บุตรอสูรบรรพกาล - ตอนที่ 300 จุดจบของมาร
บุตรอสูรบรรพกาล ตอนที่ 300 จุดจบของมาร
ตอนที่ 300
จุดจบของมาร
“…”ไม่ทราบเวลาผ่านไปเท่าไหร่ ไป๋หลินที่โดนราคะอุ้มมาก ตื่นขึ้นด้วยท่าที่สับสน สิ่งสุดท้ายที่นางจําได้คือมารดาของนางพานางไปซ่อนในอาคารของวังหลวง แต่ระหว่างรอให้เรื่องข้างนอกสงบ ไป๋หลินกลับโดนกระสุนวายุของมารตะกละเข้าเล่นงานกลายเป็นลูกหลงที่ทําให้นางสลบไป แต่พอตื่นขึ้นมานางกลับพบว่าตัวเองอยู่ในถ้ําที่มืดมากๆ โชคดีที่ตาของนางพิเศษกว่าคนอื่นทําให้นางสามารถมองเห็นในถ้ําได้ทันที
สิ่งแรกที่ไป๋หลินได้พบคือร่างของราคะ นางนอนห่างจากไป๋หลินไปไม่มาก หากขยับตัวนางคงสัมผัสได้ทันที แม้สภาพของนางตอนนี้จะดูไม่สู้ดีนัก แต่ไป๋หลินก็จําได้ทันทีว่านางคือคนที่บุกเข้ามากลางงานและเป็นต้นเหตุของความวุ่นวายที่เกิดขึ้นทั้งหมด
“…”ไป๋หลินไม่กล้าขยับตัวเพราะนางเห็นอยู่ชัดๆว่าพลังขออีกฝ่ายต่างจากตนเองแค่ไหน หากนางอยากจะฆ่าไป๋หลินละก็ต่อให้อยู่ในสภาพปางตายเช่นนี้ก็คงทําได้ง่ายดายราวพลิกฝ่ามือ
นางควรทําเช่นไรดี ดูจากสภาพเช่นนี้นางคงโดนจับตัวมาแน่ๆ ไม่มีเหตุผลอื่นเลยที่มารจะเอาตัวนางมาในสภาพบาดเจ็บหนักเช่นนี้ หรือตอนนางสลบไปมารตนนี้โดนเล่นงานจนเกือบตายแล้วใช้ตัวไป๋หลินเพื่อหนีมา… แบบนี้ก็หมายความว่านางยังคงปลอดภัยอยู่เพราะนางถูกจับมาในฐานะตัวประกัน แต่นางควรทําเช่นไรเพื่อหาทางรอดไปให้ได้
“ท่านป่า”ไป๋หลินว่าพลางลุกขึ้นนั่งช้าๆ นางแกล้งทําเป็นพึ่งตื่นพลางเรียกราคะอย่างสสนิทสนม
“ใครเป็นพี่สาวแม่เจ้ากัน” เฟิงมีตอบพลางค้อนไป๋หลินตาคว่ํา นางมองอย่างไรถึงเรียกตนเองว่าป้า แม้จะบาดเจ็บขนาดนี้แต่ภายนอกนางยังเป็นสาวงามอยู่นะ
“ท่าน…ป้า….ท่านเป็นใครหรือเจ้าคะ”ไป๋หลินถามด้วยท่าทีสงสัย นางแกล้งทําเป็นจําเฟิงมีไม่ได้ เพราะหากนางทราบว่าไป๋หลินจํานางได้ก็เท่ากับว่ายออมรับการเป็นตัวประกันแต่โดยดีนะสิ
“เจ้าจําไม่สิ ข้าเป็นคนพาเจ้าหนีออกมาจําไม่ได้หรือ”เฟิงมีว่าพลางยิ้มน้อยๆ ตอนนี้นางบาดเจ็บมาก ต่อให้นังหนูนี่มีพลังน้อยแค่ ไหนแต่หากนางดิ้นหนีก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีโอกาสที่นางจะหลุดไปได้
