บุตรอสูรบรรพกาล - ตอนที่ 375 พบเบาะแส
ตอนที่ 375
พบเบาะแส
“ข่าวของท่านย่าอีกแล้วเหรอเจ้าคะ”ไป๋หลินถามพลางมองราชสีห์เพลิงที่เดินออกมาจากโรงเตี๊ยมด้วยท่าทีผิดหวัง พวกนางมาตามหาข่าวของเขตอสูรที่มีดอกไม้จำนวนมากแท้ๆ แต่ข่าวที่ได้กลับมีแต่ตำนานของฝันร้ายสีขาวที่ฝังลึกลงไปในความกลัวของชาวบ้าน ท่าทางอสูรแมงมุมจะกลายเป็นตำนานของแถบทางเหนือไปเสียแล้ว
“ท่าทางที่อาณาจักรยี่ถงจะไม่มีเขตอสูรที่ทู่เยว่พูดถึงเสียแล้ว”ราชสีห์เพลิงตอบพลางส่ายหน้าเบาๆ ตอนนี้พวกมันใช้เวลามาเกือบครึ่งเดือนจนกระทั่งเดินทางจากใต้สุดของอาณาจักรยี่ถงมาจนถึงทางเหนือสุด แต่ข่าวที่ได้ก็มีแต่เรื่องฝันร้ายสีขาวเท่านั้น เหมือนกับว่าพอถามเรื่องอสูรก็มีแต่เรื่องนี้เท่านั้นที่ผู้คนจะเล่ากัน
“แบบนั้นเราก็ต้องข้ามไปอาณาจักรต่อไปเหรอ”ไป๋หลินถามพลางมองไปทางเหนือ ตอนนี้พวกไป๋หลินอยู่กันเกือบจะสุดชายแดนแล้วยังหาข่าวอะไรไม่ได้เลย แม้แต่องค์จักรพรรดิของอาณาจักรยี่ถงยังไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับเขตอสูรที่พวกไป๋หลินต้องการ ท่าทางอาณาจักรนี้จะไม่มีอะไรให้ค้นหาแล้วจริงๆ
“ก็คงต้องแบบนั้น”ราชสีห์เพลิงตอบพลางนำตราของจักรพรรดิอาณาจักรยี่ถงออกมา โชคดีที่อาณาจักรยี่ถงยังเป็นมิตรกับอาณาจักรไป๋อยู่ทำให้ท่านช่วยรับประกันให้พวกไป๋หลินได้เข้าอาณาจักรต่อไปโดยไม่ต้องตรวจสอบเช่นเดิม
“ขออภัยด้วยขอรับ ถึงจะมีตราของจักรพรรดิยี่ถงก็เถอะ….”ระหว่างเข้าไปในเมืองชายแดนของอาณาจักร โลวหลัน อาณาจักรที่อยู่ทางเหนือของอาณาจักรยี่ถงไปอีกที พวกทหารก็เข้ามาขวางขบวนเสด็จของไป๋หลินเอาไว้ไม่ยอมให้ผ่าน ทั้งนี้เพราะความสัมพันธ์ของอาณาจักรยี่ถงและโลวหลันนั้นไม่ค่อยดีนัก แม้จะยังมีการเดินทางหาสู่กันแต่ก็มีกลิ่นไม่ดีมาสักพักแล้ว สภาพความสงบสุขแบบนี้ไม่ทราบจะอยู่ต่อไปได้นานเท่าไหร่ ทำให้แม้แต่ขบวนเสด็จของไป๋หลินที่มีตราอนุญาตขององค์จักรพรรดิยี่ถงก็ไม่อาจผ่านได้โดยไม่มีการตรวจสอบ
