนปกติไม่สามารถเข้าไปได้ขอรับที่นั่นเป็นยอดเขาที่สูงจนถึงชั้นเมฆ แต่รอบๆภูเขานั้นมีสิ่งที่ รียกว่าค่ายกลอสูรอยู่ขอรับ” หวังตงตอบอย่างโอ้อวดราว กับสิ่งที่พูดมาเป็นบ้านตัวเองไม่มีผิด
“ค่ายกลอสูร? มันเหมือนเขตอสูรหรือเปล่า”ไปจูเหวินถามต่อเพราะมันไม่ทราบว่าค่ายกลอสูรเป็นเช่นไร
“ใกล้เคียงขอรับ มันคือเขตอสูรที่มีราชามากกว่า 1 ตนขอรับเท่าที่ข้าทราบมาที่นั่นมีราชาคอยเฝ้ากว่า 6 ตนแต่ละตนแข็งแกร่งพอๆกับพวกยอดฝีมือเลยขอรับแต่ 1 ในนั้นเหมือนจะแข็งแกร่งกว่าเสียอีก” หวังตงพูดด้วยท่าที่น่าขนลุกราวกับกําลังเล่าเรื่องผีให้หลายชายฟังไม่มีผิดซึ่งจากที่ฟังมานั่นหมายความว่าในค่ายกลอสูรที่ว่ามีอสูรระดับ มายาขั้นที่ 10 อยู่ 5 ตน และมีอีกตนที่น่าจะอยู่ระดับบรรพกาลไปแล้วนั่นเอง
“อย่างนี้นี่เอง หากไม่ใช่ข้าก็คงเข้าไปได้ยากจริงๆ”ไปจูเหวินพยักหน้าอย่างเข้าใจพูดง่ายๆก็คือมันเป็นเขตอสูรที่มีสถาพเหมือนเขตอสูรไร้กันในตอนนี้โดยมีราชาอยู่ร่วม กันคอยปกปักรักษาเขตของพวกมันเอาไว้หากไม่ใช่ผู้มีพลัง ดึงดูดเหล่าอสูรเช่นไปจูเหวิน การเข้าไปข้างในก็อันตรายอย่างมากบางที่อาจจะอันตรายพอๆกับการบุกกลุ่มเขียวโลหิตเสียด้วยซ้ํา
“ที่นายหญิงได้พบกับนายท่านก็เพราะแบบนี้ไงขอรับ” หวังตงพูดพลางยิ้มออกมา เพราะมารดาของไปจูเหวินเองก็ มีพลังดึงดูดเหล่าอสูรทําให้นางสามารถเข้าไปในแดนลับแลได้อย่างง่ายดายสุดท้ายหลังจากเกินเรื่องราวต่างๆพวกมัน จึงเกิดความรักต่อกันสุดท้ายจึงงอกงามออกมาเป็นไปจูเหวิ นนี่เอง
“อืม..”ไปจูเหวินพยักหน้าด้วยท่าที่ตื่นเต้นแม้จะทราบว่ายังอีกหลายวันกว่าจะถึงแดนลับแลที่ว่า แต่ใจของไปจูเหวินนั้นกลับโบยบินไปก่อนแล้ว
“พี่ไป” เห็นไปงูเหวินดีใจเช่นนี้เหม่ยหลินก็เข้ามานั่งข้างๆพลางยิ้มให้มันนางเข้าใจดีถึงความรู้สึกนี้ นางจึงอยากจะแสดงความยินดีกับมันสักหน่อย
“ขอบคุณ” ยังไม่ทันได้พูดเพื่อแสดงความยินดีออกไป ไปจูเหวินก็กล่าวขอบคุณเสียก่อนราวกับที่ทราบอยู่แล้วว่านางจะพูดอะไรทําให้ทั้งสองยิ้มให้แก่กันจนหวังตงหันมาให้ความสนใจ
