บุตรอสูรบรรพกาล - ตอนที่ 489 อยากรู้อยากเห็น
ตอนที่ 489
อยากรู้อยากเห็น
“ไม่นึกเลยว่าต้องมาเรียนวิชาปกปิดพลังเอาตอนนี้”ต้าเฉียนบ่นออกมาด้วยท่าทีไม่ค่อยสบายตัวนักเพราะหลังจากเดินทางร่วมกับจูล่งแล้วพลังระดับเจ้าสวรรค์ขั้นที่ 5 ของนางและพี่สาวทำให้คนสนใจกันเกินไป บางทีเวลาเดินในตลาดยังสร้างความวุ่นวายอีกต่างหาก ทำเอาพวกนางต้องขอให้ชางซีถ่ายทอดวิชาปกปิดพลังวิญญาณให้เลยทีเดียว แน่นอนว่าจูล่งมีวิชาปกปิดที่แนบเนียนกว่า แต่จะให้จูล่งสอนคงจะยากเกินไปสำหรับพวกนาง เพราะจูล่งเป็นพวกที่ทำก็ทำได้เลยไม่ต้องมีขั้นตอนอะไร
“ข้ารู้สึกเหมือนต้องแขม่วหน้าท้องเอาไว้ตลอดเวลาเลย”ต้าหวานว่าพลางถอนหายใจออกมา พวกนางมีพลังมากกันอยู่แล้ว การปกปิดพลังลงมายิ่งยาก ตอนนี้พวกนางก็ยังทำได้เพียงปกปิดพลังเอาไว้ให้อยู่ระดับเทียนเซียนขั้นที่ 10 เท่านั้น
“ท่านอย่าพูดเหมือนพวกเรามีหน้าท้องสิ”ต้าเฉียนบ่นเมื่อพี่สาวเอาวิชาปกปิดพลังวิญญาณไปเทียบกับหน้าท้องของตนเอง พวกนางเป็นผู้ฝึกฝนพลังวิญญาณไม่ได้กินอาหารเป็นเรื่องเป็นราวเสียเท่าไหร่ เพราะอย่างนั้นเรื่องมีหน้าท้องนี้ค่อนข้างเป็นไปไม่ได้เลยทีเดียว
“ไม่ต้องกังวลหรอกเจ้าค่ะ สักพักพวกพี่ก็ชินไปเอง”ชางซีว่าพลางหัวเราะออกมาด้วยท่าทียิ้มแย้ม เห็นพวกนางฝึกกันเช่นนี้ก็นึกถึงตนเองเมื่อสมัยก่อนขึ้นมาเลย
ปึง!! ขณะสามๆกำลังบ่นเรื่องการฝึกฝนวิชาอยู่ๆบริเวณใกล้ๆกับพวกนางก็ปรากฏเสียงเหมือนมีของบางอย่างกระแทกพื้นอย่างแรกขึ้นมาพอดี และเมื่อมองไปตามทางที่เสียงดังขึ้นก็พบว่ามีชายร่างใหญ่ผู้หนึ่งกำลังยืนถือดาบเล่มใหญ่อยู่ตรงหน้าสถานีรถไฟนั่นเอง
“เส้าเทียน เจ้าคิดว่ากำลังจะหนีไปไหน”อยู่ๆชายคนนั้นก็ตะโกนขึ้นด้วยท่าทีโมโห แต่คนที่เรียกก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับพวกจูล่งเสียด้วยพวกต้าเฉียนและต้าหวานก็เลยยังไม่ได้ลุกไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น
“ท่าน….เป็นใครหรือขอรับ”เส้าเทียนที่นั่งอยู่แถวหน้าของพวกจูล่งพูดพลางลุกขึ้นไปหาชายร่างใหญ่ที่กำลังดึงดาบออกมาจากพื้นด้วยท่าทีโมโห แต่ไม่ว่าเส้าเทียนจะมองอย่างไรก็จำไม่ได้เสียทีว่าตนไปรู้จักชายร่างใหญ่คนนี้มาจากไหน
“เมื่ออาทิตย์ที่แล้วเจ้าทำร้ายน้องชายของข้า วันนี้ข้ามาเพื่อจะสั่งสอนเจ้า”ชายร่างใหญ่ว่าพลางชี้ดาบมาทางเส้าเทียน ขนาดของดาบที่ชายคนนั้นถือเรียกได้ว่าเหมือนมันแบกเสาบ้านมาไม่มีผิด หากโดนโจมตีเข้ามีหวังแย่แน่ๆ
“เชิญเลยขอรับ”ขณะจูล่งกำลังจะลุกขึ้นไปช่วย อยู่ๆเส้าเทียนก็ยิ้มกว้างก่อนจะเชิญชวนให้อีกฝ่ายลงมือเสียอย่างนั้น ทำเอาคนที่อยากจะเข้าไปช่วยต้องชะงักไปทันที
