บุตรอสูรบรรพกาล - ตอนที่ 27 เที่ยวเล่น
ตอนที่ 27
เที่ยวเล่น
หลายต่อหลายวันผ่านไป อาจารย์ลี่และอาจารย์หู่ต่างอารมดีเป็นอย่างมากเพราะพวกมันได้ศิษย์คนใหม่ที่สร้างความพึงพอใจให้พวกมันได้ อาจารย์หู่ที่มักจะชอบศิษย์บ้าพลังอย่างหยางเกา กลับเป็นฝ่ายออกปากชวนไป๋จูเหวินฝึกฝนกับตนเอง ส่วนอาจารย์ลี่ที่ชอบฝึกฝนวิชาต่อสู้ก็แนะนำตำราดีๆในหอตำราให้ไป๋จูเหวินไม่ขาด บางคราถึงกับคัดลอกตำราด้วยมือตนเองเลยทีเดียว
หากเป็นคนอื่น ไม่ร่างกายก็สมองต้องพังไปแล้วแน่ๆ แต่ไป๋จูเหวินกลับรับคำสอนและการฝึกหนักของอาจารย์ทั้งสองได้อย่างสบาย เพียงแต่พลังวิญญาณในร่างของมันกลับไม่เพิ่มตามที่มันคิดเลย ทั้งนี้เป็นเพราะพลังอสูรที่เข้มแข็งขึ้น ทำให้การรวบรวมพลังวิญญาณยิ่งยากขึ้น ตอนนี้ไป๋จูเหวินที่มีร่างกายเหมาะสมกับการฝึกพลังวิญญาณอย่างมากกลับเลื่อนขึ้นมาเป็นระดับ 2 เท่านั้น แต่ในสายตาพวกอาจารย์กลับมองว่าเป็นการพัฒนาที่รวดเร็วจริงๆ น่าเสียดายที่มีคนเลื่อนเป็นระดับ 6 ไปแล้วอย่างต้าชิงและต้าเฉินทำให้ไม่ค่อยมีใครชื่นชมเรื่องการฝึกพลังวิญญาณของไป๋จูเหวินนัก
“นายน้อยยอดเยี่ยมจริงๆ เพียงไม่กี่วันก็เลื่อนเป็นขั้น 2 แล้ว”มีเพียงแต่ต้าชิงและต้าเฉินเท่านั้นที่เห็นพัฒนาการของนายน้อยมันเป็นเรื่องยอดเยี่ยม เพราะพวกมันรู้ดีว่าการค้างอยู่ระดับต่างๆมันใช้เวลายาวนานแค่ไหน หากไม่ใช่เพราะยาที่นายน้อยปรุงให้และเคล็ดวิชาโลหิตปะทุพวกมันคงไม่สามารถเลื่อนระดับได้ไวเช่นนี้
“จะว่าไป แบบนี้ข้าก็สามารถใช้พลังอสูรได้แล้วสินะ”ไป๋จูเหวินว่าพลางสัมผัสที่ท้องของตน พวกท่านน้าบอกว่าห้ามมันใช้พลังอสูรจนกว่าจะได้พลังวิญญาณมา แต่ตอนนี้มันมีพลังวิญญาณในระดับ ก่อกำเนิดขั้นที่ 2 แล้ว หากไม่ใช่เพราะมันกลัวว่าพลังอสูรจะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นจนพลังวิญญาณตามไม่ทันละก็มันคงใช้พลังอสูรออกมาต่อหน้าทุกคนไปแล้ว
“ข้ายังคิดว่าพลังอสูรไม่ควรใช้พร่ำเพรื่อนะขอรับ หากนักล่าอสูรพบเข้า…”ต้าชิงยังคงกังวลแทนนายน้อยของมันอยู่เสมอ เพียงแต่ไป๋จูเหวินได้ยินเรื่องของนักล่าอสูรมาพักหนึ่งแล้ว แต่ยังไม่ทราบสักที่ว่าพวกเขาเป็นบุคคลเช่นไรกันแน่
“พี่ชิง นักล่าอสูรเป็นเช่นไรงั้นหรือ ข้าได้ยินท่านพูดถึงบ่อยๆ”ไป๋จูเหวินถามพลางขมวดคิ้ว
“นักล่าอสูรเป็นผู้ฝึกฝนพลังวิญญาณเช่นเดียวกันกับพวกเราขอรับ เพียงแต่พวกเขาจะมีความสามารถสัมผัสพลังอสูรได้ พวกเขาจึงสามารถแยกแยะได้ว่ามีอสูรปลอมมาเป็นมนุษย์ในเมืองหรือไม่ขอรับ”ต้าชิงตอบ
“พวกเขามักจะแต่งกายสีดำ ปิดหน้าปิดตาจนมิดชิดและสวมสร้อยคอที่สร้างจากกรงเล็บของสัตว์อสูร”ต้าเฉินเสนอเพิ่มเติม ทำให้ไป๋จูเหวินพยายามนึกภาพตาม แต่มันก็ไม่สามารถนึกภาพออกมาได้ถูกต้องเท่าไหร่นัก
.