“ท่านพาข้าออกมางั้นเหรอ แต่ท่านดูบาดเจ็บมากเลยนะเจ้าคะ”ไป๋หลินว่าพลางมองร่างกายที่หายไปของเฟิงมี่ แม้จะใช้น้ําแข็งสร้างขาและแขนเทียมขึ้นมาแล้ว แต่ก็ไม่ใช่ว่าบาดแผลจะหายไปเลย
“อะ อืม…ข้าโดนลูกลงเข้า ก็เลยมีสภาพแบบนี้”เฟิงมีตอบพลางลุกขึ้นนั่งช้าๆ ร่างกายของนางตอนนี้แทบไม่เหลือเรี่ยวแรงแล้ว ตอนนี้นางได้แค่นั่งรอความตายเท่านั้นเอง
“ข้าพอจะมีความรู้เรื่องยาอยู่บ้าง ข้าจะไปสมุนไพรมาช่วยท่านนะ”ไป๋หลินพูดจบก็ลุกขึ้นยืนพลางเดินผ่านเฟิงมีไปหมายจะเนียนเดินออกจากถ้ําไปทั้งๆแบบนั้น
ฉีก! เฟิงมีสร้างลิ่มน้ําแข็งขึ้นมาปิดทางไป๋หลินเอาไว้ ทําให้นางเดินต่อไปไม่ได้ ภายในถ้ําแคบๆแบบนี้เฟิงมีสามารถเรียกลิ่มน้ําแข็งออกมาโจมตีได้ทุกทิศทาง การหนีออกไปไม่ใช่ทางเลือกที่ดีเท่าไหร่
“ข้างนอกอันตราย เจ้าอย่าออกไปเลย” เพิ่งมีว่าพลางละลายลิ่มน้ําแข็งไป นี่นางยังทําท่าเป็นห่วงได้อีกงั้นหรือ ทั้งๆที่นางพึ่งจะขังไป๋หลินไปเนี่ยนะ
“ค.ค่ะ”ไป๋หลินหน้าจ๋อยพลางเดินกลับมาหาเฟิงมีอย่างช่วยไม่ได้ แต่ที่นางพูดเมื่อครู่เป็นเรื่องจริงนะที่อาการเฟิงมีดูแย่มาก และนางก็สามารถช่วยรักษาได้
“อย่างน้อยก็ให้ข้าทายาให้ท่านได้ไหม”ไป๋หลินถามพลางหยิบเอายาออกมาจากแหวนมิติของตน ยาตัวนี้เป็นยาทาห้ามเลือดที่น้าราชสีห์ให้นางพกเอาไว้ ถึงจะห้ามเลือดจากแผลใหญ่อย่างที่แขนและขาของเฟิงมีที่ขาดไปไม่ได้ แต่รอยกระบี่ที่อู๋หมิงฟันเอาไว้ก็ยังพอช่วยได้
“ไม่ต้อง เจ้าคิดว่าชีวิตข้าจะยึดขึ้นได้ด้วยการรักษาแผลเล็กๆพวกนี้งั้นเหรอ” เฟิงมีส่ายหน้าพลางนอนลงไปกับผนังถ้ําอีกครั้ง
“ท่านป้า…”ไป๋หลินพูดพลางเก็บยาไปอย่างช่วยไม่ได้ อย่างน้อยช่วยทายาให้นางอาจจะทําให้นางไม่ลงมือทําอะไรไป๋หลินได้บ้างแท้ๆ
“ข้าบอกแล้วว่าอย่าเรียกป้า”เฟิงมีว่าพลางหยิกแขนไป๋หลินไปที่หนึ่ง ทําไป๋หลินร้องโอ้ยออกมาเสียงดัง นี่ขนาดนางมีผิวหนังของอสูรแมงมุมนะ นี่นางกะจะบิดให้แขนคนธรรมดาขาดเลยหรือยังไง
“ยัยหนู มานี่หน่อย” เฟิงมีว่าพลางกวักมือเรียกไป๋หลินให้เข้าไปใกล้ๆ
“…”แน่นอนว่าไป๋หลินไม่กล้าเข้าไปใกล้นางแน่ๆ ทําเอาเฟิงมีจ้องนางด้วยท่าที่แปลกๆทันที
“ท่านจะไม่หยิกข้าอีกใช่ไหม”ไป๋หลินถามพลางทําหน้ามุ่ยอย่างไม่พอใจ
“ถ้าเจ้าไม่เข้ามาข้าจะหยิกเจ้าอีก” เฟิงมีว่าพลางกวักมือให้ไป๋หลินเข้ามาหานาง