“ไม่เป็นไร พวกเจ้าอยากตรวจสอบก็เชิญเลย”ราชสีห์เพลิงว่าพลางถอนหายใจออกมา หลังจากไป๋ไป่โดนนินทาที่เมืองทางใต้ ทั้งไป๋หลินและไป๋ไป่ก็สวมหมวกปิดหน้ากันทั้งคู่ ทำให้การเดินทางเป็นไปได้อย่างราบรื่น แต่ในเมื่ออีกฝ่ายยืนยันว่าต้องตรวจสอบก็ช่วยไม่ได้
“เช่นนั้นเชิญทางนี้ขอรับ”นายทหารคนหนึ่งว่าพลางพาขบวนเสด็จของไป๋หลินเข้าไปในห้องรับรองที่ด้านข้างของประตูเมือง แม้จะให้ผ่านโดยไร้เงื่อนไขไม่ได้ แต่ตราของจักรพรรดิยี่ถงก็สร้างความเกรงใจให้กับเหล่าทหารไม่น้อย
“พวกท่านเป็นผู้ติดตามสินะขอรับ มีแหวนมิติติดตัวมาหรือเปล่า”นายทหารถามพลางมองไปทางราชสีห์เพลิง ไป๋ไป่ และ ชิงชิว ตัวราชสีห์เพลิงและไป๋ไป่ไม่มีพลังวิญญาณ รวมทั้งชิงชิวที่ตอนนี้ลดพลังวิญญาณของตนเองลงมาจนอยู่ระดับผลึกวิญญาณเท่านั้น
“มีวงหนึ่งขอรับ”ชิงชิวตอบพลางยื่นแหวนมิติที่ตนใส่ให้กับอีกฝ่าย น่าเสียดายแต่ระดับพลังของชิงชิวตอนนี้ยังใช้มิติส่วนตัวไม่ได้ ทำให้ต้องพกแหวนมิติติดตัวอยู่ แต่ของในแหวนก็ไม่มีของมีค่าอะไรเท่าไหร่ ตำราเทวะปราบมารถือเป็นตำราฝึกฝนวิชา ผู้ฝึกฝนพลังวิญญาณมีของเช่นนี้นับว่าปกติ นอกจากนั้นก็มีข้าวของเครื่องใช้ ชุดสำหรับเปลี่ยน และ เครื่องประดับของไป๋หลินที่ชอบทำหล่นอยู่นิดหน่อย
นอกจากของเหล่านี้ยังมีอาวุธอย่างมีดและดาบสั้นที่เป็นอาวุธวิเศษระดับต่ำอีกอย่างละเล่ม แน่นอนว่าย่อมเป็นเรื่องธรรมดาที่ผู้ฝึกฝนพลังวิญญาณจะพกอาวุธติดตัว ของพวกนี้จึงดูไม่แปลกตาอะไรเลย แน่นอนว่าชิงชิวไม่ได้ใช้อาวุธเก่าเสียเท่าไหร่ เพราะตอนนี้ที่เอวของชิงชิวมีมีดและดาบสั้นที่มองด้วยตาเปล่าไม่เห็นแขวนเอาไว้อยู่โต้งๆ แน่นอนว่าพวกทหารเห็นเพียงความว่างเปล่าเท่านั้นเพราะชิงชิวไม่ได้เอาใยแมงมุมมาพันด้ามอย่างที่ไป๋จูเหวินคิด มันสามารถแยกกลิ่นของอาวุธประจำตัวมันได้ ทำให้สามารถทราบตำแหน่งของอาวุธได้อย่างชัดเจน สำหรับชิงชิวแล้วมันเหมือนไม่ได้โปร่งใสเสียด้วยซ้ำ
“ไม่มีของอะไรน่าสงสัยนะขอรับ เช่นนั้นรบกวนคุณผู้หญิงทั้งสองเปิดหน้าด้วยขอรับ”นายทหารพูดพลางมองไปที่ไป๋ไป่และไป๋หลินที่ยังสวมหมวกที่มีผ้าคลุมปิดใบหน้าเอาไว้อยู่
