บุตรอสูรบรรพกาล - ตอนที่ 264 ปะทะวุ่นวาย
บุตรอสูรบรรพกาล ตอนที่ 264 ปะทะวุ่นวาย
“ไอ้เจ้าพวกราชวงศ์ชิน”ร่างของหัวหน้ากลุ่มเขี้ยวโลหิตเดินออกมาจากซากอาคารด้วยท่าที่เดือดดาล บ้านเมืองของมันพังทลายไม่มีชิ้นดี แถมคนของมันยังตายไปไม่น้อยเลย
“องค์จักรพรรดิ เจ้าโจมตีกลุ่มเขี้ยวโลหิตของข้าด้วยสาเหตุใด” หัวหน้ากลุ่มเขี้ยวโลหิตถามพลางลอยตัวขึ้นเหนือสนามรบ
“เจ้ายังจําหญิงสาวที่อาวุโสของเจ้า หวังตง พาตัวมาได้หรือไม่”องค์จักรพรรดิเองก็ถามออกไปด้วยเสียงอันดังกึกก่องเช่นกัน
“นางนั้นคือนางพญาของเหล่าอสูร แล้วมันเกี่ยวอะไรกับราชวงศ์กันเล่า” หัวหน้ากลุ่มเขี้ยวโลหิตไม่มีทางลืมเหตุการณ์ในวันนั้นอย่างแน่นอน เพราะการมีตัวตนของเย่หลิงทําให้มันสามารถมีทุกวันนี้ได้นั่นเอง
“ผิดแล้ว นางคือมารดาของชินอี้ หนึ่งในสมาชิกของราชวงศ์ตระกูลชินต่างหาก”ได้ยินเช่นนั้นหัวหน้ากลุ่มเขี้ยวโลหิตก็ขมวดคิ้วทันที มันยังจําได้ว่าหวังตงพาเด็กทารกหนี ไป แต่คนของมันรายงานมาแล้วว่าเด็กคนนั้นตายไปแล้วไม่ใช่หรือ
“เจ้ามีหลักฐานใดมาพิสูจน์” หัวหน้ากลุ่มถามพลางมองสถานการณ์รบเบื้องล่าง ตอนนี้อสูรส่วนใหญ่ของมันยังต้านรับกองทัพขององค์จักรพรรดิได้ แต่จํานวนของอสูรน้อยกว่ายอดฝีมือและอสูรที่ไป๋จูเหวินพามา แถมมังกรขาวและมังกรดําซึ่งเป็นอาวุธลับของพวกมันก็พัวพันอยู่กับเจ้าตัวที่เป่าเมืองของมันเสียกระจุย หากชนะได้ความเสียหายของพวกมันก็หนักไม่ต่างกัน
“แน่นอน”องค์จักรพรรดิว่าพลางผายมือไปด้านหลัง ที่ตรงนั้นคือตําแหน่งที่หวังตงยืนอยู่นั่นเอง
“ไม่ได้พบกันนานนะขอรับท่านหัวหน้า”หวังตงว่าพลางเปล่งแสงสีทองออกมา ก่อนหน้านี้มันได้นายน้อยช่วยรักษาอาการบาดเจ็บตกค้างให้ แม้จะไม่เต็มร้อยแต่มันก็ได้พลังแต่เดิมมาเกือบทั้งหมดแล้ว
“หวังตง…”หัวหน้ากลุ่มเขี้ยวโลหิตกัดฟันกรอด ไม่นึกเลยว่าหญิงแส้หวังที่หวังตงพามาจะเป็นถึงสะใภ้ของราชวงศ์ชิน นี่มันเกินความคาดหมายไปจริงๆ แน่นอนตอนนี้หวังเย่หลิงยังไม่ตาย และมันก็สร้างผลประโยชน์จากนางได้จํานวนมาก ต่อให้โทษสังหารเย่หลิงเปลี่ยนเป็นกักขังทรมานเย่หลิงมาเกือบ 20 ปีผลลับก็คงไม่ต่างกัน มันสู้ไม่บอกเรื่องเย่หลิงคงดีกว่า