หมับ..เฟิงมีจับตัวไป๋หลินได้ก็ดึงนางเข้ามากอดเอาไว้พลางสบ หน้าลงบนไหล่ของไป๋หลินเสียอย่างนั้น
“เจ้านี่เหมือนน้องสาวข้าเหมือนกันนะ” เฟิงมีหัวเราะพลางกอดไป๋หลินเอาไว้แน่น
“ทะ ท่านป้า โอ้ย”ไป๋หลินโดนหยิกทันทีที่นางพูดคําว่าป้าออกมา พร้อมทั้งโดนค้อนจากดวงตาของเฟิงมีอีกต่างหาก
“เจ้ารู้หรือเปล่า น้องสาวข้าอดตายไปตอนอายุเท่าๆกับเจ้าอาณาจักรโฮแห่งนี้แทบไม่สนใจประชาชนเลย เก็บภาษีขูดรีดแถมยังไม่สนใจจะแก้ปัญหาเวลาเกิดภัยธรรมชาติอีกต่างหาก”เฟิงมีพูดพลางลูบเส้นผมของไป๋หลินเบาๆ ความจริงนางก็แค่อยากแก้แค้นอาณาจักรโฮเท่านั้น แต่ถึงจะยึดครองอาณาจักรโฮมาได้ด้วยเสน่ห์ของมารราคะ แต่นางก็ไม่สามารถสั่งให้คนของอาณาจักรโฮทําลายวังหลวงได้ พวกมันยังคงรักบ้านเกิดและหากนางสั่งแบบนั้นมนตร์เสน่ห์ของนางจะคลายทันที พลังของราคะแม้จะใกล้เคียงกับพลังของไป๋จูเหวินที่มีผลกับมนุษย์ แต่ก็มีเงื่อนไขมากมาย ทําให้เฟิงมีเลือกที่จะดึงเอายอดฝีมือต่างแทนมาทําลายเมืองด้วยตนเอง แน่นอนนางไม่ได้วางแผนว่าจะตาย นางอยากจะเอาตัวอู๋หมิงมาครอบครอง และยึดอาณาจักรรอบๆไปพร้อมๆกัน แต่ใครจะไปคิดว่าผลที่ออกมาจะเลวร้ายขนาดนี้ได้
“ท่าน…”ไป๋หลินเห็นนางมีท่าที่เศร้าหมองเช่นนี้ก็ไม่กล้าเรียกนางว่าบ้าอีก นางเพียงจ้องมองเฟิงมีที่มีท่าที่โรยราอย่างเห็นได้ชัด นิ่ง ก่อนที่ดวงตาของไป๋หลินจะปรากฏประกายสีส้มออกมา ก่อนที่ไป๋หลินจะมองเห็นภาพในวัยเด็กของเพิ่งมีขึ้นมาเสียอย่างนั้น ราวกับเหม่ยหลินได้เห็นสิ่งที่เพิ่งมีต้องเจอในวัยเด็กทําเอาน้ําตาของ นางเอ่อล้นออกมาในทันที แม้นางจะทําเรื่องชั่วช้าไม่น่าให้อภัย แต่ก็เพราะนางโดนกดดันให้เป็นแบบนั้น นางเพียงกระเสือกกระสนขี้นมาจากอดีตของตน และหาทางล้างแค้นเท่านั้นเอง แต่ถึงอย่างนั้น สิ่งที่เพิ่งมีทําก็สมควรโดนลงโทษ ซึ่งความตายที่กําลังจะลุกลามเข้ามาอยู่นี่จะเหมาะสมหรือไม่…
“ยัยหนู”เฟิงมีพูดพลางมองมาทางไป๋หลิน นางเอาของอย่างหนึ่งยัดเข้าไปในมือของไป๋หลินก่อนจะกระซิปบางอย่างที่ข้างหูของไป๋หลินเบาๆ
ตุบร่างของเฟิงมีล้มลงไปนอนบนไหล่ของไป๋หลิน ทําให้ไป๋หลินสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่านางตายแล้ว
