บุตรอสูรบรรพกาล - ตอนที่ 425 ธุระสำคัญ
ตอนที่ 425
ธุระสำคัญ
“น้องจูล่ง เจ้าอยู่นี่เอง”ภรรยาของลั่วสุนพูดพลางเดินเข้ามาหาไป๋จูล่งที่พึ่งออกมาจากลานฝึกซ้อมของสำนัก แต่ท่าทางของไป๋จูล่งนั้นกลับมีท่าทีห่อเหี่ยวเสียอย่างนั้นสร้างความประหลาดใจให้กับภรรยาของลั่วสุนอย่างมาก
“พี่สาวซู สำนักของท่านยอดเยี่ยมไปเลย มีแต่คนเก่งๆเต็มไปหมด”จูล่งพูดพลางถอนหายใจออกมา ตัวมันบังเอิญได้ทดสอบก็น่าดีใจอยู่หรอก แต่พอทราบความจริงที่น่าเจ็บปวดว่าตัวมันช่างอ่อนแอจนไม่อาจสอบเข้าสำนักได้ก็ทำให้จูล่งผิดหวังไม่น้อย
“แน่นอน สำนักของเราก่อตั้งนับร้อยปีแล้ว แถมท่านพ่อของข้ายังเป็นหนึ่งในยอดฝีมือที่ชื่อเสียงโด่งดัง ศิษย์ที่อยากจะมาเข้าสำนักก็เลยแข็งแกร่งกันทั้งนั้น”พี่สาวซูว่าพลางยิ้มกว้าง
“กิ้ว…”ตงฟางเห็นจูล่งทำหน้าหงอยมันก็เดินเข้ามาหาพร้อมส่งเสียงร้องที่ไม่เหมือนม้าออกมา
“ข้าเข้าใจพี่ตงฟาง พี่ไม่ต้องกังวลหรอก”ไป๋จูล่งตอบพลางลูบหัวตงฟางเบาๆ ทำให้พี่สาวซูที่อยู่ข้างๆแอบอมยิ้มออกมาน้อยๆ เห็นม้ากับเด็กหนุ่มสนิทสนมกันขนาดนี้ทำเอานางรู้สึกดีไปด้วยเลย
“เอาอย่างนี้ไหมน้องจูล่ง ถ้าเจ้าอยากเรียนการฝึกฝนพลังวิญญาณ ข้าจะให้พี่ลั่วสุนสอนเจ้าในช่วงที่เจ้าอยู่ที่นี่ดีหรือไม่”พี่สาวซูถามพลางยิ้มอย่างอ่อนโยน
“จริงหรือขอรับ…แต่ข้าคงอยู่ที่นี่ได้ไม่นาน”จูล่งยิ้มได้พักเดียวก็เหมือนนึกขึ้นได้ว่าตนมาที่เมืองแห่งนี้เพราะจะพาพี่ลั่วสุนมาส่งและให้พี่หลิงจงได้รายงานกับเจ้าสำนักเสียก่อน คาดว่าพรุ่งนี้ก็คงต้องกลับไปแล้ว
“ไม่เป็นไร ข้าจะสอนพื้นฐานให้ หลังจากนี้ถ้าเจ้าฝึกฝนพลังวิญญาณได้เจ้าค่อยมาสมัครอีกทีดีหรือไม่”พี่สาวซูพูดจาอย่างอ่อนโยนทำให้จูล่งพยักหน้าน้อยๆ
วูบ….อยู่ๆดวงตาของจูล่งก็ส่องประกายสีม่วงออกมา ทำเอาเจ้าตัวสะดุ้งโหยงก่อนจะหันไปมองทางหน้าประตูสำนักทันที
“ท่านพ่อ?”จูล่งขมวดคิ้วงุนงงทันทีเมื่อสัมผัสพลังของบิดาตนได้ ไม่ใช่เพียงไป๋จูเหวินเท่านั้น แม้แต่เหม่ยหลินและพวกท่านน้ายังออกมากันหมด หรือพวกท่านจะมาตามจูล่งกลับบ้านกัน
