บุตรอสูรบรรพกาล - ตอนที่ 422 เรื่องกังวล
ตอนที่ 422
เรื่องกังวล
.
“…….”หลังจากเห็นเหตุการณ์ตรงหน้าหลิงจงก็มีท่าทีอึ้งไม่หายเสียที ระดับพลังของไป๋จูล่งที่หลิงจงได้สัมผัสเมื่อครู่นั้นไม่ใช่ระดับพลังธรรมดาๆที่เด็กหนุ่มวัยเท่านี้จะสามารถมีได้เลย แม้แต่อาจารย์ของพวกมันที่อยู่ระดับเทียนเซียนขั้นที่ 2 ยังไม่สามารถเทียบได้ อย่างน้อยๆน้องจูล่งก็ต้องมีระดับพลังเกินขั้นเทียนเซียนขั้นที่ 2 ไปแล้วแน่ๆ
“ท่านไป๋จูเหวิน นี่มันเรื่องอะไรกันขอรับ”หลิงจงถามพลางเหลือบมองไปทางร่างของลั่วสุนที่หมดสติท่าทางอาการหนักกว่าหลิงจงก่อนหน้านี้เสียอีก
“เอาไว้จะอธิบายทีหลัง”ไป๋จูเหวินว่าพลางเดินเข้าไปหาชายที่ชื่อลั่วสุน ในเมื่อจูล่งปล่อยพลังวิญญาณออกมาแล้วก็คงปิดเอาไว้ไม่มิดเสียแล้ว ไป๋จูเหวินจึงใช้พลังธาตุศักดิ์สิทธิ์ช่วยรักษาลั่วสุนทันที
“….”หลิงจงอึ้งไปอีกครั้งเมื่อเห็นไป๋จูเหวินใช้พลังธาตุออกมา นอกจากจะเป็นธาตุศักดิ์สิทธิ์ที่หายากแล้วพลังของไป๋จูเหวินยังไม่ธรรมดาเลย นี่คนในหมู่บ้านนี้ปกปิดพลังเอาไว้ตลอดเลยอย่างนั้นหรือ
“ล่งเอ๋อ พาผู้ชายคนนี้ไปที่ห้องรักษา”เมื่อเห็นว่าลั่วสุนอาการดีขึ้นแล้วไป๋จูเหวินก็บอกให้ไป๋จูล่งเป็นคนพาลั่วสุนไปที่ห้องรักษาซึ่งอยู่ในบ้านของตน
“ขอรับ”ไป๋จูล่งว่าพลางวิ่งเข้ามาอุ้มร่างของลั่วสุนขึ้นอย่างง่ายดาย ก่อนจะพามันกลับไปที่บ้านอย่างรวดเร็ว
“ท่านคงไม่ว่าอะไรที่ข้าจะรักษาศัตรูของท่านหรอกนะ”ไป๋จูเหวินถามพลางมองมาทางหลิงจง เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายมาเพื่อจัดการหลิงจง แต่คนที่โจมตีมันจนบาดเจ็บก็เป็นจูล่ง ไป๋จูเหวินไม่อยากปล่อยให้ลั่วสุนตาย เพราะหากเป็นแบบนั้นก็เท่ากับทำให้จูล่งกลายเป็นผู้สังหารลั่วสุนไปนั่นเอง
“มะ ไม่หรอกขอรับ แต่เดิมมันก็เป็นศิษย์น้องของข้า ข้าไม่ได้อยากให้มันตายแต่แรกแล้ว”หลิงจงตอบพลางถอนหายใจออกมา เรื่องราวของหลิงจงนั้นฟังดูแล้วน่าเศร้า ก่อนหน้านี้ลั่วสุนเป็นศิษย์น้องที่ดีของมันมาตลอด ไม่ทราบเพราะอะไรลั่วสุนถึงอยากได้วิชาลับของอาจารย์นักถึงขั้นพยายามดันตัวเองขึ้นเป็นลูกเขยของอาจารย์ แต่อาจารย์ก็ยังอยากจะยกสำนักให้หลิงจงและมอบตำราลับนั่นให้หลิงจงใช้ ทำให้ลั่วสุนที่พยายามจนได้แต่งงานกับบุตรสาวของอาจารย์โกรธแค้นอย่างมาก สุดท้ายมันก็อาศัยช่วงที่พวกมันทั้งกำลังกลับจากเดินทางลอบทำร้ายหลิงจงจนเกือบตาย
