บุตรอสูรบรรพกาล - ตอนที่ 258 ระดับเทียน เซียนที่แข็งแกร่งที่สุด
บุตรอสูรบรรพกาล ตอนที่ 258 ระดับเทียน เซียนที่แข็งแกร่งที่สุด
“นายท่าน นี่คือวิชาลมปราณมังกรงั้นหรือ” หวังตงถามพลางมองกระแสพลังวิญญาณที่ไหลอยู่ตางร่างของไปจูเหวินนอกจากเคล็ดวิชาลมปราณมังกรแล้วทั้งวิชาโลหิตมังกรและร่างสถิตมังกรในร่างของไปจเหวินนั้นกลับร้องเรียกผ สานกันราวกับวิชาทั้งสามไม่ได้เป็นวิชาคนละสายแต่อย่างไรในตอนแรกร่างสถิตมังกรและโลหิตมังกรนั้นแยกกันทํางานอย่างชัดเจนแต่ไม่ทราบทําไมพอเรียนวิชาลมปราณมังกรเข้ามาแล้วเคล็ดร่างสถิตมังกรและโลหิตมังกรกลับเริ่มหลอมรวมเข้าด้วยกัน
“ดูเหมือนชินอี้จะมีวิชาในชุดของลมปราณมังกรมาก่อนหน้านี้แล้ว” ชินหลุนพูดพลางจ้องมองบุตรชายของตนเองความจริงแล้ววิชาลมปราณมังกรนั้นเป็น 1 ในวิชาที่แยกอ อกมาจากตําราเจ้ามังกร มันเป็นยอดวิชาที่หายสาบสูญไปหลายพันปีแล้ว แม้แต่ในยุคของชินหลุนเองก็ยังเป็นแค่ตํานาน โดยวิชาดังกล่าวถูกแยกเป็น 4 เล่ม หนึ่งคือวิชาโลหิตมังกรที่เป็นพื้นฐานของวิชาทั้งหมดไม่ทราบมันจับพลัดจับผลูอย่างไรถึงไปอยู่ในมือของอาวุโสเทียนหมิงได้ ส่วนวิชาร่างสถิตมังกรเองก็ตกไปอยู่ในมือของกลุ่มนักล่าอสูรแห่งอาณาจักร แต่ก่อนเมื่อหลายพันปีที่แล้วกลุ่มนักล่าอสูรแห่ง อาณาจักรอุ้ยิ่งใหญ่เกรียงไกรยิ่งกว่ากลุ่มเขี้ยวโลหิตในตอนนี้เสียอีกการที่พวกมันมีวิชาร่างสถิตมังกรเลยไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเพียงแต่วิชาร่างสถิตมังกรไม่ได้เสริมสร้างการฝึกฝนพลังวิญญาณเสียเท่าไหร่ทําให้การพัฒนาของผู้ฝึกค่อนข้างช้าอย่างหวงหลงที่ฝึกมานานเองก็พึ่งจะอยู่ขั้นที่4เท่านั้น
และ วิชาที่ชินหลุนพึ่งมอบให้กับไปจูเหวินไป มันคือวิชาลมปราณมังกร วิชาที่เน้นฝึกฝนและเพิ่มพูนพลังวิญญาณนอกจากจะทําให้ผู้ฝึกฝนสามารถเพิ่มพลังวิญญาณได้อย่างรวดเร็วแล้วยามต่อสู้เป็นตายยังสามารถเร่งพลังได้อย่าง มากอีกด้วย