“ล่งเอ๋อ เจ้าอยู่นี่เอง”ไป๋จูเหวินพูดพลางเปลี่ยนดวงตาสีม่วงกลับไปเป็นดวงตาปกติ ด้วยระดับพลังของจูล่ง เพียงใช้ดวงตาสีม่วงกวาดหารอบเมืองเพียงครั้งเดียวก็สามารถมองเห็นได้ไม่ยาก เพราะในเมืองนี้แทบไม่มีคนระดับเจ้าสวรรค์เลย
“ท่านพ่อ ท่านตามมาด้วยหรือขอรับ”จูล่งถามพลางกะพริบตาช้าๆ ในใจมันอยากจะค้างอยู่ที่นี่สักคืนเพื่อให้พี่ลั่วสุนสอนวิชาฝึกฝนพลังให้แท้ๆ
“ล่งเอ๋อ ท่านพ่อกับแม่บังเอิญมีธุระด่วนเข้ามาพอดี พวกเราจะต้องเดินทางไปต่างแดนสักพัก”เหม่ยหลินถามพลางยิ้มบางๆ ตัวจูล่งพึ่งจะได้ออกมาท่องเที่ยวโลกภายนอกยังไม่ถึงวัน ไป๋จูเหวินก็ได้รับจดหมายฉบับหนึ่งเสียก่อน ทำให้ไป๋จูเหวินต้องออกจากหมู่บ้านทั้งๆที่ไม่ได้ไปไหนเลยมากว่า 15 ปีแท้ๆ
“ต่างแดน?”จูล่งเบิกตากว้างด้วยท่าทีงุนงง ต่างแดนนั่นคือที่ไหนกัน
“ล่งเอ๋อ น้าอยากจะให้เจ้าอยู่ที่นี่สักพัก ระหว่างพวกเราเดินทางอยู่”น้าพยัคฆ์พูดพลางลูบหัวไป๋จูล่งเบาๆ ธุระคราวนี้คงสำคัญมากจริงๆไป๋จูเหวินถึงได้ต้องพาท่านน้าไปด้วยเช่นนี้
“ข้าไปกับพวกท่านด้วยไม่ได้หรือขอรับ”จูล่งถามพลางมองไปทางบิดามารดาและน้าๆของมันอย่างสงสัย
“ไม่ได้หรอก”ไป๋จูเหวินส่ายหน้าช้าๆ เพราะมันกำลังจะเดินทางไปอาณาจักรไชน์ และมันก็ยังไม่อยากให้จูล่งไปเข้างานสังคมที่เต็มไปด้วยขุนนางและเชื้อพระวงศ์เท่าไหร่
“ล่งเอ๋อ เจ้าทำตัวเป็นเด็กดีแล้วรอพวกเราอยู่ที่นี่นะ”น้าจิ้งจอกว่าพลางยิ้มอย่างอ่อนโยน
“ก็ได้ขอรับ ข้าจะรออยู่ที่นี่”จูล่งตอบพลางยิ้มบางๆออกมา ความจริงมันก็อยากจะอยู่ที่นี่ต่ออยู่แล้ว เพราะพี่สาวซูรับปากว่าจะให้ลั่วสุนสอนวิชาฝึกฝนพลังวิญญาณให้กับมัน แต่มันก็อดเป็นห่วงครอบครัวของมันไม่ได้ พวกท่านไม่เคยไปไหนไกลมาก่อน หากเกิดอันตรายขึ้นกับพวกท่านล่ะ
“เด็กดี แล้วแม่จะรีบกลับมานะ”เหม่ยหลินว่าพลางกอดจูล่งเอาไว้แน่น นางไม่ได้กังวลกับเส้นทางที่พวกนางจะไปเลยแม้แต่น้อย แต่นางกลับเป็นห่วงจูล่งเสียมากกว่า หวังว่าหลิงจงกับลั่วสุนจะไม่ปล่อยให้จูล่งก่อเรื่องนะ
“ขอรับ”ไป๋จูล่งตอบพลางพยักหน้าน้อยๆ ทำให้ตงฟางที่อยู่ด้านหลังต้องเข้ามาปลอบใจจูล่งอีกครั้ง เห็นจูล่งมีตงฟางอยู่เป็นเพื่อนไป๋จูเหวินก็ยิ้มออกมาพร้อมบอกลาลูกชายอีกครั้ง
.
.