“…..”ไป๋หลินกับไป๋ไป่มองหน้ากันครู่หนึ่งก่อนจะเริ่มถอดหมวกออกช้าๆ พวกนางไม่ค่อยอยากจะถอดหมวกนักเพราะที่นี่ไม่เหมือนอาณาจักรไป๋หรืออาณาจักรข้างเคียงที่รู้ว่าไป๋หลินเป็นใคร
“อึก…….”เหล่าทหารที่มองอยู่รอบๆตัวแข็งค้างไปทันทีเมื่อเห็นใบหน้าของไป๋หลินและไป๋ไป่ แม้ตัวไป๋ไป่จะมีทุกส่วนของร่างกายเป็นสีขาวจนดูแปลกตา แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าตัวนางนั้นเป็นสาวงามจริงๆ ส่วนไป๋หลินไม่ต้องพูดถึง ความงามของนางเลื่องลือไปไกลหลายต่อหลายอาณาจักร การที่พวกทหารเหล่านี้ได้เห็นใบหน้าของไป๋หลินนับว่าชาตินี้พวกมันทำบุญมาดีไม่น้อยเลย
“มีอะไรผิดปกติหรือเปล่าขอรับ”ชิงชิวถามเมื่อเห็นว่าพวกทหารเริ่มเอาแต่มองไป๋หลินไม่ยอมทำอะไรต่อเสียแล้ว
“มะ ไม่มี…..พวกท่านเชิญผ่านไปได้ขอรับ”พวกทหารว่าพลางถอยออกมา ตัวไป๋หลินและไป๋ไป่เห็นการตรวจจบลงแล้วก็สวมหมวกกลับเข้าไปเช่นเดิม
“ไปที่โรงเตี๊ยมกันเถอะ เราจะได้เริ่มหาข่าวกันเสียที”ราชสีห์เพลิงว่าพลางเดินนำพวกไป๋หลินไปที่โรงเตี๊ยมที่ใหญ่ที่สุดในเมือง หลังจากลองหาข่าวมากว่าครึ่งเดือนทำให้พวกไป๋หลินได้ทราบแล้วว่าการหาข่าวที่ง่ายที่สุดคือเดินเข้าไปถามคนในโรงเตี๊ยม เพราะคนเหล่านี้ไม่ใช่ชาวเมืองที่อาศัยอยู่ที่นี่มาทั้งชีวิตนั่นเอง
“พี่ชาย ข้ามีเรื่องอยากจะถามไม่ทราบท่านมีเวลาว่างหรือไม่”ชิงชิวว่าพลางเดินเข้าไปหาชายคนหนึ่งที่กำลังนั่งดื่มสุราอยู่ที่ชั้นล่างของโรงเตี๊ยม
“มีอะไร”ชายคนนั้นถามพลางมองชิงชิวด้วยท่าทีสงสัย มันไม่เคยเห็นชิงชิวมาก่อน แถใหน้าตาก็ไม่เหมือนคนแถวนี้อีกด้วย
“ข้ากำลังตามหาเขตอสูรอยู่ขอรับ ไม่ทราบท่านพอจะมีข่าวอะไรหรือไม่”ชิงชิวถามออกไปตรงๆพลางยิ้มอย่างสุภาพ
“เขตอสูร….เจ้าถามไปทำไม”ชายคนนั้นถามพลางขมวดคิ้วมุ่น สำหรับอาณาจักรอื่นที่ไม่มีกลุ่มนักล่าอสูรแล้ว เขตอสูร ยังคงเป็นพื้นที่ที่น่ากลัวและเต็มไปด้วยปริศนา แม้แต่เหล่ายอดฝีมือก็ยังไม่กล้าเข้าไปเลย “ข้ากำลังตามหาสมุนไพรบางอย่างขอรับ”ชิงชิวตอบเสียงเรียบ แต่ชายตรงหน้ากลับทำสีหน้าสงสารมาทางชิงชิวเสียอย่างนั้น