.
ในยามเย็น ไป๋จูเหวินก็เตรียมตัวออกไปที่ต้นไม้หลังสำนักเช่นเดิม เขาทำเช่นนี้เป็นประจำจนไม่มีใครคิดสงสัยแล้วเพราะมีศิษย์หลายคนเหมือนกันที่แอบออกไปฝึกฝนคนเดียว แน่นอนว่าเฟิงชิวก็เป็นหนึ่งในนั้น
“ศิษย์น้องไป๋ เจ้าจะไปไหนกัน”เฟิงชิวที่อยู่หน้าหอตะวันออกถามพลางมองไป๋จูเหวินที่กำลังจะลงจากหอพักไป
“ข้าจะไปฝึกวิชา ศิษย์พี่ใหญ่ละไม่ไปที่ต้นเหมยประทับชาดหรือ”ไป๋จูเหวินถามโดยไม่คิดอะไร แต่เฟิงชิวกลับรีบเข้ามาปิดปากไป๋จูเหวินเอาไว้ก่อน
“ไหนว่าเจ้าจะไม่บอกใครไง”เฟิงชิวว่าพลางมองไปรอบๆ หวังว่าจะไม่มีใครเห็น
“เขาไม่บอกแล้วยังไง พวกเรารู้กันหมดนั่นละว่าท่านไปทำอะไรที่ใต้ต้นเหมยประทับชาด”จินเหลียนหัวเราะพลางเดินออกมาจากเงามืด
“หืม..เขาไปทำอะไรงั้นหรือ ข้าไม่เห็นรู้เรื่องเลย”หยางเกาถามพลางมองไปทางจินเหลียน
“มีแต่ท่านนั่นละที่ไม่รู้”จิงหลิงยักไหล่พลางตบไหล่หยางเกาเบาๆ ศิษย์ที่อยู่มานานหน่อยต่างรู้ดีว่าศิษย์พี่ใหญ่แอบไปทำอะไรตอนกลางคืน เหตุใดพี่ใหญ่ยังคิดว่าจะปิดบังกันได้อีก
“เหอะ พวกเจ้าช่างสอดรู้สอดเห็นจริงๆ”เฟิงชิวว่าพลางถอนหายใจออกมา
“จริงสิน้องไป๋ พวกเราจะไปเที่ยวในเมืองสักหน่อย เจ้าจะไปด้วยหรือไม่”จินเหลียนถามพลางมองทางไป๋จูเหวิน
“ข้าไปด้วย”ไป๋จูเหวินยิ้มพลางตอบรับทันที มันออกเดินทางมาชมโลกกว้าง มันย่อมอยากท่องเที่ยวอยู่แล้ว
“ดี งั้นไปกันเลย”เฟิงชิวว่าพลางเดินนำหน้าออกไป เมืองที่พวกเขาเดินทางมาไม่ใช่เมืองใกล้ๆสำนักยอดเมฆา เพราะมันไกลกว่าพวกเขาต้องใช้เวลาเดินทางมากเกินไป เมืองที่พวกเขาจะไปคือเมือง กล้วยไม้หยก เมืองนี้ใกล้กับสำนักธารโลหิตที่สุด และอยู่ใกล้สำนักบุปผชาติที่สุดเช่นกัน ทำให้เมืองนี้มีทั้งผู้ฝึกฝนพลังวิญาณหญิงจากสำนักบุปผชาติมาเป็นครั้งคราว และมีเจ้าพวกป่าเถื่อนจากสำนักธารโลหิตมาเป็นประจำเสียอย่างนั้น
“เมืองนี้สวยจริงๆนะขอรับ”ไป๋จูเหวินอดชื่นชมไม่ได้หลังจากเดินทางมาพักใหญ่ เฟิงชิว หยางเกา จิงหลิง จินเหลียน และไป๋จูเหวินนั่งเรือจากสำนักล่องตามน้ำมาจนถึงเมืองกล้วยไม้หยกได้ในเวลาไม่นาน ด้วยกำลังเหนือมนุษย์ของหยางเกาและเฟิงชิวที่ผลัดกันพายเรือ ทำให้การเดินทางมายังเมืองอื่นใช้เวลาไม่ถึงชั่วโมงเสียด้วยซ้ำ