“ท่านเองก็มาด้วยเถอะ ข้าจะได้รักษาท่านจริงๆเสียที”ไป๋จูเหวินว่าพลางบอกให้หลิงจงตามเข้าไปในห้องรักษา เมื่อหลิงจงทราบความจริงแล้ว ไป๋จูเหวินก็ไม่ได้ปิดบังพลังวิญญาณของตนแต่อย่างไร มันเริ่มใช้พลังธาตุศักดิ์สิทธิ์รักษาร่างของลั่วสุนและหลิงจงทันที ทำให้บาดแผลของพวกมันทุเลาลงในเวลาไม่นาน คาดว่าอีกเพียงครึ่งชั่วโมงลั่วสุนก็คงได้สติแล้ว
“ท่านไป๋จูเหวิน เรื่องของน้องจูล่ง…”เมื่อสิ้นสุดกระบวนการรักษา หลิงจงก็เริ่มเอ่ยถามเรื่องที่ค้างคาใจทันที
“ท่านอยากทราบงั้นหรือว่าทำไมล่งเอ๋อถึงมีพลังวิญญาณได้”เหม่ยหลินถามพลางนำถังน้ำเข้ามาวางเอาไว้ข้างๆเตียงของลั่วสุน แม้จะรักษาไปแล้วแต่คราบเลือดก็ยังต้องเช็ดออกอยู่ดี
“ขอรับ ปกติแล้วกว่าพลังวิญญาณจะปรากฏก็ต้องมีอายุระดับหนึ่งแล้ว อย่างข้าเองกว่าจะทราบว่ามีพลังวิญญาณก็อายุเกือบ 5 ปีแล้ว”หลิงจงตอบ ดูจากภายนอกจูล่งน่าจะอายุราวๆ 15 ปี เป็นหนุ่มน้อยที่กำลังจะโตเป็นผู้ใหญ่ แต่ระดับพลังวิญญาณเช่นนั้นแม้แต่เหล่าอาวุโสยังไม่อาจเทียบได้เลย
“ท่านรู้จักระดับพลังวิญญาณที่เรียกว่าเจ้าสวรรค์หรือเปล่า”ไป๋จูเหวินถามพลางมองไปทางหลิงจง
“เจ้าสวรรค์? ไม่ขอรับ ข้าไม่เคยได้ยิน”หลิงจงตอบออกมาด้วยท่าทีงงๆ แม้ก่อนหน้านี้ที่อาณาจักรไป๋จะมีทหารระดับเจ้าสวรรค์เกิดขึ้นมาหลายคน แต่อาณาจักรที่ก็อยู่ห่างจากอาณาจักรไป๋มาก ทำให้ข่าวเรื่องผู้อยู่เหนือระดับเทียนเซียนยังเป็นเรื่องใหม่อยู่มาก
“มันเป็นระดับที่เหนือกว่าระดับเทียนเซียนไปอีกขั้นหนึ่ง พูดแบบนี้ท่านพ่อจะเข้าใจหรือไม่”ไป๋จูเหวินถามพลางมองออกไปข้างนอก ตอนนี้จูล่งอยู่กับพวกน้าๆและกำลังรับบทลงโทษที่ทำร้ายผู้อื่นจนบาดเจ็บอยู่พอดี
“เหนือกว่าเทียนเซียน ไม่ใช่ว่าระดับเทียนเซียนขั้นที่ 10 คือจุดสูงสุดแล้วหรือขอรับ”หลิงจงถามด้วยท่าทีตกใจ อาณาจักรของมันไม่มีคนแบบนั้น และไม่มีตำนานไหนกล่าวถึงเลย
“ไม่หรอก”ไป๋จูเหวินว่าพลางปล่อยพลังวิญญาณของตนออกมา เวลาผ่านไปเนิ่นนานแล้วทำให้พลังของไป๋จูเหวินยามนี้ก้าวเข้าสู่ระดับเจ้าสวรรค์ขั้นที่ 10 มาได้พักใหญ่แล้ว เพียงปล่อยพลังระดับเจ้าสวรรค์ขั้นแรกๆออกมาก็ทำให้หลิงจงตัวสั่นสะท้านไปหมดได้แล้ว
“ระดับพลังนี่มันอะไรกัน”หลิงจงหายใจเข้าหนักๆ ระดับพลังเช่นนี้มันไม่เคยสัมผัสมาก่อนเลย มันช่างสูงส่งและลึกล้ำเกินกว่าที่หลิงจงจะเคยจินตนาการ ในโลกนี้ยังมีคนเช่นนี้อยู่อีกงั้นหรือ
“นี่คือระดับเจ้าสวรรค์ และเด็กคนนั้นก็เป็นเด็กที่เกิดมาพร้อมกับพลังระดับนี้”ไป๋จูเหวินตอบออกมาตามตรง ตั้งแต่แรกเกิดไป๋จูล่งก็พลังระดับเจ้าสวรรค์มาแต่แรกแล้ว ดูจากเส้นผมสีขาวเหมือนกับเส้นขนของเจ้าม้าตงฟาง ไป๋จูเหวินและเหม่ยหลินเดาเอาว่าที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะทั้งไป๋จูเหวินและเหม่ยหลินกลืนน้ำตาของตงฟางเข้าไปนั่นเอง
