บุตรอสูรบรรพกาล - ตอนที่ 428 เป็นพี่ชื่นชม
ตอนที่ 428
เป็นพี่ชื่นชม
“น้องชาย ต้องขอโทษเจ้าด้วยที่เข้าใจเจ้าผิด”หลังจบการปะทะ ชิงชิวที่ได้ทราบว่าจูล่งเพียงต้องการจะเข้าไปขอโทษหญิงสาวในหอเท่านั้นก็ไม่ได้มองจูล่งในทางเลวร้ายอะไร ตรงกันข้ามกลับรู้สึกว่าน้องชายผู้นี้ใสซื่ออย่างประหลาด
“แต่ท่านก็ไม่ได้จะทำร้ายข้านี่นา ไม่เป็นไรหรอก”จูล่งตอบพลางยิ้มบางๆออกมา ตลอดการต่อสู้ก่อนหน้านี้ชิงชิวไม่ได้นำอาวุธอะไรออกมาเลย แถมยังไม่โจมตีจุดสำคัญอีกต่างหาก เจตนาเพียงจับตัวจูล่งเท่านั้น ต่อให้จูล่งหลบไม่ได้ก็คงไม่ได้บาดเจ็บอะไร
“ว่าแต่เจ้า….มาจากไหนกัน”ชิงชิวถามพลางมองไปทางจูล่ง แม้แต่ตอนนี้จูล่งก็ยังปิดบังพลังของตนเอาไว้ ทำให้ชิงชิวอดสงสัยไม่ได้ว่าจูล่งเป็นใครกันแน่ พลังระดับนั้นไม่ควรอยู่ในร่างของเด็กหนุ่มที่ดูยังไงก็ไม่น่าจะถึง 20 ปี หรืออายุจริงๆของจูล่งจะเยอะมากกันนะ?
“ข้าอาศัยอยู่ในหมู่บ้านทางตะวันตกของที่นี่ขอรับ ห่างจากที่นี่ไม่มากหรอก”จูล่งบอกออกมาตามตรง เพราะมันไม่มีเหตุผลอะไรต้องปิดบังอยู่แล้ว “ข้าหมายถึง เจ้าเป็นใครกันแน่”ชิงชิวถามอีกครั้ง หมู่บ้านเล็กๆกลางเขางั้นหรือ ที่นั่นเป็นหมู่บ้านลับแลหรืออย่างไรถึงได้มีเด็กแบบจูล่งได้
“ข้าหรือ ข้าชื่อไป๋จูล่ง”จูล่งตอบออกมาตามตรงอีกเช่นเคย แต่สิ่งที่พูดออกมากลับเหมือนเข็มทิ่มเข้าไปในร่างของชิงชิวเสียอย่างนั้น แม้ชื่อสกุลไป๋จะไม่ได้จำกัดเพียงวงศ์ตระกูลของไป๋จูเหวินเท่านั้น เพราะยังมีคนอีกจำนวนมากที่ใช้แซ่ไป๋ ที่ผ่านมาชิงชิวก็พบคนแซ่ไป๋นับไม่ถ้วนทีเดียว เพียงแต่ ชิงชิวราวกับจะเชื่อมโยงบางอย่างระหว่างตัวไป๋จูล่งผู้นี้กับ….
“พี่ตงฟาง ลงมาได้แล้ว”ไป๋จูล่งตะโกนขึ้นไปบนหลังคาหอพักของสำนักจันทร์กระจ่าง ยิ่งชิงชิวได้ยินคำว่า ตงฟาง มันก็ยิ่งมีความรู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาด
ตุบ…อยู่ๆร่างของม้าสีขาวตัวหนึ่งก็กระโดดลงมาจากหลังคาหอพักของสำนักจันทร์กระจ่าง ทำเอาชิงชิวเบิกตากว้าง
“อะไรกัน แค่ม้าธรรมดาหรอกหรือ”ชิงชิวว่าพลางถอนหายใจออกมา แต่ไม่นานชิงชิวก็สัมผัสได้ถึงพลังอสูรของตงฟาง ทำให้ใจชิงชิวเริ่มเอียนเอียงไปเล็กน้อย
“กิ้ว”ตงฟางส่งเสียงประหลาดที่ม้าปกติไม่ส่งเสียงเช่นนี้ออกมา คนอื่นอาจจะมองว่าประหลาด แต่……
“ตงฟาง….”ชิงชิวสะท้านวาบ ไอ้เสียงแบบนี้ กับขนสีขาวล้วนแบบนี้ มันคือตงฟางที่อยู่กับองค์จักรพรรดิไป๋ไม่ใช่หรืออย่างไร นี่มันเป็นม้าจริงๆงั้นหรือ แล้วปีกของมันหายไปไหนกัน
ชิงชิวเหมือนจะไม่แน่ใจไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเริ่มสูดกลิ่นดมช้าๆ ประสาทรับกลิ่นของชิงชิวดีมากมาแต่ไหนแต่ไร เพียงแต่เวลามันผ่านมาเกือบจะร้อยปีอยู่แล้ว ต่อให้เป็นชิงชิวก็ยังกังวลว่าจะจำกลิ่นของตงฟางได้หรือไม่
“เป็นตงฟางจริงๆ”ชิงชิวยืนอึ้งอยู่กับที่ นอกจากกลิ่นของตงฟางแล้ว ชิงชิวยังได้กลิ่นขององค์จักรพรรดิและตัวพระมเหสีจากตัวจูล่งจางๆอีกด้วย เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ไม่ต้องสงสัยแล้วว่าไป๋จูล่งคือใคร เพียงแต่….