“นายน้อย ท่านช่างมีวาสนายิ่งนัก” หวังตงพูดด้วยท่าทีซาบซึ้งซึ่งพอมานึกดูดีๆแล้วตัวมันที่ใช้พลังเต็มที่ยังโดนฝ่ามือของนายน้อยซัดจนหวั่นใจวูบเลยไม่ใช่หรือ หากต อนนั้นนายน้อยอยู่ระดับเทียนเซียนขั้นที่ 10 เช่นเดียวกับมันตอนนั้นฝ่ามือที่ว่าจะรุนแรงขนาดไหนนะ
“ไม่นึกเลยว่า วิชาโลหิตมังกร และ ร่างสถิตมังกรจะหลอมรวมเข้ากับเคล็ดวิชาลมปราณมังกรแบบนี้”ไปจูเหวินพูดพลางเดินพลังในร่างตอนนี้มันไม่สามารถใช้วิชาใดวิชาหนึ่งได้อีกแล้วเพราะทันทีที่เริ่มใช้วิชาใดวิชาหนึ่งมันก็เหมือนฟันเฟืองที่จะทําให้วิชาอื่นๆทํางานไปด้วยเช่นกัน
“สามวิชาเชียว นายท่านแล้ววิชาที่เหลือละขอรับมันอยู่ที่ไหน” หวังตงถามพลางมองไปทางชิ้นหลุนตัวมันเองเคยฟังมาตอนฝึกแล้วว่าวิชาเจ้ามังกรถูกแบ่งออกเป็น 4 เล่ม จากที่ไปจูเหวินพูดเมื่อครู่นั่นหมายความว่าไปจูเหวินได้เรียนวิ ชาไปแล้ว 3 ใน 4 หากได้อีกเล่มมาไปจูเหวินจะต้องเก่งกาจยิ่งกว่านี้แน่ๆ
“วิชาเล่มที่สี่ กรงเล็บมังกร…ถูกทําลายไปแล้ว”ได้ยินเช่นนั้นหวังตงก็หน้าเสียทันที ไม่ใช่สาบสูญแต่ถูกทําลายงั้นหรือ
“ต่อให้เป็นข้าก็คงทําอะไรไม่ได้ ดูเหมือนวิชากรงเล็บมังกรจะโดนเผาทําลายไปตั้งแต่ถูกแบ่งเล่มออกมาแล้ว” ชินหลุนสายหัวพลางมองไปทางไปจูเหวิน
“แต่วิชากรงเล็บมังกรเป็นกระบวนท่า ไม่ใช่การฝึกพลังวิญญาณขอเพียงหาวิชาที่เหมาะสมแล้วนํามาใช้ควบคู่กับพลังของเคล็ดวิชาทั้งสามย่อมได้ผลไม่ต่างกัน”ชินหลุนว่าพลางเรียกกระบี่สองเล่มออกมา
“ชินอี้ พ่อจะถ่ายทอดวิชากระบี่ราชวงศ์ชินให้กับเจ้า”ในหลุนว่าพลางโยนกระบี่อีกเล่มให้ไปจูเหวิน แม้ไปจูเหวินจะไม่ค่อยได้ใช้อาวุธนักแต่ในเมื่อมันเป็นวิชาประจํา ตระกูล หากมันไม่เรียนรู้เอาไว้คงเสียมารยาทกับบรรพบุรุษแล้ว
“ถ้าเช่นนั้น บ่าวขอตัว” หวังตงพูดพลางกระโดดหายไปอย่างกุ้งาน วิชากระบี่ราชวงศ์ชินนั้นถ่ายทอดกันเพียงในเชี้อสายของชิ้นเท่านั้นหวังตงมิบังอาจเรียนรู้
“งั้นข้า…” เหม่ยหลินเองก็ทําท่าจะออกไปเช่นกันเพียงแต่..