ไป๋หลินพึ่งจะอายุ 5 ขวบ แถมโตมาในเขตอสูรที่อสูรทุกตัวมีชีวิตยืนยาวแทบจะเป็นอมตะ เรียกได้ว่าไม่เคยเห็นใครตายต่อหน้ามาก่อน แถมเพิ่งมียังเป็นเพียงคนแปลกหน้าอีกต่างหาก ทําเอาไป๋หลินไม่ทราบจะทําอย่างไรเมื่อเรื่องเป็นเช่นนี้ นางควรฝังร่างของนางหรือพาร่างของนางไปให้พวกท่านพ่อดี
ตุบ! ยังไม่ทันตัดสินใจ อยู่ๆที่หน้าถ้ําก็ปรากฏร่างของเหม่ยหลินที่รีบตามเฟิงมีออกมาทันทีที่ฟื้นฟูพลังได้ ทันทีที่เห็นบุตรสาวนั่งอยู่กับเฟิงมีนางก็มีท่าทีระแวดระวังทันที
“ท่านแม่”ไป๋หลินว่าพลางมองไปเหม่ยหลิน
“นางตายแล้วเจ้าค่ะ”ไป๋หลินพูดจบก็ลุกขึ้นมาจากร่างของนาง ก่อนที่เหม่ยหลินจะรีบเข้ามากอดไป๋หลินเอาไว้ นึกว่าบุตรสาวของนางจะแย่เสียแล้ว โชคดีที่ตัวไป๋หลินมีทั้งพลังวิญญาณและพลังอสูร ทําให้เหม่ยหลินสามารถแยกแยะได้อย่างรวดเร็วว่านางอยู่ที่ไหน
“กลับกันเถอะลูกแม่” เหม่ยหลินว่าพลางอุ้มไป๋หลินกลับไปยังเมืองหลวงของอาณาจักรโฮทันที ตอนนี้ไป๋จูเหวินยังหลับไม่ได้สติ โดยมีหงเยว่คอยพยาบาลอยู่ข้างกาย ส่วนอู๋หมิงนั้นพอได้ซูหลานใช้ พลังธาตุศักดิ์สิทธิ์ช่วยแผลที่โดนแทงก็อาการดีขึ้นมาก ไม่นาน อาณาจักรต่างๆก็แยกย้ายกันกลับอาณาจักรของตนเอง โดยเหม่ยหลินพาไป๋จูเหวินกลับมาพร้อมกับขบวนเสด็จของอู๋หมิง เช่นเดียวกับร่างของอาวุโสเทียนหมิงที่จะเชิญกลับไปทําพิธีที่อาณาจักรด้วยเช่นกัน
ตุบ…หลังจากเหตุการทั้งหมดผ่านไปหลายวัน อู๋หมิงที่อาการดีขึ้นแล้วก็เดินทางมาที่วัดบนยอดเขาทางเหนือของเมืองหลวง แน่นอนว่าวัดแห่งนี้คือที่อยู่ของเหล่ามารเล็กมารน้อยรวมทั้งมารแห่งโทสะอย่างหยงเว่ยอีกด้วย
“องค์จักรพรรดิ ท่านเดินทางมาเช่นนี้มีอะไรหรือ” หยงเวยออกมารับหน้าทันทีที่สัมผัสได้ว่าอู๋หมิงเดินทางมา มันบอกให้พวกเด็กๆเข้าไปอยู่ในวัดก่อน พลางเดินเข้ามาหาอู๋หมิงด้วยตนเอง
วูบ…แสงสีขาวปรากฏขึ้นที่รอบๆกายของอู๋หมิง ทําเอาร่างของหยงเว่ยสะท้านวาบ พลังเทวะปราบมารเป็นผลร้ายต่อเหล่ามาร แม้แต่หยงเว่ยเองก็ไม่เว้น
“เพราะข้าเรียนวิชาเทวะปราบมารสําเร็จ ก็เลยสามารถถืออาวุธมารได้”อู๋หมิงว่าพลางเรียกเอากระบี่ของอัตตาออกมา