“หัวหน้า…วันนี้ข้าจะกลับมาชําระหนี้”หวังตงคํารามพลางกระโดดขึ้นไปหาหัวหน้ากลุ่มเขี้ยวโลหิต ด้วยกําลังน่าขนลุกของมันทําให้เหล่าอาวุโสที่กําลังลงไปร่วมศึกหันมาปกป้องหัวหน้ากลุ่มทันที
“หวังตง คราวก่อนเจ้ายังไม่เข็ดงั้นหรือ”อาวุโสคนหนึ่งว่า พลางเข้ามารับหมัดของหวังตงเอาไว้ แต่ถึงจะรับเอาไว้ได้ร่างของมันก็ถอยไปข้างหลังอยู่ดี
“จัดการพวกมันให้หมด วันนี้หากไม่ใช่ราชวงศ์ชินก็เป็นกลุ่มเขี้ยวโลหิตที่ต้องสิ้นชื่อ” หัวหน้ากลุ่มเขี้ยวโลหิตประกาศเสียงดังลั่น มันไม่มีข้อแก้ตัวเรื่องเย่หลิง ทําให้มันเลือกทางแตกหักมากกว่า
ตูม!! ร่างของมังกรสีดําร่วงลงมาบนพื้นหลังจากโดนกระสุนวายุเข้าไปเต็มแรง ความน่าหวาดกลัวของอสูรปักเป้าทําเอาเหล่าคนของกลุ่มเขี้ยวโลหิตขวัญหนีดีฝ่อ พวกมันแต่เดิมทราบอยู่แล้วว่ามังกรทั้งสองตนแข็งแกร่งขนาดไหน แต่ตอนนี้พวกมันกําลังร่วมมือกันรุมอสูรปักเป้า แต่ก็ทําได้แค่เพียงถ่วงไม่ให้อสูรปักเป้าปล่อยกระสุนวายุขนาดใหญ่นั่นออกมาเท่านั้น
ฉับ!! กระบี่ในมือเหม่ยหลินตัดร่างของอสูรตนหนึ่งขาดเป็นชิ้นๆ ด้วยตําแหน่งบุตรสาวแห่งหัวหน้ากลุ่มนักล่าอสูรเหม่ยหลินคือคนหนึ่งที่สามารถรับมืออสูรได้เก่งกาจที่สุด ยามนี้กระบี่ในมือนางปัดป้ายไปตามร่างของเหล่าอสูรอย่างรวดเร็วและรุนแรง เรียกได้ว่าสมแล้วที่หวงหลงพยายามอย่างหนักเพื่อให้นางรักษาพลังทั้งสองฝั่งเอาไว้ ผลที่ได้นั้นคุ้มค่าจริงๆ
“มีอะไรหรือน้องสาม” ชินอันถามพลางรับมือกับอสูรของกลุ่มเขี้ยวโลหิตอย่างยากลําบาก
“ที่น้องสะใภ้ใช้เป็นกระบี่ราชวงศ์ชินหรือไม่”องค์ชายสามถามพลางมองวิชากระบี่ของเหม่ยหลินไม่วางตา มันเหมือนกระบีราชวงศ์ชิน แต่ก็ไม่ใช่
“มีเค้าโครง แต่ไม่ใช่กระบี่ราชวงศ์ชิน” ชินอันตอบพลางถอยออกมาจากการต่อสู้