“นะ น้องจูล่ง”ชิงชิวว่าพลางเดินเข้าไปหาจูล่งช้าๆ
“ขอรับ”จูล่งที่กำลังจะกลับไปยังสำนักคร่าตะวันถามพลางหันมามองชิงชิวด้วยความสงสัยว่ามันมีเรื่องอะไรอยากจะถามงั้นหรือ
“แม่ของเจ้าคือใครหรือ”ชิงชิวถามออกไปด้วยท่าทีสั่นๆ
“แม่ของข้า? แม่ของข้ามีนามว่าเหม่ยหลิน พี่ชายท่านอยากรู้ไปทำไมหรือ”จูล่งถามพลางเอียงคอสงสัย แต่เมื่อชิงชิวได้ทราบเช่นนั้นก็ทั้งประหม่าทั้งดีใจ เช่นนั้นจูล่งผู้นี้ก็คือบุตรชายขององค์จักรพรรดิจริงๆ ส่วนที่ชิงชิวต้องถามว่าใครเป็นแม่ก็เพราะมันแอบกังวลว่าจริงๆแล้วจูล่งอาจจะเป็นลูกชายขององค์หญิงไป๋หลินก็เป็นได้ เมื่อได้ยินว่ามันเป็นน้องชายของไป๋หลิน ชิงชิวก็โล่งใจไม่น้อย
“แล้ว…พี่สาวเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”ชิงชิวถามออกไปด้วยความรู้สึกโหยหาอย่างประหลาด ตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา มันอยากเจอไป๋หลินมาตลอด แต่น่าเสียดาย ต่อให้แอบเข้าอาณาจักรไป๋ไปพบท่านแม่กับน้องๆอยู่บ้าง แต่ไป๋หลินก็เหมือนกำลังเดินทางไปที่ไหนสักแห่งอยู่ตลอดเวลา ว่ากันว่านางแทบไม่ได้กลับอาณาจักรไป๋เลยทีเดียว
“พี่สาว? ข้าไม่มีพี่สาวสักหน่อย”จูล่งตอบ ตัวมันเกิดมาก็มีเพียงพ่อกับแม่ ไม่เคยเจอไป๋หลินเลยแม้แต่ครั้งเดียว ทำให้จูล่งไม่ทราบว่าตัวมันมีพี่สาวอยู่ด้วย
“ไม่มีงั้นหรือ….”ชิงชิวอึ้งไปนิดหน่อย จะว่าไปจูล่งก็บอกว่าตนเองมาจากหมู่บ้านใกล้ๆนี้เอง แถมข่าวเรื่ององค์จักรพรรดิไป๋สละราชบัลลังก์ให้กับหลิวเมิ่งก็พึ่งจะไม่กี่ปีมานี้ หรือบางทีท่านอาจจะแอบมาอยู่ในหมู่บ้านใกล้ๆกับเมืองแห่งนี้ และให้กำเนิดจูล่งในช่วง 15 ปีที่ผ่านมา
“ข้าคงเข้าใจผิดไปเอง ขอโทษเจ้าด้วย”ชิงชิวตอบพลางยิ้มเหงาๆออกมา หาก 15 ปีที่ผ่านมาจูล่งยังไม่เคยพบไป๋หลิน งั้นก็หมายความว่านางยังไม่กลับมางั้นหรือ นี่นางเดินทางตามหาอะไรกันแน่ถึงได้ใช้เวลาหลายสิบปีเช่นนี้
“ท่านอาวุโส”ระหว่างที่จูล่งกำลังคุยกับชิงชิวอยู่นั้น หลิงจงและลั่วสุนก็เหมือนจะปรึกษาบางอย่างกันจนเสร็จเรียบร้อยก่อนจะเดินเข้ามาหาชิงชิว
“มีอะไรหรือ”ชิงชิวถามพลางมองชายหนุ่มทั้งสอง ตัวชิงชิวยามนี้ถูกเรียกว่าอาวุโสก็ไม่แปลกแต่อย่างไรแล้ว แม่หน้าตาจะยังเหมือนชายหนุ่มอายุราวๆ 25 ปีก็ตาม