“น้องจูล่ง เจ้าพักอยู่ที่นี่ก่อนนะ”หลิงจงพูดพลางพาไป๋จูล่งเข้ามาในห้องรับรองแขกของสำนักคร่าตะวัน หลังจากทุกคนทราบว่าจูล่งช่วยเหลือหลิงจงเอาไว้ตอนประสบอุบัติเหตุ พวกมันก็ไม่แปลกใจเลยที่หลิงจงต้อนรับไป๋จูล่งอย่างดี ยิ่งไป๋จูเหวินฝากฝังไป๋จูล่งให้อยู่ที่นี่อีกพัก หลิงจงก็ยิ่งใช้ห้องใหญ่ที่สุดของสำนักเพื่อต้อนรับน้องชายผู้นี้เลยทีเดียว
“พี่หลิงจง แย่แล้วขอรับ”ไป๋จูล่งพึ่งเข้าไปในห้องยังไม่พ้น 10 ก้าว อยู่ๆชายคนหนึ่งก็วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาหาหลิงจงและพี่สาวซูที่อยู่ในห้องรับรองร่วมกับไป๋จูล่งพอดี
“มีเรื่องอะไรหรือ”หลิงจงถามพลางมองชายคนนั้นด้วยท่าทีสงสัย ตอนนั้นหลิงจงไม่อยู่ แต่จูล่งก็จำได้ดีว่าชายที่วิ่งมาคือคนเดียวกับที่มาแจ้งข่าวเรื่องสำนักจันทร์กระจ่างกับลั่วสุนนั่นเอง
“พี่หลิงจง แย่แล้วขอรับ พี่ลั่วสุนโดนพวกสำนักจันทร์กระจ่างล้อมเอาไว้ ตอนนี้ยังหนีออกมาไม่ได้เลยขอรับ”ได้ยินข่าวเช่นนั้นหลิงจงก็มีท่าทีกังวลทันที
“เกิดอะไรขึ้น ทำไมพี่ลั่วสุนถึงออกมาไม่ได้”พี่สาวซูถามด้วยความเป็นห่วง ปกติลั่วสุนไม่เคยโดนพวกสำนักจันทร์กระจ่างกักตัวเอาไว้มาก่อน เพราะศิษย์ของสำนักจันทร์กระจ่างยังไม่มีใครขึ้นระดับก่อกำเนิดพลังเซียนเลย
“พี่ลั่วสุนโดนเหล่าลี่เล่นงานขอรับ ดูเหมือนมันจะได้สืบทอดวิชาจันทร์สดับแสงจากเจ้าสำนัก ทำให้มันเลื่อนระดับขึ้นมาเป็นขั้นก่อกำเนิดพลังเซียนได้ขอรับ”ชายคนนั้นพูดด้วยท่าทีตื่นตูมเป็นอย่างมาก มิน่าเล่าพวกสำนักจันทร์กร่างถึงได้กล้าจับศิษย์สำนักมันเป็นตัวประกันเช่นนี้
“แล้วเจ้าออกมาได้ยังไง”หลิงจงถามพลางมองไปทางชายที่มาส่งข่าว แม้แต่ลั่วสุนยังออกมาไม่ได้ แล้วทำไมชายคนนี้ถึงยังสามารถหนีมาได้
“มันบอกให้มาบอกพี่หลิงจงขอรับ”ชายหนุ่มตอบออกมาตามตรง ลั่วสุนโดนจัดการไปแล้ว หลิงจงที่ฝีมือพอๆกันก็คงไม่ใช่ปัญหา เหล่าลี่จึงส่งชายหนุ่มออกมาให้ตามตัวหลิงจงไปช่วยนั่นเอง
“พี่หลิงจง พวกมันจะล่อให้พี่ไปโดนทำร้ายแน่ๆ เรื่องนี้บอกท่านพ่อเถอะ”พี่สาวซูเสนอ เพราะหากมันจัดการลั่วสุนได้ หลิงจงที่ฝีมือเท่าๆกันก็อาจจะไม่รอด แต่หากขอร้องให้อาจารย์ลงมาช่วย แม้จะช่วยเหลือลั่วสุนกลับมาได้ แต่ก็เท่ากับว่าคนรุ่นใหม่ของสำนักคร่าตะวันนั้นอ่อนด้อยกว่าสำนักจันทร์กระจ่าง และหากลงเอยอย่างนั้นชื่อเสียงสำนักต้องด่างพร้อยลงแน่ๆ