“กล้าดีนี่ รู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร”ชายร่างใหญ่ว่าพลางยกดาบกลับมาแบกไว้บนไหล่อีกครั้ง
“ไม่ทราบขอรับ ข้าเองไม่เคยเจอท่านมาก่อน ข้าไม่ทราบด้วยซ้ำว่าน้องชายท่านคือใคร”เส้าเทียนตอบด้วยท่าทียิ้มแย้ม น่าเสียดายมันจำไม่ได้จริงๆว่าน้องชายที่อีกฝ่ายพูดถึงคือใคร ช่วงเดือนที่ผ่านมามันท้าประลองคนไปไม่น้อย จำคนพวกนั้นได้ไม่หมดหรอก
“ดี วันนี้ข้าจะทำให้เจ้าจำข้าไม่มีวันลืมเลย”ชายร่างใหญ่ว่าพลางปล่อยพลังวิญญาณออกมา ทำให้สัมผัสได้อย่างชัดเจนว่ามันอยู่ระดับยอดฝีมือแล้วแน่ๆ
“….”จูล่งที่มองอยู่ด้านหลังกะพริบตาน้อยๆพลางเปลี่ยนดวงตาของตนเป็นสีม่วง ฝ่ายเส้าเทียนนั้นมีพลังระดับเทียนเซียนขั้นที่ 5 เท่านั้น ส่วนอีกฝ่ายมีพลังระดับเทียนเซียนขั้นที่ 10 แล้ว เรียกได้ว่าระดับพลังห่างกันจนน่าเป็นห่วงเลยทีเดียว แถมอาวุธในมือชายร่างใหญ่ยังเป็นอาวุธวิเศษอีกต่างหาก ขืนมันโจมตีลงมาแล้วเส้าเทียนหลบไม่ได้ละก็มีหวังได้โดนฟันขาดสองท่อนแน่ๆ
“ตายซะ”ชายร่างใหญ่คำรามก่อนจะยกดาบขึ้นมา แม้จะพูดว่าตายซะแต่สิ่งที่มันทำอยู่ก็คือการท้าประลองกับเส้าเทียนเท่านั้น ดาบเล่มใหญ่ที่มันใช้ไม่ได้หันด้านคมเข้าใส่เส้าเทียนแต่อย่างไร เพียงแต่สันดาปก็ยังน่ากลัวไม่น้อยเพราะมันแทบเหมือนเอาท่อนเหล็กมาฟาดกันไม่มีผิด
วูบ….ขณะจูล่งกำลังคิดว่าตนเองควรเข้าไปช่วยดีหรือไม่ อยู่ๆพลังวิญญาณในร่างของเส้าเทียนก็เหมือนกับกำลังปะทุขึ้นมาไม่มีผิด อยู่ๆระดับพลังวิญญาณของเส้าเทียนที่ควรอยู่ระดับเทียนเซียนขั้นที่ 5 เท่านั้นกลับพุ่งสูงจนน่าใจหาย แม้จะเพียงครู่เดียวแต่ก็เหนือกว่าชายร่างใหญ่ไปได้หลายเท่าตัว
เปรี้ยง เส้าเทียนไม่ได้หลบหรือรับการโจมตีแต่อย่างไร มันเพียงยืนเฉยๆปล่อยให้ดาบของอีกฝ่ายกระแทกเข้ามาใส่ร่างของตนเท่านั้น เพียงแต่ยามนี้เส้าเทียนกลับไม่ได้รับบาดเจ็บจากอาวุธของอีกฝ่ายเลย
“……..”เหล่าผู้คนที่อยู่ในสถานีต่างมองภาพตรงหน้าด้วยท่าทีหวาดเสียว แม้การต่อสู้จะเห็นได้ตามทางอยู่บ่อยๆแต่คนที่กล้าเข้ามาก่อความวุ่นวายในสถานีรถไฟนั้นไม่ค่อยมี แต่พอทราบว่าชายร่างใหญ่คือยอดฝีมืออันดับ 3 ของอาณาจักรก็ไม่มีใครกล้าเข้าไปห้ามสักคน แม้แต่ยอดฝีมืออันดับ 1 ที่มากับเส้าเทียนก็ยังไม่คิดจะห้าม เพียงแต่สาเหตุที่ยอดฝีมืออันดับ 1 คนเก่าไม่ห้ามนั้นก็เพราะมันทราบดีอยู่แล้วว่าเส้าเทียนไม่เป็นอะไรอย่างแน่นอน
“ยอดเลยพี่ชาย ท่านโจมตีได้รุนแรงมากจริงๆ”เส้าเทียนยิ้มกว้างพลางมองดาบที่ฟาดลงมาบนไหล่ของตน วิชาของมันนั้นค่อนข้างแปลกทีเดียว ตลอดเวลาหลายปีที่มันอยู่กับอาจารย์มามุ่งเน้นฝึกฝนการใช้พลังวิญญาณเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งของร่างกาย ยามนี้ร่างกายของเส้าเทียนนั้นแข็งแกร่งจนอาวุธวิเศษก็ไม่อาจทำร้ายได้ ต่อให้มันยืนเฉยๆแบบนี้ทั้งวันอีกฝ่ายก็ไม่มีทางทำอะไรเส้าเทียนได้เลย