“นางยอดไปเลย” องค์ชายสามกล่าวชื่นชมพลางมองเพลงกระบี่ของเหม่ยหลินไม่วางตา แม้จะน่าเสียดาบที่เหม่ยหลินไม่ใช่ปีศาจความจําเยี่ยมอย่างไป๋จูเหวินหรือบิดาของมัน ทําให้เหม่ยหลินฝึกวิชากระบี่ราชวงศ์ชินฉบับของชินหลุนได้เพียง 2 กระบวนท่าเท่านั้น แต่กระบวนท่าเพียงสองกระบวนท่ากลับล้ําลึกกว่าวิชากระบี่ดาวตกของกลุ่มนักล่าอสูรเสียอีก
“กรรร” อสูรตนหนึ่งพุ่งเข้ามาหาเหม่ยหลิน แต่นางกลับใช้มือซ้ายของนางรับเอาไว้ด้วยท่าหิมะละลายกลางนภา ทําให้หารโจมตีของอีกฝ่ายราวกับหมดแรงไปกลางคันไม่มีผิด
ฉีก…เหม่ยหลินใช้มือขวาสะบัดกระบี่ไปทางอสูรตนนั้นจนเกิดบาดแผลใหญ่ทันที อาจจะเป็นเพราะผลพวงจากการฝึกร่วมกับไป๋จูเหวินก็เป็นได้ เพราะยามฝึกวิชาเทพประสานเหม่ยหลินต้องพยายามควบคุมพลังวิญญาณและพลังอสูรให้สองด้านคงที่ นางจึงคุ้นเคยกับการทํางานแยกข้างซ้ายขวาออกจากกันอย่างน่าประหลาด ยามนี้มือซ้ายของเหม่ยหลินรายวิชาฝ่ามือท่องแดนอสูร 2 ชุดมือขวาร่ายกระบี่ราชวงศ์ชินฉบับใหม่ 2 กระบวนท่ากลับกลายเป็นน่ากลัวอย่างมาก
วูบ…เหม่ยหลินกระโดดขึ้นสูง ก่อนจะร่อนลงมาใช้ฝ่ามือปักษาข้ามสมุทรใส่ชายคนหนึ่งที่โถมเข้ามาในแนวหน้าอย่างจัง
“ยัยเด็กนี่” ชายคนนั้นกัดฟันกรอดพลางใช้ดาบของมัน ฟาดใส่เหม่ยหลินทันที
เคร็ง!! ตั๋วๆๆๆ กระบี่ในมือขวารับดาบของชายคนั้น ก่อนที่ร่างของเหม่ยหลินจะผิดไปครึ่งรอบฝามือปักษาโรมรันก็เข้าปะทะหน้าอกของชายคนนั้นทันที ทําเอามันต้องถอยไปหลายก้าว
“อะไรกัน” ชายคนนั้นจับไปที่หน้าอกของตนเองอย่างประหลาดใจ นางอยู่แค่ระดับเทียนเซียนขั้นที่ 1 เท่านั้น แต่นางกลับต้านกําลังของมันที่อยู่ระดับเทียนเซียนขั้นที่ 10 ได้ นี่มันเรื่องเหลือเชื่ออะไรกัน
“ยัยหนู” ชายคนนั้นคํารามพลางยกดาบขึ้นมาอีกครั้ง แต่พอง้างขึ้นไปบนอากาศร่างของมันก็ชะงักไปทันที เรียกได้ว่าการใช้ฝ่ามือหิมะละลายกลางนภาแล้วแฝงวิชาเมฆหนาไร้หิมะลงไปจะเป็นเรื่องปกติสําหรับเหม่ยหลินไปแล้ว
ฟุบ! กระบี่ของนางตัดร่างของชายคนนั้นในทันที พร้อมแสงสีทองที่แผ่ออกมาจากตัวนาง ยามนี้หากไม่ใช่ชนชั้นยอดฝีมือ คงจะรับมือเหม่ยหลินได้ยากเต็มที่