“ไม่นึกว่านายน้อยจะพาภรรยากลับมาบ้านด้วยบิดาของท่านต้องแปลกใจแน่ๆ” หวังตงว่าพลางหัวเราะในลําคอทําเอาเหม่ยหลินหน้าแดงขึ้นมา แต่ตอนนี้นางไม่ใช่ภรร ยาของไปจูเหวินเสียหน่อยนางควรจะแก้ไขความเข้าใจผิด กับหวังตงเสียดีกว่า
หมับ..ไปจูเหวินจับมือของเหม่ยหลินเอาไว้ก่อนที่นางจะได้เอ่ยปากเสียอีกมันยิ้มพลางมองไปทางหวังตงแทน
“ขอรับ ท่านต้องแปลกใจแน่ๆ”ไปจูเหวินตอบเสียงเบาพร้อมๆรอยยิ้มที่ระบายอยู่บนใบหน้า แต่เหม่ยหลินที่อยู่ข้างๆกลับรู้สึกแปลกประหลาดไม่น้อย นี้ไปจูเหวินจงใจพูด แบบนั้นเพราะอยากพูดหรือมันแค่ยังเล่นละครเป็ นสามีภรรยาหลอกๆอยู่กันแน่
“พี่ไป ตรงนั้นมีถเขาใหญ่ๆด้วยล่ะ” หลินหลินว่าพลางหยุดเดินลงเป็นครั้งแรกหลังจากเดินทางมามากกว่า 5 วัน
“ใช่ขอรับ ที่นั่นละ”หวังตงพยักหน้าพลางกําหมัดแน่นแต่ใบหน้ายิ้มแย้มของหวังตงกลับหายไปจนหมดอย่างน่าประหลาดซึ่งนั่นก็อาจจะเพราะมันกําลังจะไปบอกข่าวร้าย ให้กับนายท่านของมันก็เป็นได้
“งั้นก็ไปกันเถอะ”ไปจูเหวินยืนขึ้นพลางกระโดดไปยืนตรงเหนือดวงตาของหลินหลิน ราวกับมันอยากจะเข้าไปให้ไวที่สุดเท่าที่จะทําได้
ตูม! หลินหลินยังไม่ทันจะเดินไปถึงตีนเขา ร่างของแรกตัวหนึ่งก็กระโดดลงมายืนตรงหน้าหลินหลิน ตัวมันนั้นมีผิวสีดําสนิทและมีนอเบื้องหน้าเป็นเพชรท่าทางน่ากลัวไม่น้อย
“ไม่นึกว่าจะมีใครกล้าบุกรุกที่นี่”แรดสีดําว่าพลางเดินเข้ามาตรงที่หลินหลินยืนอยู่ ขนาดตัวของใหญ่กว่าหลินหลินอยู่ไม่มาก
“เหยื่อคราวนี้ข้าขอนะ”เสียงอีกเสียงดังขึ้นพร้อมร่างของงูเผือกสีขาวที่เลื้อยออกมาจากซอกหิน
“พวกมันมากับอสูรด้วยงั้นหรือ แม่หนูแมงมุมนั่นน่าสนใจดี เจ้าเอามนุษย์ไปแล้วกัน” กิเลนที่มีเกล็ดสีทองพูดขณะที่มันลอยอยู่บนอากาศทุกย่างก้าวที่มันเดินอยู่นั่นปรากฏละอองสีทองลอยออกมาราวกับมันกําลังเดินอยู่บนพื้นทรายไม่ มีผิด
“แย่แล้ว มีคนบุกมาจริงๆด้วย” เสียงหญิงสาวท่าทางขึกลัวพูดออกมา แม้นางจะหลบอยู่หลังต้นไม้แต่ไปจูเหวินก็เห็นว่านางเป็นอสูรจิ้งหิมะที่มีขนาดประมานสุนัข
“เจ้านั่น หวังตงไม่ใช่หรือ”ลิงกอลิล่าตัวหนึ่งที่พึ่งโหนกิ่งไม้มาถึงพูดด้วยเสียงของหญิงวัยกลางคนตัวนางใหญ่กว่าแรดเสียอีก แต่ท่าทางของนางกลับอ่อนโยนกว่าอสูรตัว
