บุตรอสูรบรรพกาล - ตอนที่ 432 ผ่านไม่ได้
ตอนที่ 432
ผ่านไม่ได้
“………”จูล่งและผิงกั่วขี่หลังตงฟางลงมาจากเขาได้ไม่นานก็พบว่าเบื้องหน้าตนเองนั้นเป็นถนนใหญ่ที่ผู้คนใช้เดินทางกันเป็นหลัก ทำให้มีคนเดินทางกันอยู่มากมายต่างจากจูล่งที่ทะเล่อทะล่าขี่ม้าขึ้นเขาจนไปเจอพวกโจรเข้าลิบลับ
“คนเยอะแยะเลย”ผิงกั่วว่าพลางเกาะเสื้อของจูล่งเอาไว้แน่น ท่าทางนางจะไม่ชินกับคนจำนวนมากเช่นนี้เท่าไหร่ “ทำไมทุกคนถึงหยุดอยู่กับที่ล่ะ”จูล่งขมวดคิ้วพลางบอกให้ตงฟางเดินลงไปที่ถนนเบื้องล่าง อย่างที่บอกมันเป็นถนนเส้นหลัก ทำให้มีขนาดใหญ่มากจนรถม้า 4 หรือ 5 คันสามารถขนาบข้างแล่นผ่านไปได้อย่างสบายเลย แต่ทุกคนกลับไม่เดินทางต่อเอาแต่จอดรถม้าเอาไว้แล้วออกมายืนข้างนอกเหมือนไม่สามารถเดินทางไปต่อได้ไม่มีผิด
“พี่ชาย เกิดอะไรขึ้นงั้นหรือ”จูล่งถามพลางขี่ตงฟางเข้าไปใกล้รถม้าคันหนึ่ง
“ข้าเองก็ไม่รู้ แต่พวกเราเดินหน้าไม่ได้มาชั่วโมงกว่าๆแล้ว”ชายคนนั้นตอบพลางชะเง้อมองไปเบื้องหน้า ตรงจุดที่จูล่งลงมาถามนั้นไม่สามารถมองเห็นหัวแถวได้เลย
“งั้นหรือขอรับ”จูล่งว่าพลางมองไปด้านหน้า ด้วยดวงตาสีน้ำเงินของมันทำให้สามารถมองเห็นระยะไกลได้ไม่ยาก เพียงแต่สิ่งที่จูล่งเห็นกลับทำให้จูล่งรู้สึกประหลาดใจนิดหน่อย
“มีคนขวางทางเอาไว้ขอรับ…”จูล่งตอบพลางบังคับให้ตงฟางเดินแทรกระหว่างรถม้าไปยังด้านหน้าสุดที่มีผู้คนจำนวนมากยืนออกันเต็มไปหมด
“พี่สาว พวกเราต้องทำมาหากินนะ มาหยุดอยู่ตรงนี้นานๆไม่ได้หรอก”พ่อค้าคนหนึ่งบ่นพลางมองหญิงสาวคนหนึ่งที่กำลังยืนขวางทางเอาไว้
“ท่านผู้ฝึกฝนพลังวิญญาณ ให้พวกเราผ่านไปเถอะ พวกเราต้องไปเมืองข้างหน้านะ”หญิงวัยกลางคนผู้หนึ่งพูดพลางขอร้องหญิงสาวตรงหน้าที่ยืนขวางทางเอาไว้ไม่ยอมให้ใครไปไหนทั้งสิ้น
“ท่านลุง มีอะไรกันหรือขอรับ”จูล่งพึ่งขี่ตงฟางมาถึงเห็นเหตุการณ์ตรงหน้าก็มีท่าทีงุนงงทันที เบื้องหน้ามีหญิงสาวคนหนึ่งยืนขวางทางเอาไว้ไม่ยอมให้ใครไปไหนทั้งสิ้น ไม่ว่าใครจะขอร้องอย่างไรนางก็ไม่ถอย แถมในมือของนางยังถือกระบี่เอาไว้เล่มหนึ่งเหมือนจะบอกว่าใครข้ามผ่านทางตรงนี้ไปจะต้องโดนนางจัดการแน่ๆ