“ท่านพ่อ ให้เหม่ยหลินได้เรียนด้วยได้หรือไม่”ไปจูเหวินถามพลางมองมาทางชินหลุน
“วิชานี้สืบทอดกันในตระกูล หากนางเป็นภรรยาของเจ้าก็ย่อมได้”ได้ยินเช่นนั้นเหม่ยหลินก็ยังอดจะหน้าแดงไม่ได้ถึงจะมีเมื่อวันนั้นแล้วแต่นางก็อดเขินอายไม่ได้อยู่ดี
“ขอรับ นางบอกว่าอยากจะต่อสู้ร่วมกันกับข้า ข้าจึงอยากให้นางได้ฝึกฝนร่วมกัน”ไปจเหวินตอบอย่างหนักแน่นทําให้เหม่ยหลินที่อยู่ข้างๆยิ้มออกมา นางตั้งเป้าเอาไว้แล้ว ว่าจะไม่มีวันถ่วงไปจูเหวินเด็ดขาดแต่ไปจูเหวินก็พัฒนาไปอย่างน่ากลัวเหลือเกิน อีกหน่อยนางอาจจะตามมันไม่ทันแล้วก็เป็นได้
“เช่นนั้นก็ให้นางฝึกฝนวิชาลมปราณมังกรก่อนแล้วค่อยมาฝึกกระบี่”ชินหลุนว่าพลางเก็บกระบี่ไป
“ขอรับ”ไปจูเหวินเองก็เก็บกระบี่ไปเช่นกัน เพราะวิชาลมปราณมังกรนั้นไม่มีรูปเล่มตํารา วิชานี้สอนกันปากต่อปากเท่านั้นการที่ชินหลุนบอกให้นางไปฝึกก่อนนั้นหมายความว่าให้ไปจูเหวินเป็นคนถ่ายทอดให้นางนั่นเอง แน่นอนว่าด้วย ความทรงจําเหนือมนุษย์ของไปจูเหวินย่อมสามารถจดจําเคล็ดวิชาทั้งหมดได้อย่างไม่ผิดเพี้ยน ทําให้เหม่ยหลินใช้เว ลาไม่นานก็จดจําวิชาได้หลายส่วนและเริ่มฝึกร่วมกับไปจูเหวินในทันที แน่นอนว่าไปจูเหวินยังถ่ายทอดวิชาโลหิตมังกรให้เหม่ยหลินไปอีกด้วยส่วนเคล็ดวิชาอสูรวัฒนะคงต้องไปถามน้ามังกรเสียก่อน
“พี่ไป แบบนี้ลองใช้วิชาเทพประสานดีหรือไม่” เหม่ยหลินถามพลางสัมผัสพลังสีทองที่ออกมาจากร่างของตนเองแม้มันจะทําให้พลังวิญญาณลําหน้าพลังอสูรไปบ้างแต่เห ม่ยหลินก็ยังสามารถควบคุมได้อยู่
“ดี ข้าแองก็อยากลองเช่นกัน”ไปจูเหวินว่าพลางนั่งลงตรงข้ามเหม่ยหลินพักหลังมานี้พวกมันไม่ค่อยได้ฝึกวิชาเทพประสานนักไม่ใช่เพราะขี้เกียจหรือยุ่งแต่อย่างไร แต่เพราะการฝึกพลังอสูรและพลังวิญญาณไปพร้อมๆกันนั้นกินพลัง งานอย่างมากพวกมันจึงไม่ฝึกระหว่างเดินทางหรือยามมีภารกิจเพราะไม่ทราบว่าข้างหน้าจะมีอันตรายหรือไม่
วูบ..ทันทีที่ไปจูเหวินและเหม่ยหลินเริ่มใช้วิชาเทพประสาน พลังของทั้งสองก็เข้าผสานกันอย่างรวดเร็วอาจจะเพราะใจของพวกมันตรงกันแล้วก็เป็นได้พลังเทพประสานเลยทํางานได้ดีกว่าเดิมแถมตอนนี้เหม่ยหลินยังเบาแรงเรื่องกา รควบคุมสมดุลไปมากเพราะพลังทั้งสองของไปจเหวินนั้นแทบไม่ต้านกันอีกแล้ว