“ตั้งแต่เกิด! เป็นไปได้อย่างไร”หลิงจงใจหายวาบ หากมีพลังระดับนั้นตั้งแต่เกิดก็เหมือนเทพเซียนมากำเนิดใหม่เลยไม่ใช่หรือ
“อาจจะเพราะมันเป็นลูกของพวกเรากระมัง”เหม่ยหลินว่าพลางปล่อยพลังวิญญาณของตนออกมาบ้าง แม้จะอธิบายยาก แต่หากมีพ่อแม่ที่มีพลังระดับนี้ละก็ เรื่องที่จูล่งเกิดมาเป็นเช่นนั้นก็พอฟังขึ้น
“ไม่อยากจะเชื่อ…..”หลิงจงว่าพลางกลืนน้ำลายลงคอ ระดับพลังของไป๋จูเหวินเป็นระดับที่มันไม่อาจจินตนาการได้ แต่เหม่ยหลินเองก็อยู่ระดับนี้งั้นหรือ นี่โลกมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
“เพราะแบบนั้น พวกท่านถึงได้พาจูล่งมาอยู่ในที่ลับตาคนแบบนี้งั้นหรือขอรับ”หลิงจงสรุปออกมาทันที มิน่าเล่าอสูรหรือโจรถึงโดนจัดการจนหมด หากไป๋จูเหวินมีพลังระดับนี้ละก็ต่อให้ยกกองทัพของอาณาจักรมันมาก็คงเอาชนะไม่ได้ ส่วนเหตุผลที่ไป๋จูเหวินต้องปิดบังตัวตนหลบซ่อนมาอยู่กลางเขาเช่นนี้อาจจะเพื่อปกป้องตัวจูล่งก็เป็นได้ เด็กที่มีพลังแบบนั้นมาตั้งแต่เกิด หากโดนชักนำผิดๆละก็คงเกิดเรื่องวุ่นวายเป็นแน่ “ไม่หรอก พวกเราตัดสินใจมาอยู่ที่นี่ตั้งแต่จูล่งยังไม่เกิดเสียด้วยซ้ำ”ไป๋จูเหวินส่ายหน้าพลางถอนหายใจออกมาเบาๆ แต่เดิมไป๋จูเหวินและเหม่ยหลินตัดสินใจจะมาใช้ชีวิตอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆสักแห่งเท่านั้น ส่วนพวกท่านน้าพอทราบเข้าก็ตามมาด้วย เพราะลูกๆของพวกท่านก็เติบโตกันหมดแล้ว เรื่องที่จูล่งจะเกิดมามีพลังหรือไม่พวกมันไม่ได้ใส่ใจเสียด้วยซ้ำ เพียงแต่ในเมื่อจูล่งเกิดมาพร้อมพลังระดับนี้ ก็สมควรสั่งสอนตัวจูล่งให้ดีเสียก่อน เพราะไม่อยากให้จูล่งหลงใหลในอำนาจและพลังของตนเองอย่างที่ชินอี้เคยทำ
“งั้นหรือขอรับ”หลิงจงตอบด้วยท่าทียังไม่หายอึ้ง ความรู้สึกแรกที่แล่นออกมาคือ อิจฉาริษยา อย่าล้อเล่นน่าระดับพลังเช่นนั้นมาตั้งแต่เกิดงั้นหรือ แต่อารมณ์เช่นนั้นก็อยู่ได้ไม่นาน ในเมื่อจูล่งเป็นลูกของไป๋จูเหวินและเหม่ยหลินที่มีพลังระดับนี้กันอยู่แล้ว จะเรีบกว่าเป็นผลจากความพยายามของพ่อแม่ก็คงได้ เหมือนลูกหลานคนรวยที่เกิดมาร่ำรวยตั้งแต่เกิดเพราะพ่อแม่เก็บสะสมสมบัติเอาไว้มากมายนั่นล่ะ
“แต่ก็ยังมีหลายๆอย่างที่ข้าเป็นห่วง”ไป๋จูเหวินว่าพลางถอนหายใจออกมา
“เป็นห่วงหรือขอรับ”หลิงจงเลิกคิ้วสงสัย ระดับพลังของจูล่งไม่ว่าจะไปที่ไหนก็คงไม่มีใครทำอะไรได้ ยังจะมีเรื่องน่าห่วงอีกงั้นหรือ