“หญิงสาวคนนั้นนะสิ ไม่ยอมเปิดทางให้พวกเราเลย พูดอะไรก็ไม่ยอมฟัง”ชายวัยกลางคนที่จูล่งเอ่ยปากถามตอบ ในกลุ่มผู้เดินทางมีผู้ฝึกฝนพลังวิญญาณอยู่บ้าง แต่ไม่มีใครกล้าหือกับหญิงสาวตรงหน้าเลย แสดงว่านางมีฝีมือสูงพอสมควร
“พี่สาว ทำไมถึงไม่ให้พวกเราผ่านไปล่ะขอรับ”จูล่งได้ทราบว่าหญิงสาวตรงหน้าขวางทางเอาไว้ก็ลงจากหลังตงฟางเดินเข้าไปหาทันที
“ถอยไป”หญิงสาวตรงหน้าพูดพลางชี้กระบี่มาทางจูล่ง ท่าทางนางจะไม่ยอมให้ใครผ่านไปจริงๆ
“ไม่ว่าใครก็ผ่านทางนี้ไปไม่ได้ทั้งนั้นจนกว่าข้าจะอนุญาต”หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงดุดันพร้อมปล่อยพลังวิญญาณออกมาข่มขู่พวกผู้ฝึกฝนพลังวิญญาณที่อยู่ในขบวนเอาไว้ พลังของนางนั้นอยู่ระดับเทียนเซียนขั้นที่ 5 แม้ไม่ได้เป็นชนชั้นยอดฝีมือ แต่ในที่นี้ก็ไม่มีใครมีพลังระดับนางเลยแม้แต่คนเดียว
“ทำไมถึงห้ามผ่านละขอรับ”จูล่งเอียงคอสงสัยพลางเดินเข้าไปใกล้หญิงสาวตรงหน้า
ฟุบ!! กระบี่ของนางพุ่งมาทางจูล่งจนคมกระบี่จ่ออยู่ที่คอจูล่งจนแทบจะโดนผิวหนัง ความเร็วและแม่นยำในเชิงกระบี่ของนางเร็วมากจนทำให้คนรอบข้างใจหาย
“ข้าบอกว่าอย่าเข้ามา”หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงดุดัน ทำเอาผิงกั่วที่อยู่ข้างหลังแสดงท่าทีเป็นห่วงจูล่งออกมาอย่างชัดเจน แต่น่าเสียดายพลังวิญญาณระดับเทียนเซียนขั้นที่ 5 ไม่สามารถกดดันไป๋จูล่งได้เลยแม้แต่น้อย
“ไม่เอาน่าพี่สาว ข้ายังต้องเดินทางต่ออีกไกลเลย ขอข้าผ่านหน่อยนะ”จูล่งยิ้มพลางดันกระบี่ของหญิงสาวตรงหน้าออกจากคอของตน
เปรี้ยง!!! กระบี่ของหญิงสาวตรงหน้าฟาดลงมาบนพื้นเบื้องหน้าไป๋จูล่งพอดี คลื่นกระบี่ของนางฟาดลงพื้นจนฝุ่นควันฟุ้งกระจาย แต่กลับไม่โดนไป๋จูล่งแม้แต่น้อย เห็นได้ชัดเลยว่านางเพียงโจมตีเพื่อหยุดจูล่งเอาไว้เท่านั้น
“อะไรกัน สัตว์ป่าบาดเจ็บนี่เอง”จูล่งว่าพลางใช้ดวงตาสีน้ำเงินตรวจสอบดูเบื้องหลังของหญิงสาว
“สัตว์ป่า? เจ้ามองอย่างไรถึงเห็นเป็นสัตว์ป่ากัน ไม่สิเจ้ามองเห็นได้ยังไง”หญิงสาวขมวดคิ้วพลางมองมาทางจูล่ง