“ได้ ข้าจะไปขอร้องอาจารย์”หลิงจงพูดออกมาด้วยท่าทีไม่ค่อยจะเต็มใจนัก ตัวมันก็อยากไปช่วยลั่วสุนด้วยตนเอง แต่ตัวมันยังไม่ฟื้นจากอาการบาดเจ็บดีเสียด้วยซ้ำ ไม่มีทางช่วยได้แน่ๆ ยามนี้หลิงจงเป็นห่วงศิษย์ในสำนักกับลั่วสุนมากกว่าชื่อเสียงของสำนักเสียอีก แม้จะต้องเสียหน้าสักหน่อยแต่ชีวิตของพวกลั่วสุนก็สำคัญกว่า
“พี่ลั่วสุนกลับมาไม่ได้งั้นหรือขอรับ”ไป๋จูล่งเลิกคิ้วสงสัย แม้จะไม่ทราบว่าที่พวกหลิงจงพูดกันหมายถึงอะไร แต่จูล่งก็เข้าใจเพียงว่าลั่วสุนโดนกักตัวเอาไว้ไม่ยอมให้กลับออกมา
“ถ้าพี่ลั่วสุนไม่กลับมา ข้าคงไม่ได้เรียนวิชาแน่ๆ งั้นข้าขอไปตามพี่ลั่วสุนก่อนนะขอรับ”ไป๋จูล่งยิ้มพลางเดินออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว ทำเอาพี่สาวซูสะดุ้งโหยง ส่งเด็กไร้พลังวิญญาณไปช่วยลั่วสุนงั้นหรือ เป็นไปไม่ได้หรอก
“…….น้องซู เราตามไปกันเถอะ”หลิงจงพูดพลางออกมาจากห้องไป แต่เพียงพริบตาเดียวไป๋จูล่งก็หายไปจากหน้าประตูห้องเสียแล้ว แต่โชคยังดีที่หลิงจงทราบอยู่แล้วว่าลั่วสุนโดนจับไปที่ไหน มันจึงกระโดดขึ้นไปบนหลังคาเพื่อมุ่งหน้าไปยังเป้าหมายเดียวกันกับจูล่งนั่นเอง
วูบ… ร่างของจูล่งทะยานขึ้นมาบนท้องฟ้าเหนือเมืองของพวกหลิงจง ดวงตาของจูล่งส่องประกายสีน้ำเงินและสีม่วงออกมาพร้อมกันเพื่อตามหาว่าลั่วสุนอยู่ที่ใด
ฟุบ! จูล่งพุ่งตัวกลางอากาศราวกับกำลังบินอยู่บนท้องฟ้า พริบตาเดียวก็ผ่านครึ่งเมืองไปยังจุดที่ลั่วสุนอยู่ได้ในทันที
โครม!! จูล่งพุ่งกระแทกพื้นเสียงดังสนั่นท่ามกลางเหล่าลูกศิษย์ของสำนักจันทร์กระจ่างที่ตั้งท่ารอหลิงจงอยู่ก่อนแล้ว
“พี่ลั่วสุน ท่านอยู่นี่เอง”จูล่งว่าพลางมองไปที่ลั่วสุนที่โดนจับมัดข้อมือเอาไว้ที่กลางลานกว้างหน้าสำนักจันทร์กระจ่าง
“กลับกันเถอะ พี่สาวซูกับพี่หลิงจงเหมือนจะเป็นห่วงท่านมากเลย”จูล่งว่าพลางเดินเข้าไปแก้มัดให้ลั่วสุนท่ามกลางสายตางงๆของเหล่าศิษย์สำนักจันทร์กระจ่าง
“เดี๋ยวก่อน เจ้าคิดว่าเจ้าจะทำอะไร”เสียงของหญิงสาวคนหนึ่งดังขึ้นที่ด้านหลังไป๋จูล่ง มันคือเสียงของเหล่าลี่ศิษย์เอกของสำนักจันทร์กระจ่างนั่นเอง
“ข้ามารับพี่ลั่วสุนขอรับ”จูล่งตอบพลางยิ้มกว้างราวกับสัมผัสพลังวิญญาณที่เหล่าลี่ส่งออกมาไม่ได้
“เจ้าคิดจะมาก็มาคิดจะไปก็ไปงั้นหรือ จะพาลั่วสุนออกไปก็ต้องผ่านศพข้าไปก่อน”เหล่าลี่ว่าพลางเรียกเอากระบี่ออกมาจากแหวนมิติของนาง
“ศพท่าน? แต่ท่านยังไม่ตายนะขอรับ”จูล่งทำหน้างงโดยที่มือก็ยังแก้มัดให้เหล่าศิษย์สำนักคร่าตะวันต่อไป
“น้องจูล่ง…”ลั่วสุนว่าพลางมองมาทางจูล่ง ตัวมันเห็นจูล่งมาช่วยก็หมดความกังวลในทันที เพราะมันทราบอยู่แล้วว่าเหล่าลี่ไม่มีทางทำอะไรจูล่งได้แน่ๆ