“ท่านอาวุโส ท่านคือบุรุษไร้ลักษณ์หรือไม่ขอรับ” ได้ยินหลิงจงถาม ชิงชิวก็ชะงักเท้าไปเสียอย่างนั้น เมื่อครู่ที่หลิงจงกับลั่วสุนปรึกษากันนานสองนานก็เพราะเงาของชิงชิวเหมือนภาพบุรุษไร้ลักษณ์มากทีเดียว ก่อนหน้านี้ทั้งหลิงจง ลั่วสุน และพี่สาวซูต่างได้สัมผัสพลังวิญญาณของชิงชิวกันแล้ว ระดับพลังเช่นนั้นไม่ใช่ใครๆก็มี ทำให้พวกมันยิ่งคิดว่าชิงชิวอาจจะเป็นบุรุษไร้ลักษณ์ก็เป็นได้
“อย่าใช้ชื่อนั้นเรียกข้าเลย”ชิงชิวว่าพลางก้มหน้าลงช้าๆ บุรุษไร้ลักษณ์อะไรกัน น่าอายเกินไปแล้ว มันอายุขนาดนี้แล้วยังตั้งฉายาให้เหมือนเรื่องเล่าของพวกเด็กๆอีก แม้ผู้อื่นจะชื่นชมแต่ชิงชิวก็อับอายเกินกว่าจะเอามาใช้จริง
“เช่นนั้น ท่านก็คือบุรุษไร้ลักษณ์จริงๆสินะขอรับ”ทั้งหลิงจงทั้งลั่วสุนมีท่าทีตื่นเต้นอย่างมาก ชนิดแทบจะสลัดคราบศิษย์เอกทั้งสองแห่งสำนักคร่าตะวันทิ้งไปเลยทีเดียว เด็กหนุ่มในช่วงอายุพวกมันต่างเติบโตมาท่ามกลางเรื่องราวของชิงชิวทั้งนั้น ตำนานที่ชิงชิวสร้าง เป็นเรื่องเล่าขานที่คนเล่านิทานมักจะเอามาเล่าให้เด็กๆฟังเสมอ
“ข้ามีนามว่าชิงชิว พวกเจ้าเรียกข้าแบบนั้นก็แล้วกัน”พอโดนหลิงจงและลั่วสุนทำตาเป็นประกายมองมาทางตนพร้อมพูดว่า บุรุษไร้ลักษณ์ แล้วตัวชิงชิวถึงกับขนลุกทันที
“ขะ ขอรับท่านชิงชิว”หลิงจงตอบพลางประสานมือคารวะอย่างนอบน้อม
“พี่ชายคือคนที่คอยช่วยเหลือผู้อื่นหรือ”จูล่งได้ยินเช่นนั้นก็เกิดสนใจทันที แม้จะไม่ดีใจเท่าพวกหลิงจงก็ตาม แต่จูล่งก็โดนหลิงจงกับลั่วสุนกรอกหูมาตลอดทางจากร้านรูปถ่านมาจนถึงหน้าสำนักว่าบุรุษไร้ลักษณ์นั้นยอดเยี่ยมเพียงไร
“ก็…ใช่”ชิงชิวถอนหายใจออกมา หลายปีมานี้ตัวมันช่วยเหลือผู้อื่นไปทั่ว อาจจะเพราะได้นิสัยนี้มาจากองค์จักรพรรดิก็เป็นได้ ทำให้คนเอาไปเล่าขานแบบนั้นจริงๆ
“เหมือนฝันไปเลย ข้าได้พบท่านตัวเป็นๆเสียที”หลิงจงว่าพลางกำหมัดแน่น มันยังจำตอนเด็กๆที่ได้ฟังเรื่องเล่าของชิงชิวได้ดี ที่มันอยากฝึกฝนพลังวิญญาณก็เพราะเรื่องเล่าของชิงชิวนี่ล่ะ
“ท่านชิงชิว ถ้าไม่รังเกียจละก็คืนนี้มาพักที่สำนักเราดีหรือไม่ ท่านเจ้าสำนักจะต้องดีใจแน่ๆ”ลั่วสุนว่าพลางยิ้มกว้าง แม้แต่เจ้าสำนักก็ยังชื่นชอบเรื่องราวของชิงชิว แม้ท่านจะอายุ 60 กว่าปีแล้วก็ตาม