“ก็มันเป็นหมีไม่ใช่หรือ พี่สาวมาขวางเอาไว้เพราะไม่อยากให้พวกเราโดนหมีทำร้ายนี่เอง”จูล่งยิ้มกว้างด้วยท่าทีดีใจ ที่แท้หญิงสาวคนนี้มาขวางทางเอาไว้เพราะไม่อยากให้พวกคนเดินทางไปโดนหมีตัวนั้นโจมตีแน่ๆ สัตว์ป่าที่กำลังบาดเจ็บมักหวาดระแวงผู้คน หากเข้าไปไม่ระวังมีหวังโดนเล่นงานแน่ๆ
“ถ้างั้นพี่สาว ข้าจะขอไปดูหน่อยนะ”จูล่งว่าพลางเดินผ่านหญิงสาวไปข้างหน้า
“เดี๋ยวสิ เจ้าอย่า…”หญิงสาวจับแขนจูล่งเอาไว้หมายจะดึงมันกลับมา แต่น่าเสียดายกำลังของนางไม่สามารถหยุดจูล่งเอาไว้ได้เลย พอนางดึงจูล่งกลับกลายเป็นนางโดนจูล่งลากไปเสียอย่างนั้น
“เจ้า…”หญิงสาวตกตะลึงเพราะไม่สามารถสัมผัสพลังของจูล่งได้ แต่กำลังของมันทำให้เห็นแล้วว่าจูล่งมีพลังเหนือกว่าตนเองแน่นอน
“ไม่ต้องห่วงหรอกขอรับ ข้ารับมือกับพวกสัตว์เก่งมากเลย”จูล่งยิ้มพลางเดินออกไปข้างหน้า
“เจ้าบ้าหรืออย่างไร นั่นมันไม่ใช่สัตว์ป่านะ นั่นมันอสูร”หญิงสาวว่าพลางมองจูล่งที่เดินไปตามทางโดยไม่สนใจสิ่งที่นางพูดเลย
“อะไรนะ อสูรงั้นหรือ”เหล่าผู้คนที่โดนขวางเอาไว้ได้ยินคำว่าอสูรก็พากันชะงักไปทันที
“อะไรกัน แม่นางขวางพวกเราเอาไว้เพราะมีอสูรขวางทางอยู่ข้างหน้านี่เอง”ผู้ฝึกฝนพลังวิญญาณคนหนึ่งพูดด้วยท่าทีตกใจ พวกมันโดนขวางโดยไม่ทราบสาเหตุ ไม่รู้เลยว่าหญิงสาวตรงหน้าต้องการอะไร แต่พอทราบว่าจริงๆแล้วนางขวางพวกมันเอาไว้เพราะไม่อยากให้เจออสูรมุมมองที่มีต่อหญิงสาวก็เปลี่ยนไปทันที
“ที่แท้ท่านเป็นห่วงพวกเรานี่เอง แม่นางท่านช่างเป็นคนดียิ่งนัก”พ่อค้าคนหนึ่งว่าพลางยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน ทำเอาหญิงสาวที่ขวางทางเอาไว้หน้าแดงก่ำทำตัวไม่ถูก
“แล้วทำไมไม่บอกตั้งแต่แรกล่ะ พวกเราจะได้ไม่ต้องมาเถียงกัน”ชายวัยกลางคนพูดด้วยท่าทีสงสัย หากบอกว่าข้างหน้ามีอสูรขวางทางเอาไว้พวกมันก็ยินดีจะรอยู่แล้ว
“ข้า….”หญิงสาวพูดด้วยใบหน้าลำบากใจ จริงๆแล้วนางสื่อสารไม่เก่งเท่าไหร่ เมื่อครู่หากไม่ใช่เพราะจูล่งดื้อจะเข้าไปนางคงไม่หลุดคำว่าอสูรออกมาแน่ๆ
.