“จูล่ง…ยังขาดจิตสำนึกของคนปกติไปหน่อย”ไป๋จูเหวินว่าพลางยิ้มเจื่อนๆออกมา จะว่าจูล่งก็ว่าได้ไม่เต็มปาก เพราะไป๋จูเหวินยังใช้เวลานานมากกว่าจะเริ่มเข้าใจสังคมมนุษย์เลย
“ปกติ? จูล่งไม่ได้เรียนรู้จากคนในหมู่บ้านอยู่แล้วหรือขอรับ”หลิงจงถามด้วยท่าทีประหลาดใจ
“เอ่อ…คนในหมู่บ้านนี้…..”ไป๋จูเหวินยิ้มเจื่อนๆออกมา พวกท่านน้านะหรือตอนนี้ก็อยู่ระดับบรรพกาลขั้น 5 กันหมดแล้ว มีอะไรไปสอนจูล่งเรื่องคนธรรมดาได้กัน อีกอย่างพวกท่านไม่ใช่คนมาแต่แรกแล้ว แถมนอกจากพวกท่านน้าก็มีเพียงตงฟาง อสูรปักเป้า และอสูรไม่กี่ตนที่ไป๋จูเหวินรับมาดูแลเท่านั้น คนที่พอจะสอนได้ก็มีเพียงเหม่ยหลินและตัวไป๋จูเหวินเอง แต่ไป๋จูเหวินก็โตมาในเขตอสูร ไม่ทราบจะสอนได้ถูกต้องหรือไม่ ส่วนเหม่ยหลินเองก็โดนจับฝึกให้เป็นหัวหน้ากลุ่มนักล่าอสูรมาตั้งแต่เด็ก เรียกได้ว่าแทบไม่ต่างกัน
“ฮ้าๆ ท่านจะบอกว่าคนในหมู่บ้านนี้มีพลังระดับเจ้าสวรรค์กันทุกคนหรือขอรับ”หลิงจงว่าพลางหัวเราะออกมา แต่ไป๋จูเหวินกับเหม่ยหลินกลับไม่ได้หัวเราะด้วย พวกมันเพียงหลบสายตาไปทางอื่นเท่านั้น
“….พวกท่านไม่ได้ล้อข้าเล่นสินะ”หลิงจงว่าพลางกลืนน้ำลายลงคอ เช่นนั้นหมู่บ้านนี้มันจะไปต่างจากดินแดนของเทพเซียนได้อย่างไร
“ข้าก็เลยหวังว่าท่านจะช่วยสอนว่าโลกข้างนอกเป็นอย่างไรให้จูล่งได้หรือไม่”ไป๋จูเหวินพูดด้วยท่าทีอ้อมแอ้มอย่างประหลาด 15 ปีที่ไป๋จูเหวินเข้ามาอยู่ในหมู่บ้านมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้างในโลกภายนอก คงได้แต่พึ่งพาหลิงจงเท่านั้นแล้ว
“เอ่อ…ขอรับ หากข้าช่วยได้”หลิงจงตอบพลางกลืนน้ำลายลงคอ ยามนี้มันรู้สึกเหมือนได้รับคำขอร้องจากเทพเซียนไม่มีผิด
“เช่นนั้นข้าคงต้องขอให้ท่านอยู่สอนจูล่งสักพัก ส่วนศิษย์น้องของท่าน…”ไป๋จูเหวินว่าพลางมองไปทางลั่วสุน
“ข้าจะปล่อยให้ท่านจัดการเองก็แล้วกัน”ไป๋จูเหวินพูดจบก็พากันออกไปกับเหม่ยหลิน ปล่อยให้หลิงจงกับลั่วสุนอยู่กันตามลำพัง
“เจ้า…ได้สติมานานแล้วสินะ”หลิงจงถามพลางมองไปทางศิษย์น้องตนเองที่นอนอยู่บนเตียง
“ท่านจะฆ่าข้าก็ฆ่าเลย”ลั่วสุนว่าพลางลืมตาขึ้นช้าๆ ยามนี้ลั่วสุนฟื้นพลังได้ไม่ถึงครึ่ง ไม่มีกำลังพอจะต่อต้านหลิงจงอยู่แล้ว ถึงต่อให้มีมันก็ไม่โง่พอจะลงมือทำอะไรหลังจากได้เห็นพลังของไป๋จูเหวินกับเหม่ยหลินแล้วหรอก
“ข้าจะไปฆ่าเจ้าลงได้ยังไง”หลิงจงว่าพลางถอนหายใจออกมา แม้จะโดนลั่วสุนหมายเอาชีวิต แต่ลั่วสุนก็เป็นเหมือนน้องชายของมัน มันไม่อาจตัดใจลงมือทำร้ายมันได้ลงหรอก