“พี่ลั่วสุน ท่านยังไม่หายบาดเจ็บดีเลย ขืนออกแรงอีกระวังบาดแผลจะฉีกขาดนะขอรับ”จูล่งเตือนพลางใช้ดวงตาสีเขียวมองร่างของลั่วสุน ตัวมันพึ่งโดนระดับเจ้าสวรรค์ซัดเสียหมดสภาพมาไม่กี่วันก็มาสู้กับเหล่าลี่เสียแล้ว ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมถึงได้พ่ายแพ้ แม้เหล่าลี่จะได้วิชาจากอาจารย์มาแล้วและฝึกจนก้าวเข้าระดับก่อกำเนิดพลังเซียนเช่นเดียวกับลั่วสุนแล้ว แต่ในความเป็นจริงลั่วสุนไม่มีทางแพ้นางแน่ๆเพราะลั่วสุนอยู่ระดับก่อกำเนิดพลังเซียนมาพักใหญ่จนจะเลื่อนเป็นระดับ 2 อยู่รอมร่อ หากไม่โดนจูล่งตบมาก่อนหน้านี้มันคงไม่โดนจับอย่างที่เห็น
“เจ้า ข้าบอกว่าห้ามไป”เหล่าลี่เห็นจูล่งไม่สนใจนางเอาแต่แก้มัดให้ศิษย์สำนักคร่าตะวันก็เกิดอารมณ์โมโหขึ้นมา ก่อนจะทิ่มกระบี่เข้าใส่จูล่งในทันที
ฟุบๆๆๆ กระบี่ของเหล่าลี่แทงใส่จูล่งไปหลายครั้ง ความเร็วกระบี่ของนางไม่ธรรมดาสมกับเป็นศิษย์เอกสำนักจันทร์กระจ่าง แต่จูล่งกลับยังสามารถหลบกระบี่ของนางได้โดยไม่ได้หันมามองเสียด้วยซ้ำ
“เอาล่ะ พวกเรากลับกันเถอะขอรับ”จูล่งยิ้มพลางบอกให้พวกศิษย์สำนักคร่าตะวันลุกขึ้น เพียงแต่ศิษย์สำนักคร่าตะวันก็มีท่าทีประหลาดใจไม่ต่างจากศิษย์สำนักจันทร์กระจ่างนักหรอก
“เจ้า..”เหล่าลี่เดือดดาลขึ้นมากกว่าเดิมหลายเท่า นอกจากจะหลบการโจมตีของนางราวกับเป็นเรื่องง่ายๆแล้ว มันยังไม่หันมาสนใจนางเลยสักนิด ทำให้เหล่าลี่วาดกระบี่เข้าไปใส่จูล่งอย่างจริงจังมากขึ้น
เปรี้ยง!! จูล่งแก้มัดให้ศิษย์สำนักคร่าตะวันเสร็จแล้วมือกลับมาว่างอีกครั้ง ทำให้จูล่งเลิกหลบแล้วใช้สันมือฟาดใส่กระบี่ของเหล่าลี่ทันที
“……..”เหล่าลี่และศิษย์สำนักจันทร์กระจ่างรวมทั้งศิษย์สำนักคร่าตะวันเองพากันมองภาพตรงหน้าตาค้าง ฝ่ามือเปล่าๆพาดใส่คมกระบี่ตรงๆ นอกจากฝ่ามือจะไม่เป็นอะไรแล้วกระบี่กลับหักเป็นเสี่ยงๆอีกต่างหาก
“พี่สาว ข้าขอผ่านทางได้หรือไม่”ไป๋จูล่งว่าพลางยิ้มหน้าบานราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น เกราะแมงมุมของมันแม้แต่อาวุธวิเศษยังโจมตีแทบไม่เข้า ไม่มีทางที่อาวุธธรรมดาๆอย่างของเหล่าลี่จะระคายเคืองอยู่แล้ว
“ดะ ได้…”เหล่าลี่โดนหักกระบี่คามือ แม้สัมผัสพลังวิญญาณไม่ได้ก็พอจะสำเหนียกตนได้แล้วว่าอีกฝ่ายอยู่คนละระดับกับตนเอง นางมองเศษกระบี่ก่อนจะถอยออกมาเปิดทางให้จูล่งอย่างช่วยไม่ได้พร้อมดวงตาที่ยังสลัดความรู้สึกตกตะลึงไม่ออก