“เจ้าเลิกหวังเสียเถอะ สถานที่พวกนั้นไม่ใช่ที่ที่มนุษย์จะเข้าไป”พูดจบชายคนนั้นก็วางจอกสุราลง
“แสดงว่าท่านรู้จักเขตอสูรสินะขอรับ เช่นนั้นพอจะบอกข้าได้หรือไม่ว่าเขตอสูรที่ท่านรู้จักเป็นสถานที่เช่นไร”ชิงชิวรีบถามออกไปทันทีเพราะนานๆครั้งจะเจอคนที่รู้เกี่ยวกับเขตอสูร เพราะส่วนใหญ่พอถามเกี่ยวกับอสูรทุกคนก็จะเล่าตำนานของฝันร้ายสีขาวออกมาเสียอย่างนั้น
“ข้าก็พอจะรู้จักอยู่บ้างเพราะที่นั่นอยู่ใกล้ๆกับบ้านเกิดของข้า”ชายคนนั้นเล่าพลางรินสุราใส่จอกอีกครั้ง แต่กลับพบว่าสุราของมันหมดเสียแล้ว ทำให้ชิงชิวไม่รอช้ารีบสั่งเพิ่มให้มันในทันทีถือเป็นค่าเรื่องราว
“หมู่บ้านของข้าอยู่ทางเหนือ เป็นหมู่บ้านเล็กๆที่อาศัยอยู่กลางป่า”พูดจบชายตรงหน้าก็รินสุราลงจอกอีกครั้งพลางดื่มสุราที่ชิงชิวสั่งมาด้วยท่าทีหม่นหมองอย่างประหลาด
“ผู้ใหญ่มักจะบอกว่าห้ามเข้าไปในหุบเขาเด็ดขาด เพราะที่นั้นมีแต่อสูรเต็มไปหมด แม้แต่ทหารเองยังไม่กล้าเข้าไปใกล้ พอโตมาข้าถึงได้ทราบว่าที่นั่นเรียกกันว่าเขตอสูร เป็นที่อยู่ของอสูรระดับสูงที่มีลูกน้องเป็นจำนวนมาก”ชายคนนั้นเล่าพลางเริ่มดื่มสุราหนักขึ้นเรื่อยๆ ทำเอาแม้แต่ชิงชิวยังรู้สึกแปลกๆกับท่าทีของอีกฝ่าย
“สหาย ท่านมีความหลังกับเขตอสูรแห่งนั้นงั้นหรือ”ชิงชิวถามออกไปเพราะทันทีที่ชายตรงหน้าเริ่มเล่ามันก็มีท่าทีเศร้าหมองลงทันที
“จะว่ามีก็คงใช่ สมัยก่อนน้องสาวของข้าเคยแอบเข้าไปในเขตอสูรที่ว่า นางกลับออกมาได้และบอกข้าว่าที่นั่นเป็นหุบเขาที่เต็มไปด้วยดอกไม้สวยงามมากมาย”ได้ยินถึงตรงนี้ชิงชิวก็ตาลุกวาวทันที
“ท่านว่าอะไรนะ”ชิงชิวโพร่งออกไปอย่างลืมตัว เพราะครึ่งเดือนที่ผ่านมาอย่าว่าแต่เขตอสูรที่มีดอกไม้เลย แค่ข่าวของเขตอสูรยังแทบไม่มี
“ใช่ ข้าเองก็ไม่อยากจะเชื่อว่านางกลับมาได้ ตอนนั้นทุกคึนในหมู้บานก็ไม่เชื่อแต่เพราะนางเอาดอกไม้ที่มีสีทองราวกับทำจากทองแท้ๆมาให้คนในหมู่บ้านดู ทำให้ชาวบ้านเริ่มเชื่อนาง”ชายหนุ่มว่าพลางถอนหายใจออกมา