.
“บาดเจ็บจริงๆเสียด้วย”จูล่งพูดพลางมองอสูรตรงหน้า หลังจากเดินผ่านจุดที่หญิงสาวคนนั้นขวางเอาไว้เพียงครึ่งกิโลเมตรก็พบเข้ากับร่างของหมีขนาดใหญ่ที่มีขนสีแดงสดไปทั้งตัว เจ้าหมีตนนี้มีพลังถึงระดับมายาขั้นที่ 8 เลยทีเดียว ไม่ทราบว่าไปโดนอะไรมาถึงได้บาดเจ็บทั้งตัวแบบนี้
“กรรร”หมีขนแดงคำรามออกมาเมื่อสัมผัสได้ว่ามีคนเข้ามาใกล้
“ไม่เป็นไร ท่านบาดเจ็บงั้นหรือ”จูล่งว่าพลางมองไปที่บาดแผลของหมีขนแดง
เปรี้ยง!!แขนของหมีขนแดงกระแทกลงมาที่ร่างของจูล่งเข้าอย่างจัง แต่จูล่งเพียงยกมือของมารับก็สามารถรับแรงของมันได้อย่างง่ายดายเสียแล้ว
“ไม่เป็นไรๆ ข้าไม่ทำอะไรเจ้าหรอก”จูล่งยิ้มพลางวางมืออีกข้างลงบนแขนที่พึ่งฟาดลงมาใส่คนเมื่อครู่
“……”เจ้าหมีขนแดงมีท่าทีขัดขืนอยู่ครู่หนึ่งก็เริ่มสงบลง ถึงอย่างไรไป๋จูล่งก็มีเชื้อสายของตระกูลไป๋ย่อมมีพลังดึงดูดเหล่าอสูรติดตัวมาอยู่แล้ว เมื่อเริ่มสัมผัสพลังของจูล่งเจ้าหมีขนแดงก็มีท่าทีเชื่องลงอย่างเห็นได้ชัด
“กรรร”หมีขนแดงคำรามออกมาเหมือนจะพยายามสื่อสารกับจูล่ง เมื่อได้ยินเช่นนั้นจูล่งก็ยิ้มพลางอุ้มร่างของเจ้าหมีขึ้นมา
“กลับไปบนเขางั้นหรือ สบายมาก”จูล่งยิ้มพลางพาร่างของหมีขนแดงขึ้นไปบนยอดเขาที่อยู่ห่างออกไประยะหนึ่ง ด้วยกำลังของมันการพาหมีที่มีขนาดใหญ่กว่าตนเองหลายสิบเท่าขึ้นหลังแบกข้ามเขานั้นไม่ใช่เรื่องเหลือบ่ากว่าแรงเลย
“กรรร”หมีขนคำรามต่ำๆออกมาก่อนจะเริ่มหลับตาลง
“ไม่ต้องขอบคุณหรอก ท่านน้าสอนให้ข้าช่วยเหลือผู้อื่นอยู่เสมอนั่นล่ะ”จูล่งยิ้มพลางพาร่างของหมีขนแดงพุ่งวาบจนมาถึงยอดเขาแห่งหนึ่งซึ่งเป็นเขตอสูรของหมีขนแดงตนนี้นั่นเอง
“พักผ่อนเยอะๆนะ จะได้หายไวๆ”จูล่งโบกมือลาก่อนจะกลับลงจากยอดเขาไป มันทิ้งผิงกั่วเอาไว้กับพี่ตงฟาง แม้จะไว้ใจให้พี่ตงฟางดูแลได้ แต่มันก็กลัวว่าผิงกั่วจะกังวลใจอยู่ดี
“พี่สาว ข้าพาหมีตัวนั้นออกไปแล้ว”จูล่งว่าพลางกลับลงมาตรงจุดที่หญิงสาวขวางทางรถเอาไว้