“พวกท่าน…”ไปจูเหวินว่าพลางมองไปรอบๆ ตอนนี้มีอสูรระดับมายาขั้นที่ 10 ออกมาแล้ว 5 ตนนั่นหมายความว่ายังมีอสูรระดับบรรพกาลอีกตนหนึ่ง
“อย่าประมาท พวกมันเอาอสูรที่น่ากลัวมาด้วย” เสียงสุดท้ายดังขึ้นพร้อมร่างของช้างที่ตัวใหญ่ที่สุดในกลุ่มอสูรที่อยู่ตรงนี้มันเป็นช้างที่มีงา 4 ข้างยื่นออกมา ทําเอามันดูน่ากลัวไม่น้อยเพียงแต่ตอนนี้อสูรช้างไม่ได้มองมาทางพวกไปจ เหวิน แต่กลับมองขึ้นไปด้านบน ตรงนั้นคือบริเวณที่อสูรปักเป้าอยู่นั่นเอง
“พวกท่าน..”ไปจเหวินส่งเสียงอีกครั้งพลางมองเหล่าอสูรตรงหน้าอย่างใจเย็น
“ข้าอยากจะเข้าไปด้านไหน ได้โปรดเปิดทางให้ข้าได้หรือไม่”ไปจูเหวินถามพลางยิ้มเงื่อนๆไม่ทราบว่าตอนนี้พลังของมันได้ผลหรือยัง
“กลิ่นอายนี่…เหมือนหวังเย่หลิงจริงๆ” อสูรลิงกอลิล่าเป็นตัวแรกที่รู้สึกนางเดินเข้ามาพลางมองไปจูเหวินอย่าง สนใจ
“นึกออกแล้ว เจ้าคือบุตรชายของนายท่าน ผู้สืบทอดพลังของหวังเย่หลิงนี่เอง” อสูรช้างพูดพลางใช้งวงของมันเลื่อนเข้ามาสัมผัสตัวไปจเหวิน แม้ขนาดงวงจะใหญ่มากจนไปจเหวินแทบจะโดดดูดเข้าไปในรูจมูกได้ก็ตาม
“ถ้าเช่นนั้นมันก็เป็นนายน้อยนะสิ”งูเผือกว่าพลางเลื้อยเข้ามามองใกล้ๆเช่นกัน
“พวกเจ้าไม่ได้กลับมาหลายปี นายท่านเป็นห่วงพวกเจ้ามาก” อสูรช้างว่าพลางใช้งวงของมันรัดร่างของไปจูเหวินแล้วเอามาวางบนหัวตนเอง
“พี่ใหญ่ ท่านขี้โกงนี่นา”อสูรจิ้งหิมะพูดพลางกระโดดลงมายืนบนหลังอสูรช้างเช่นกัน เพราะความที่นางตัวเล็กกว่าตนอื่นๆ นางเลยสามารถเข้ามาหาไปจูเหวินได้ใกล้ที่สุด
“นายท่านจะต้องดีใจแน่ ท่านรอนายน้อยกลับมาตลอดเลย” อสูรมิงหิมะพูดพลางใช้ดวงตาสีดํากลมโตของนางจ้องไปจูเหวินอย่างยินดีนางเคยเห็นไปจูเหวินแค่ตอน เล็กๆเท่านั้นไม่อยากจะเชื่อเลยว่าตอนนี้มันจะโตขนาดนี้ แล้ว
“แล้วเย่หลิงล่ะ” อสูรกิลิล่าถามพลางเดินตามอสุรช้างมาติดๆ คําถามของนางนั้นทําให้หวังตงหน้าซีดเผือดทันที
“นายหญิงจากไปแล้วขอรับ” หวังตงตอบด้วยใบหน้าเหมือนจะร้องให้ มันจะต้องบอกเรื่องนี้กับนายท่านของมันจริงๆงั้นหรือ