“ข้า…”ชิงชิวเตรียมจะปฏิเสธ แต่เมื่อมองไปทางไป๋จูล่งซึ่งเป็นบุตรชายของไป๋จูเหวินแล้วชิงชิวกลับเหมือนจะครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
“ก็ได้…”ชิงชิวว่าพลางยิ้มออกมาบางๆ ทำเอาหลิงจงและลั่วสุนมีท่าทีคึกคักกันยกใหญ่ ศิษย์ทั่วไปอาจจะไม่ทราบ แต่ทั้งสองเป็นศิษย์เอกของสำนักคร่าตะวันทำให้สนิทสนมกับท่านเจ้าสำนักพอสมควร และเพราะความสนิทสนมนี้เองทำให้พวกมันได้รู้ว่าจริงๆแล้วในห้องของท่านเจ้าสำนักมีภาพของชิงชิวเก็บเอาไว้หลายใบทีเดียว แม้ทุกภาพจะเป็นภาพเงารางๆเท่านั้นก็ตาม
“น้องจูล่ง พ่อกับแม่ของเจ้าอยู่ที่เมืองนี้หรือเปล่า”ชิงชิวถามพลางเดินตามจูล่งไปช้าๆ ชิงชิวไม่ได้พบองค์จักรพรรดิมานานหลายสิบปี แม้ใจจะอยากพบ แต่ตัวกลับไม่กล้า ก่อนหน้านี้มันสามารถเข้าพบองค์จักรพรรดิได้ทันที เพียงแค่มุ่งหน้าไปที่วังหลวงของอาณาจักรไป๋เท่านั้น แต่ตัวมันกลับไม่กล้าไป ภายหลังจักรพรรดิไป๋สละราชบัลลังก์แล้วหายตัวไป ทำให้ชิงชิวไม่มีโอกาสได้พบท่านอีก ทำให้ชิงชิวรู้สึกเหมือนเสียโอกาสที่จะได้พบท่านไป มาวันนี้มันมีโอกาสได้พบไป๋จูเหวินอีก ทำให้มันเกิดความรู้สึกอยากจะลองเข้าไปหาท่านดูสักครั้ง เพียงแต่…
“ท่านพ่อไปธุระที่อื่น ก็เลยให้ข้ามาอยู่กับพวกพี่หลิงจงไปก่อน ตอนนี้ที่หมู่บ้านไม่มีใครอยู่เลย”ได้ยินคำตอบชิงชิวก็แอบถอนหายใจออกมา แม้จะเป็นข่าวร้ายที่ไม่ได้พบไป๋จูเหวินตามที่หวัง แต่มันก็โล่งใจที่ไม่ได้พบเช่นกัน
“งั้นหรือ น่าเสียดายจริงๆ”ชิงชิวว่าพลางยิ้มออกมาบางๆ
“พี่ชาย ท่านอยากเจอท่านพ่อกับท่านแม่ข้างั้นหรือ”จูล่งถามพลางเลิกคิ้วสงสัย
“ใช่ ข้าอยากพบพวกท่านจริงๆ”ชิงชิวตอบออกมาด้วยท่าทีลำบากใจเล็กน้อย
“ท่านพ่อพึ่งออกเดินทางไปเมื่อเช้า ข้าก็ไม่ทราบว่าจะกลับมาเมื่อไหร่ ถ้าท่านอยากพบก็คงต้องรออยู่ที่นี่แล้วล่ะ”จูล่งตอบ มันไม่ทราบว่าท่านพ่อเดินทางไปที่ไหนเสียด้วย เลยบอกได้ไม่เต็มปากว่าท่านพ่อจะกลับมาตอนไหน
“น้องจูล่ง เจ้าช่วยเล่าเรื่องของท่านพ่อกับท่านแม่ของเจ้าให้ข้าฟังระหว่างที่อยู่ที่นี่ได้หรือไม่”ชิงชิวถามพลางมองไปทางไป๋จูล่งอย่างอ่อนโยน
“ขอรับ ได้แน่นอน”จูล่งตอบพร้อมรอยยิ้มตัวมันไม่มีเรื่องอะไรให้ปิดบังเสียหน่อย หากชิงชิวไม่เบื่อเรื่องคำสอนของพวกท่านน้าจูล่งก็ยินดีจะเล่าให้ฟัง