เปรี้ยง!! ร่างของไป๋จูเหวินทะยานไปข้างหน้าด้วยความเร็วที่น่าเหลือเชื่อ แม้ไม่ถึงขั้นกลายเป็นสายฟ้าเช่นเดียวกับน้าพยัคฆ์ แต่การเคลื่อนไหวเท้าโดยใช้เคล็ดวิชาจากอัสนีข้ามฟ้านั้นก็ทําให้ไป๋จูเหวินเคลื่อนไหวได้เร็วจนน่าขนลุก ด้วยการแก้ไขของชินหลุน ทําให้ท่าอัสนีข้ามฟ้ากินพลังวิญญาณน้อยลง ทําให้ไป๋จูเหวินสามารถใช้งานมันได้บ่อยขึ้น ถึงขนาดสามาระเอามาใช้เป็นการเคลื่อนที่ได้เลยทีเดียว
เปรี้ยง!! ฝามือเพลิงพิโรธของไป๋จูเหวินกระแทกใส่ร่างของอสูรตนหนึ่งจนลอยไปข้างหลัง ฝามือเพลิงพิโรธเองก็ถูกปรับการใช้พลังใหม่จากชิ้นหลุนเช่นกัน เมื่อสามารถเดินพลังในร่างมนุษย์ได้ ฝ่ามือเพลิงพิโรธก็สามารถรวบรวมพลังได้เร็วขึ้น ยามนี้สามารถปล่อยออกมาได้ไม่ต่างจากฝ่ามือปกติเสียด้วยซ้ํา
“แกเองสินะ เจ้าเด็กที่ชื่อชินอี้”ร่างของอาวุโสคนหนึ่งทะยานเข้ามาหาไป๋จูเหวินอย่างรวดเร็ว เพราะเรื่องที่องค์จักรพรรดิคุยกับหัวหน้ากลุ่มเขี้ยวโลหิตเมื่อครู่ ทําให้พวกมันได้ ทราบแล้วว่าองค์ชายที่พึ่งปรากฏตัวคือสาเหตุทั้งหมดของเรื่องนี้
วูบ…ฝ่ามือของอาวุโสคนนั้นสร้างไอเย็นออกมาจนน่าตกใจ พริบตาที่ฝ่ามือของอาวุโสตรงหน้าไป๋จูเหวินเข้าปะทะกับฝ่ามือเพลิงพิโรธ ไอเย็นก็แผ่เข้ามาในร่างของไป๋จูเหวินทันที ทําเอาพลังของฝ่ามือเพลิงพิโรธปล่อยไม่ออกเลยทีเดียว
เปรี้ยง! ไป๋จูเหวินเห็นกําลังตนเองเป็นรองชัดเจนขนาดนี้ มันจึงเริ่มใช้เคล็ดวิชาลมปราณมังกรออกมาทันที ด้วยพลังวิญญาณที่ร้อนแรงและเข้มข้นที่ถูกเพิ่มขึ้นมาอย่างกระทันหัน ทําเอาไอเย็นที่แผ่ออกมาจากอาวุโสโดนดันกลับไปในพริบตา ก่อนที่ไป๋จูเหวินจะปล่อยอานุภาพของฝ่ามือเพลิงพิโรธอัดจนอาวุโสคนนั้นถอยไปข้างหลัง
“วันนี้มันเรื่องบ้าอะไรนักหนาวะ”อาวุโสตรงหน้าพูดออกมาด้วยท่าทีขัดใจ เหม่ยหลินที่อยู่ระดับเทียนเซียนขั้นที่ 1 ก็เอาชนะคนระดับเทียนเซียนขั้นที่ 10 ของมันได้ง่ายๆ แถมเจ้าหนูนี่ยังไม่ขึ้นระดับเทียนเซียนด้วยซ้ํา แต่กลับชนะด้านกําลังกับตัวมันเองเสีนอย่างนั้น