“ใช่แล้ว เมืองกล้วยไม้หยกเป็นเมืองที่งดงามที่สุดยามค่ำคืนเช่นนี้ไงละ”เฟิงชิวว่าพลางกระโดดขึ้นไปบนท่าเรืออย่างรวดเร็ว ทำให้เหล่าศิษย์น้องต่างกระโดดตามขึ้นไปเช่นกัน
“ศิษย์พี่ พวกเราไปเดินชมเมืองด้วยกันเถอะ”จินเหลียนว่าพลางเข้าไปหาจิงหลิงทันทีที่ขึ้นมาจากเรือ
“ไม่ เจ้าอยากไปไหนก็ไปเองสิ”จิงหลิงว่าพลางเดินไปหาหยางเกาและเฟิงชิวโดยไม่สนใจท่าทีเจ็บปวดของจินเหลียนเลย
“น้องไป๋ ตามข้ามา”เฟิงชิวว่าพลางโบกมือให้ไป๋จูเหวินที่เอาแต่มองบ้านเมืองตามตนมาเร็วๆ
“วันนี้โชคดีจริงๆ มีคนจากสำนักบุปผชาติมาด้วย”จินเหลียนปลดท่าทีหดหู่เมื่อครู่ทิ้ง ก่อนจะชี้ไปทางเหล่าศิษย์จากสำนักบุปผชาติ พวกนางไม่เหมือนสำนักธารโลหิตที่ปล่อยศิษย์มาไหนไปไหนตามใจ พวกนางต่างเดินตามหญิงวัยกลางคนที่น่าจะเป็นอาจารย์ด้วยกิริยาเรียบร้อยอ่อนหวาน
“งั้นข้าคงต้องไปทักพวกนางสักหน่อย ดูสิพวกนางราวกับดอกไม้แรกแย้มไม่มีผิด”เฟิงชิวว่าพลางทำหน้ากะล่อน แต่ยังไม่ทันเดินไปก็โดนจิงหลิงคว้าคอเอาไว้ก่อน
“ท่านจำไม่ได้หรือไง คราวก่อนอาจารย์ของพวกนางหวดท่านจนหลังลายเพราะท่านไปแต๊ะอั๋งศิษย์ของนางน่ะ”จิงหลิงเตือนพลางมองเฟิงชิวด้วยสายตาเอือมระอา
“อ่อ ตอนนั้นยัยแก่นั่นหวดท่านด้วยด้ามกระบี่นี่นา”หยางเกาเหมือนระลึกความหลังออก พลางบรรยายฉากศิษย์พี่ใหญ่โดนตีสั่งสอนราวกับเด็กออกมาให้ไป๋จูเหวินฟังเป็นฉากๆ ทำเอาใบหน้าของเฟิงชิวแดงก่ำ
“อย่าพูดถึงอดีตเลย พวกเราไปเถอะ”เฟิงชิวเห็นอาจารย์ของพวกสำนักบุปผชาติแล้วอดแสบหลังไม่ได้ มันเลยบอกให้ศิษย์น้องของมันเข้าไปในเมืองแทน
ภายในเมืองกล้วยไม้หยก นับว่าการค้าหนาแน่นกว่าเมืองที่ไป๋จูเหวินเคยเจอมากมายนัก ร้านค้าและการแสดงยามค่ำคืนมีกันอยู่เต็มถนน แน่นอนว่าหากเลยย่านการค้าธรรมดาไป จะเจอกับหอนางโลมที่มีหญิงสาวบ้างหญิงวัยกลางคนบ้างออกมาเรียกลูกค้า และทันทีที่กลุ่มของไป๋จูเหวินเดินผ่านไป หญิงบริการคนหนึ่งก็เดินเข้ามาหาทันที พร้อมตรงเข้ามากอดเฟิงชิวอย่างสนิทสนม