“พี่ไป นี่มัน…”เหม่ยหลินว่าพลางมองไปทางบ่อน้ํากลางยอดเขา
“มันคือพลังของบ่อน้ําแห่งแดนลับแลยังไงล่ะ”ชินหลุนว่าพลางยิ้มออกมาอยู่ๆระหว่างฝึกฝนพลังงานบางอย่างก็เข้ามาร่วมด้วยราวกับมีคนคอยช่วยให้พวกมันฝึกฝนได้เร็วขึ้นก็ไม่ปาณหากให้เปรียบเทียบละก็ มันรู้สึกเหมือนมีเชือกดึง ร่างของตัวเองไปข้างหน้าตอนกําลังวิ่งไม่มีผิด
“นายท่าน” อยู่ๆเสียงๆหนึ่งก็ดังขึ้นพร้อมร่างของอสูรช้างที่เดินเข้ามาบนยอดเขา
“มีอะไรหรือ” ชินหลุนถามพลางมองไปทางช้างปา
“ทําไมนายน้อยกับคนรักถึงมีพลังอสูรได้ล่ะ” อสูรช้างถามด้วยท่าทีสงสัยมันเองก็แปลกใจตั้งแต่วันแรกที่ไปจเหวินมาที่นี่แล้ว
“ข้าเองก็ไม่ทราบ แต่คงเพราะเรื่องราวที่ชินอี้เจอมานั่นล่ะ” ชินหลุนตอบด้วยท่าที่นิ่งเฉย ด้วยความสามารถของมันที่อยู่กับเหล่าอสูรมานานมันจึงสามารถสัมผัสพลังอสูร ได้ลางๆเช่นเดียวกับอาวุโสเทียนหมิงและมันก็ทราบมาแต่แรกแล้วว่าในร่างของบุตรชายและเหม่ยหลินมีพลังอสูรอยู่
“พี่ไป…” อยู่ๆเหม่ยหลินก็เปลี่ยนจากประทับฝ่ามือกับไปจูเหวินเป็นกํามือของมันเสียดื้อๆ นางกํามือของไปจูเหวินเอาไว้แน่นพลางล้มลงไปนอนบนร่างของไปจูเหวินด้วยท่าที่ทรมาน
“เหม่ยหลิน ใจเย็นๆ แล้วควบคุมมันเอาไว้”ไปจูเหวินว่าพลางกุมมือของเหม่ยหลินเอาไว้แน่นเพราะพลังของบ่อน้ําทําให้เหม่ยหลินกับไปจูเหวินพัฒนาพลังไปได้ไวมากกว่าที่คาดเอาไว้แถมเหม่ยหลินพึ่งเรียนรู้วิชาโลหิตมังกรและลมป ราณมังกร ทําให้ร่างที่ฝึกวิชาร่างสถิตมังกรมานานหลายปีเพิ่มพูนพลังวิญญาณอย่างรวดเร็ว ยามนี้เหม่ยหลินก้าวมาอยู่หน้าประตูแห่งระดับเทียนเซียนแล้ว
กึก…อีก… ตัวของเหม่ยหลินสั่นอย่างแรงยามนี้ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและทรมานอย่างมาก
“ชินอี้ เกิดอะไรขึ้น”ในหลุนว่าพลางกระโดดเข้ามาหาไปจูเหวินตัวมันไม่ทราบว่าเมื่อเข้าสู้ระดับเทียนเซียนแล้วพลังวิญญาณจะต่อต้านพลังอสูรมันจึงไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น
“นางกําลังจะเข้าสู่ระดับเทียนเซียนขอรับ”ไปจูเหวินตอบ พลางกุมมือของเหม่ยหลินเอาไว้
“เข้าสู่ระดับเทียนเซียนจะมีอาการแบบนี้ได้อย่างไร”ชินหลุนว่าพลางจ้องมองลูกสะใภ้ในอนาคตด้วยความสงสัย