“โชคดีที่คนถืออาวุธคือท่าน ไม่อย่างนั้นคงหลงใหลไปกับคําพูดของมารแล้ว” หยงเว่ยตอบพลางมองกระบี่ของอัตตาในมือของอู๋หมิง แน่นอนว่ามันได้ยินข่าวของท่านอาวุโสเทียนหมิงเช่นกัน และ มันก็เสียใจมากที่มารเป็นต้นเหตุ
“ข้าเชื่อว่าหากพวกมันอยู่กับเจ้าจะปลอดภัยที่สุด”อู๋หมิงพูดจบก็นํากระบองของตะกละ คราดของโลภะ และพัดหยกขาวของราคะออกมา เมื่อรวมกับกระบี่ของอัตตา ดาบของโทสะ มีดสั้นของริษยา และไม้เท้าของเกียจคร้านก็เท่ากับว่าอาวุธมารทั้ง 7 อยู่ ณ ที่แห่งนี้หมดแล้ว หางหยงเว่ยเก็บเอาไว้และควบคุมพวกมันได้ ก็เท่ากับว่าจะไม่มีมารตนไหนอยู่นอกสายตาของอาณาจักรอู่อีกแล้ว เพราะตํารามารระดับล่างทั้ง 108 เล่มเองก็อยู่ในวัดนี้เช่นกัน
“เข้าใจแล้ว” หยงเว่ยว่าพลางเดินเข้ามาหาอาวุธมารชิ้นอื่นๆ
“เสียใจด้วยนะเรื่องอาจารย์ของเจ้า” หยงเว่ยว่าพลางถอนหายใจออกมา แม้จะนิดหน่อยแต่หยงเว่ยก็แอบกังวลอยู่มากว่าอู๋หมิงจะโกรธแค้นมาร เพราะเรื่องอาจารย์ของตนเสียอีก หยงเว่ยกังวลถึงขั้นว่าอู๋หมิงอาจจะเล็งพวกเด็กๆเอาไว้ก็เป็นได้
“ขอบใจ” อู๋หมิงตอบเท่านั้นก่อนจะแปล่งรัศมีของพลังเทวะปราบมารออกมา การซึมซับอาวุธมารเข้าไปของหยงเว่ยมีความเสี่ยงไม่น้อย หากมันพลาดโดนมารเข้าครอบงําอู๋หมิงก็จะเป็นคนจบทุกอย่างก่อนที่จะมีเรื่องเกิดขึ้นอีก
หมับหยงเว่ยจับเอากระบี่ของอัตตาขึ้นมาเป็นอย่างแรก ก่อนจะดูดซับพลังมารของมันเข้ามา พอมีอาวุธมารหลายชิ้นเข้าอารมณ์ของหยงเว่ยก็ยิ่งปั่นป่วน
หมับ….หยงเว่ยหยิบกระบองของตะกละขึ้นมาก่อนจะดูดซับเอาพลังมารไปอีกเช่นกัน เมื่อดูดซับจิตมารของตะกละจนหมดมันก็หยิบคราดของโลภะขึ้นมาอีกอัน ก่อนจะดูดซับไปจนหมด
น่าแปลก พอมีมารหลายๆตนในร่างเข้า มันกลับรู้สึกสมดุลอย่างประหลาด แทนที่จะควบคุมได้ยากขึ้นเมื่อมีมารหลายตน แต่ผลที่ออกมากลับตรงกันข้าม ยิ่งมีมารในใจหลายตนเท่าไหร่ก็ยิ่งขัดกันเอง เรียกได้ว่าตอนนี้พวกมารเอาแต่เถียงกันเองแทบไม่ได้ยั่วยุหยงเว่ยเลย
“…” หยงเว่ยหยิบเอาพัดหยกขาวขึ้นมาเพื่อจะดูดซับพลังมาร แต่ทันทีที่จับไปที่พัดหยกขาวดวงตาของหยงเว่ยก็เบิกกว้าง
“นี่มัน…”หยงเว่ยมองไปที่อู๋หมิงสลับกับพัดหยกขาว ทําเอาอู๋หมิงเองยังสัมผัสได้ถึงความประหลาดใจของมัน
“มีเรื่องอะไร”อู๋หมิงถามออกมาพลางมองหยงเว่ยอย่างไม่เข้าใจ
“ราคะไม่อยู่ในนี้”