“ดอกไม้นั่นพ่อของข้าเอาไปขายให้พ่อค้าที่นานๆจะผ่านมาสักครั้ง มันให้ราคาสูงมากจนคนทั้งหมู่บ้านต้องตกตะลึง แต่เพราะแบบนั้นเลยมีคนเข้าไปหาดอกไม้สีทองนั่นอีกหลายคน แต่คนอื่นๆไม่ได้กลับมาเหมือนน้องสาวของข้า สุดท้ายเจ้าพวกโลภมากนั่นก็มาเค้นหาวิธีเข้าไปในเขตอสูรกับน้องสาวของข้า จนพวกเราต้องย้ายออกมาจากหมู่บ้าน”ได้ยินเรื่องเล่าแล้วชิงชิวก็ได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ การเข้าไปในเขตอสูรนั้นอันตรายมาก ชิงชิวในวัยเด็กก็เคยโดนเตือนเอาไว้ แม้ตอนนี้อาณาจักรของตนจะกลายเป็นค่ายกลอสูรไปแล้วก็ตาม
“สหาย ท่านช่วยบอกที่อยู่ของหมู่บ้านท่านได้หรือไม่”ชิงชิวรีบสอบถามทันที มันไม่ได้สนใจเรื่องราวของชายหนุ่มเท่าไหร่ เพราะมันเป็นเรื่องในอดีตแก้ไขอะไรไม่ได้ แต่สิ่งที่ชิงชิวต้องการคือตำแหน่งของเขตอสูรนั่นต่างหาก
“ถ้าเจ้าไม่กลัวตายละก็…ได้”ชายคนนั้นว่าพลางบอกเส้นทางไปยังหมู่บ้านของตนให้ชิงชิวฟัง ก่อนที่ชิงชิวจะรีบกลับไปบอกพวกราชสีห์เพลิงเพื่อออกเดินทางทันที
วูม!! ปีกทั้ง 6 ของไป๋ไป่ทะยานไปบนท้องฟ้าด้วยความเร็วสูงที่สุดที่นางทำได้ นางบินขึ้นมาเหนือชั้นเมฆเพื่อไม่ให้ใครมองเห็น ทำให้การเดินทางมายังทางเหนือของอาณาจักรโลวหลันใช้เวลาเพียงวันเดียวเท่านั้น
ตุบ!! ร่างของไป๋ไป่ทะยานลงมาตรงทางเข้าเขตอสูรทันทีที่พวกนางมาถึง เมื่อครู่พวกไป๋หลินสัมผัสพลังอสูรในเขตอสูรดูแล้ว ทำให้ทราบว่าราชาของเขตอสูรนี้อยู่ระดับมายาขั้นที่ 10 เท่านั้น ทำให้การต่อสู้ไม่ใช่เรื่องน่ากังวล ไม่ต้องพูดถึงความสามารถของไป๋หลินอีกต่างหาก
“พลังอสูรแบบนี้มัน”อีกทางหนึ่งท่ามกลางสวนดอกไม้สีทองอร่ามที่กำลังสะท้อนแสงจากดวงตะวันปรากฏร่างของอสูรตนหนึ่งที่เป็นเจ้าของเขตอสูรแห่งนี้ ทันทีที่มันสัมผัสพลังอสูรแปลกปลอมที่เข้ามาในเขตของตนได้ มันก็ลุกขึ้นจากพื้นเพื่อเตรียมตัวจะรับศึกทันที
“อสูรแมงมุม……ไม่ใช่ พลังอ่อนขนาดนี้ ลูกของอสูรแมงมุมงั้นเหรอ”อสูรเจ้าถิ่นว่าพลางยิ้มออกมาด้วยท่าทีดุร้าย
“กล้าดียังไงเข้ามาในเขตอสูรของข้า แต่ก็ดีข้าจะให้พวกเจ้ารับผิดชอบสิ่งที่อสูรแมงมุมทำกับข้า”อสูรเจ้าถิ่นหัวเราะด้วยน้ำเสียงชั่วร้ายก่อนจะเริ่มย่างก้าวไปทางกลุ่มของไป๋หลินช้าๆ