“พี่ชิว ทำไมช่วงนี้ท่านไม่มาเยี่ยมข้าเลยละ”หญิงสาวว่าพลางใช้หน้าอกแนบกับแขนของเฟิงชิว พลางช้อนสายสายตาด้วยท่าทีออดอ้อนจนจิงหลิงที่อยู่ด้านหลังอดขนลุกไม่ได้
“อะ เอ่อ…..น้องหยานเจ้า….”เฟิงชิวสะดุ้งพลางหันมามองศิษย์น้องของมัน แน่นอนว่าความนับถือแทบไม่เหลือในสายตาของจิงหลิงเลยแม้แต่น้อย ส่วนหยางเกากับจินเหลียนเหมืนจะไม่สนใจนักราวกับเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นเป็นเรื่องปกติ และทางไป๋จูเหวิน มันเหมือนจะไม่รู้เรื่องเท่าไหร่….
“ศิษย์น้อง ข้า…”เฟิงชิวกลืนน้ำลายลงคอพลางมองสายตาของเหล่าศิษย์น้องที่เคยมองมันอย่างนับถือ
“ข้าขอตัวไปทำธุระสักครู่ พวกเจ้าเดินเที่ยวกันก่อนเลย”เฟิงชิวพูดจบก็ตามแม่นางหยานไปอย่างรวดเร็ว ทำให้จิงหลิงที่เป็นหญิงอยู่คนเดียวถอนหายใจเฮือกออกมา
“น้องไป๋ พวกเราไปกันต่อเถอะ”จิงหลิงว่าพลางเดินไปโดยไม่สนใจเฟิงชิวแม้แต่น้อย นางไม่สนแม้แต่จินเหลียนที่ทำท่าจะตามพี่ใหญ่ไปเสียด้วยซ้ำ
ไม่ทราบทำไม เดินมาได้สักพักกลุ่มเดินชมเมืองถึงเหลือแค่ จิงหลิง หยางเกา และ ไป๋จูเหวินเท่านั้น ทำให้จิงหลิงเหนื่อยใจเป็นอย่างมาก
“พี่เกา เราไปหาอะไรทานกันเถอะ”จิงหลิงพูดด้วยท่าทีเหนื่อยใจ นางพาหยางเกาและไป๋จูเหวินเข้าไปในเหลาอาหารแห่งหนึ่ง พลางนั่งลงสั่งอาหาร แต่เดิมพวกนางนัดแนะกันมากินดื่มกันตามประสาศิษย์พี่ศิษย์น้อง เหตุใดจึงเหลือแค่นี้นางเองก็ไม่อยากพูดถึง
ฟุบ…ขณะสั่งอาหาร อยู่ๆเงาสีขาวร่างหนึ่งก็พุ่งลงมาที่กลางโต๊ะ มันมีร่างกายสีขาวสะอาดและดวงตาสีฟ้าใสราวกับสีของท้องฟ้า ขณะไป๋จูเหวินกำลังจะถามเสี่ยวเอ้อว่าเจ้าตัวนี้อยู่ในเมนูหรือไม่มันก็ส่งเสียงครางออกมาเบาๆ พลางเดินเข้ามาหาไป๋จูเหวิน
“เหมียว”เจ้าแมวสีขาวราวกับลูกบอลหิมะส่งเสียงในลำคอ ก่อนจะใช้หัวของมันคลอเคลียฝ่ามือของไป๋จูเหวิน แม้ภายนอกจะไม่ต่างจากแมวธรรมดานัก แต่แก่นอสูรในร่างของไป๋จูเหวินกลับสัมผัสได้ถึงพลังอสูรในร่างของมัน แถมพลังอสูรยังไม่ธรรมดาอีกด้วย ถึงขั้นมากกว่าไป๋จูเหวินเสียอีก