“…..”หญิงสาวคนนั้นแสดงท่าทีตกตะลึงออกมาอย่างเห็นได้ชัด ก่อนจะวิ่งไปดูว่าจริงหรือไม่ ทันทีที่นางมาถึงจุดที่พบกับอสูรหมีขนแดง นางก็พบว่าไม่มีร่องรอยของหมีขนแดงอยู่อีกต่อไปแล้ว
“เจ้า…ทำได้อย่างไร”หญิงสาวตรงหน้ามองมาทางไป๋จูล่งด้วยท่าทีอึ้งๆ อสูรตนนั้นแข็งแกร่งมาก ก่อนจะมาขวางทางเอาไว้นางพยายามไล่มันไปแล้ว แต่เพียงโดนมันฟาดฝ่ามือใส่ครั้งเดียวนางก็ทราบทันทีว่านางไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมัน
“หมีตัวนั้นก็แค่อยากกลับบ้าน ข้าก็เลยไปส่งเท่านั้นเอง”จูล่งตอบด้วยหน้าตาใสซื่อ ทำไมมันพูดเหมือนตนเองกำลังอยู่ในนิทานสำหรับเด็กกัน?
“เช่นนั้น ข้าก็ผ่านทางได้แล้วสินะขอรับ”จูล่งว่าพลางยิ้มออกมาอย่างดีอกดีใจ ทั้งๆที่ความจริงมันไม่จำเป็นต้องมาผ่านทางเหมือนคนอื่นแต่แรกแล้วแท้ๆ
“อืม…”หญิงสาวตอบพลางพยักหน้าน้อยๆ นางเก็บกระบี่ก่อนจะหันหลังเดินไปตามทาง ปล่อยให้จูล่งเดินกลับไปบอกคณะเดินทางด้วยตนเองว่าทางสามารถผ่านได้แล้ว
.
.
“ไป๋หลิน เจ้าเป็นอะไรไปงั้นหรือ”ขณะเดียวกัน หยงเวย ที่กำลังนั่งอยู่บนหลังของไป๋ไป่ก็เอ่ยถามหลานของตนด้วยท่าทีประหลาดใจ ไม่ทราบทำไมไป๋หลินก็เอาแต่นั่งเหม่อมาตลอดทางตั้งแต่เมื่อเช้าแล้ว
“เปล่าเจ้าค่ะท่านลุงเวย”ไป๋หลินตอบพลางส่ายหน้าช้าๆ นางเองก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น แต่นางกลับรู้สึกประหลาดตั้งแต่ออกเดินทางแล้ว ราวกับจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นเลย
“ถ้างั้นเราพักที่เมืองข้างหน้าก่อนดีหรือไม่ เจ้าไม่ได้กินอะไรมาเป็นเดือนแล้วนะ”หยงเวยถามพลางมองไปทางไป๋หลิน
“ไม่เป็นไรหรอกเจ้าค่ะ แค่เดือนเดียวข้าไม่ตายหรอก”ไป๋หลินตอบพลางยิ้มเจื่อนๆออกมา แม้จะเป็นความจริงที่ต่อให้ไป๋หลินไม่กินอะไรเลยมาเป็นเดือนๆก็ไม่ถึงตาย แต่มันก็เป็นเรื่องไม่สมควรทำอยู่ดี
“ลุงอยากจะสืบข่าวในเมืองข้างหน้าเสียหน่อย ไป๋ไป่เจ้าลงจอดเถอะ”หยงเวยว่าพลางตบหลังของไป๋ไป่เบาๆ
“เจ้าค่ะ”ไป๋ไป่ตอบรับทันทีเพราะนางก็อยากให้ไป๋หลินพังเช่นกัน ทำให้ไป๋ไป่เลือกที่จะลงจอดเมืองเบื้องหน้าตนเองโดยไม่สนใจว่าจะเป็นเมืองอะไรเสียด้วยซ้ำ