“นางพยายามจะรักษาพลังอสูรไว้ขอรับ”ไปจเหวินว่าพลางเล่าเรื่องพลังอสูรของตนและเหม่ยหลินคร่าวๆให้บิดาฟังการสร้างนักรบที่มีทั้งพลังของอสูรและพลังวิญญาณนั้นเป็นความหวังของหวงหลงบิดาของเหม่ยหลิน นางฝึกหนังมา ทั้งชีวิตเพื่อช่วงเวลานี้นางจึงไม่มีทางยอมให้พลังอสูรโดนขับออกไปแน่ๆ
“เหม่ยหลิน พยายามเข้าไปจูเหวินพูดพลางกํามือของเหม่ยหลินเอาไว้ยามนี้พลังอสูรและพลังวิญญาณของเหม่ยหลินตีกันจนวุ่นในร่างกาย ทําให้ไปจูเหวินใช้ดวงตาสีม่วงเพื่อตรวจสอบทันที
สภาพพลังของเหม่ยหลินยามนี้ราวกับสัตว์ปาสองตัวกําลังไล่จับกันไม่มีผิด พลังวิญญาณของเหม่ยหลินกําลังพยายามตามล่าพลังอสูรในร่างของนางอยู่ไม่มีผิดแต่ไปจูเหวินที่ มองเห็นกลับรู้สึกแปลกๆ
“เหม่ยหลิน อย่าพยายามจับพลังอสูรเอาไว้”ไปจูเหวินว่าพลางกํามือของเหม่ยหลินแน่นขึ้น ตอนแรกไปจูเหวินคิดว่าเมื่อเข้าถึงระดับเทียนเซียนพลังวิญญาณจะแข็งแกร่งและพยายามขับไล่พลังอสูรออกไปจากร่างเสียอีกแต่มันกลับไม่ใช่พลังอสุรต่างหากที่กําลังพยายามจะหนีจากพลังวิญญาณอาจจะเพราะพลังวิญญาณแข็งแกร่งขึ้นจากการเข้าสู่ระดับเทียนเซียนทําให้พลังอสูรที่แต่เดิมพยายามจะยึดครองร่างของผู้กลืนแก่นอสูรรู้สึกหวาดกลัวและพยายามหนีแน่นอนว่าผู้พยายามรักษาพลังอสูรเอาไว้จะพยายามรังพลังอสูรเอาไว้เท่าที่ทําได้แต่การทําเช่นนั้นแทบไม่ต่างจากสิงโตที่ กระโจนเข้าใส่กระต่ายเพื่อขอผูกมิตรเช่นนั้นกระต่ายหรือพลังอสูรไม่หนีก็คงจะบ้าแล้ว
“ไม่ต้องห่วง ผ่อนคลายเข้าไว้”ไปจูเหวินว่าพลางส่งพลังของตนเองเข้าไปในร่างของเหม่ยหลิน พลังธาตุสีทองของไปจูเหวินสัมผัสพลังอสูรของเหม่ยหลินอย่างช้าๆ ทําให้ความปั่นป่วนในร่างของเหม่ยหลินค่อยๆเบาลง แม้แต่พลังอ สูรที่อยู่ในรูปแบบแก่นอสูรก็ยังแพ้ทางพลังของไปจูเหวินงั้นหรือ..
“ค่อยๆ…นึกถึงตอนก่อนจะเข้าสู้ระดับเทียนเซียน เคลื่อนพลังช้าๆและอ่อนโยน” น่าขํา การผสานพลังวิญญาณหลังจากเข้าสู่ระดับเทียนเซียนแล้วมีสภาพไม่ต่างจากสิงโตพ ยายามผูกมิตรกระต่ายตอนนี้ไปจูเหวินราวกับกําลังบอกให้สิงโตค่อยๆคลานต่ําไปหากระต่ายอย่างเป็นมิตรที่สุด
“สําเร็จ”ไปจูเหวินยิ้มเมื่อพลังอสูรเริ่มผสานกับพลังวิญญาณอีกครั้งในที่สุดสิ่งที่หวงหลงวาดฝันเอาไว้ก็สําเร็จบัดนี้เหม่ยหลินคือผู้ฝึกฝนพลังวิญญาณระดับเทียนเซียนที่ มีทั้งพลังอสูรและพลังวิญญาณในร่างเป็นที่เรียบร้อยแล้ว