วูบ…อยู่ๆรอบกายของอาวุโสก็พลันหนักอึ้งไปทั้งร่าง เมื่อมันลองมองไปทางไป๋จูเหวินก็พบว่ามันกําลังรวบรวมพลังอยู่ แต่ไม่ทราบทําไมร่างกายของมันถึงขยับได้ยากเย็นเพียงนี้
ตูม!! แม้จะได้ปรับการเดินพลังแล้ว แต่ฝ่ามือเพลิงผลาญคล้อยสํานึกก็ยังต้องใช้เวลารวบรวมพลังอยู่ดี ชินหลุนจึงปรับเปลี่ยนกระบวนท่านิดหน่อย ให้ยามรวบรวมพลังจะปลดปล่อยพลังออกไปส่วนหนึ่งเพื่อกดดันศัตรูที่อยู่รอบๆ ทั้งนี้เพื่ออัตราความสําเร็จในการใช้และความแม่นยําหลังใช้นั่นเอง
“อัก”อาวุโสของกลุ่มเขี้ยวโลหิต แม้จะบาดเจ็บจากกระสุนวายุ แต่ก็เป็นชนชั้นยอดฝีมือไม่ได้พ่ายแพ้ง่ายๆแต่อย่างไร แม้ฝ่ามือเพลิงผลาญคล้อยสํานึกในครั้งนี้จะรุนแรงและสร้างความเสียหายให้มันมากก็ตาม แต่ก็ยังไม่มากพอที่จะล้มมันได้
“แก”อาวุโสของกลุ่มเขี้ยวโลหิตคํารามพลางปล่อยพลังไอเย็นออกมาจากร่าง ความเย็นนั้นเหนือกว่าก่อนหน้านี้อย่างเห็นได้ชัด ท่าทางมันจะเอาจริงแล้ว
เปรี้ยง!! อยู่ๆร่างของอาวุโสของกลุ่มเขี้ยวโลหิตก็ล้มลงไปนอนกับพื้น เพียงแต่ผู้โจมตีไม่ใช่ไป๋จูเหวินแต่อย่างไร
“ท่านน้า?”ไป๋จูเหวินงงไปพักหนึ่งหลังจากเห็นชัดตาว่าใครคือคนที่โจมตีอาวุโสของกลุ่มเขี้ยวโลหิตจนล้มลงไปนอนกับพื้น
“จูเอ๋อ เจ้ามาทําอะไรที่นี่” พยัคฆ์อัสนีถามพลางมองไป๋จูเหวินอย่างงุนงง
“ข้า..ข้าสืบข่าวของครอบครัวข้าแล้ว…”ไป๋จูเหวินเองก็อยากจะเล่า แต่ไม่ทราบว่ามันจะเล่าย่อๆให้น้าพยัคฆ์เข้าใจอย่างไรดี
“ช่างมันก่อน เจ้ามากับข้า” พยัคฆ์อัสนีว่าพลางฉุดแขนของไป๋จูเหวินไป แม้ไม่ทราบว่าพยัคฆ์อัสนีจะพาไปไหน แต่หากมันไม่ไว้ใจท่านน้าของมันแล้วมันจะไว้ใจใครกันเล่า
ฟุบ! ร่างของไป๋จูเหวินถูกพยัคฆ์อัสนีดึงออกออกมาจากสนามรบเพียงพริบตาเดียวเท่านั้นก็มาถึงยังสวนหลังของกลุ่มเขี้ยวโลหิต ที่นี่ฟังไม่มีชิ้นดีจากการโจมตีของอสูรปักเป้า แต่ที่กลางสวนนั้นก็ยังมีหญิงสาวคนหนึ่งยืนอยู่ ตัวนางนั้นแม้จะแผ่พลังออกมาอย่างแผ่วเบาเพราะร่างกายไม่แข็งแรง แต่ไป๋จูเหวินก็สัมผัสได้ถึงพลังแบบเดียวกันกับที่ตัวเองมีทันที ที่คนทั้งสองสบตากันก็แทบจะไม่จําเป็นต้องเอ่ยถามอะไรกันอีกแล้ว