เปรี้ยง!! ชายร่างใหญ่ไม่ได้แปลกใจที่อีกฝ่ายสามารถรับการโจมตีของมันได้ เพราะมันทราบมาจากน้องชายแล้วว่าเจ้าเด็กคนนี้ยืนเฉยๆรับการโจมตีของน้องชายมันเช่นกัน ร่างกายของมันแข็งแกร่งมากถึงขนาดสามารถยืนประชันหน้ากับพลังระดับยอดฝีมือได้อย่างง่ายดายเลยทีเดียว
“ยอดเลย….”จูล่งที่มองอยู่ด้านหลังอดรู้สึกประหลาดใจไม่ได้ ความแข็งแกร่งของเส้าเทียนไม่ได้เกิดจากผิวหนังแข็งเกินมนุษย์เหมือนกับจูล่ง หรือการใช้พลังธาตุปกคลุมร่างกายเหมือนหยงเวยหรือหลินหลิน วิชาของเส้าเทียนนั้นใช้พลังวิญญาณปกคลุมร่างกายเอาไว้เพื่อปกป้องตนเอง ซึ่งมันก็เป็นวิธีเดียวกันกับผู้ฝึกฝนวิชาคนอื่นๆ เคล็ดลับของเส้าเทียนคือวิชาบางอย่างที่เร่งพลังวิญญาณขึ้นมาจนสามารถใช้พลังวิญญาณป้องกันร่างกายได้อย่างหนาแน่นจนแม้แต่ยอดฝีมือยังทำอะไรไม่ได้
เปรี้ยงๆๆๆๆ!! ดาบใหญ่ของยอดฝีมืออันดับ 3 กระหน่ำฟันใส่ร่างของเส้าเทียนจนคนรอบข้างต้องกลืนน้ำลายลงคอ ดาบเล่มใหญ่เช่นนั้นเหวี่ยงไปมาจนเกิดกระแสลมพัดไปรอบๆทำให้ผู้ชมพอจะทราบได้ว่าดาบที่เหวี่ยงไปมานั้นรุนแรงแค่ไหน
เปรี้ยง!! เส้าเทียนที่ยืนอยู่ต่อหน้าชายร่างใหญ่ยิ้มออกมาราวกับดาบที่โจมตีใส่ตนเองเป็นกิ่งไม้อ่อนๆเท่านั้น มันไม่แม้แต่จะขยับหรือถอยแม้แต่ก้าวเดียว เรียกได้ว่าสร้างความแตกตื่นใจให้คนโดยรอบอย่างมาก แต่คนที่ท่าทางจะตื่นเต้นที่สุดคงเป็นจูล่งเองเสียแล้ว นั่นเพราะจูล่งมองเห็นพลังวิญญาณที่เส้าเทียนใช้อยู่นั่นเอง วิชาที่เพิ่มพลังวิญญาณได้ขนาดนี้เกรงว่าแม้แต่วิชาลมปราณมังกรของท่านพ่อก็ยังเทียบไม่ได้ หากเส้าเทียนอยู่ระดับเจ้าสวรรค์ขั้นที่ 10 เช่นเดียวกับท่านพ่อบางทีอาจจะพอประมือกับท่านพ่อที่ใช้ทั้งพลังวิญญาณและพลังอสูรได้กระมัง
“เส้าเทียน…ถ้าเจ้าไม่รีบลงมือจะตกรถไฟนะ”อยู่ๆชายชราผู้เป็นอดีตยอดฝีมืออันดับ 1 ก็พูดขึ้น ทำให้ชายร่างใหญ่สังเกตเห็นเสียทีว่าที่นี่มียอดฝีมืออันดับ 1 ที่เหนือกว่าตนเองอยู่ด้วย
“ขอรับ”เส้าเทียนพยักหน้าช้าๆ อาจจะเพราะฝึกวิชาแบบนี้มาก็ได้เส้าเทียนเลยชินกับการรับการโจมตีของคู่ต่อสู้และค่อยๆหาช่องว่างอย่างใจเย็น
ตูม!! เส้าเทียนต่อยหมัดออกไปข้างหน้าทำเอาชายร่างใหญ่ที่กำลังตกใจที่เห็นยอดฝีมืออันดับ 1 มาอยู่ที่นี่โดนหมัดของเส้าเทียนไปเต็มๆ
ครืดดดด….ชายร่างใหญ่โดนหมัดๆเดียวของเส้าเทียนต่อยเสียจนถอยกรูดไปด้านหลัง หมัดของเส้าเทียนเป็นหมัดที่รุนแรงมาก แต่ไม่ได้รุนแรงจนน่าหวาดกลัวเช่นเดียวกับพลังป้องกันของเส้าเทียน แต่เมื่อโจมตีเส้าเทียนไปก็ไร้ความหมาย กลับเป็นฝ่ายตนเองที่โดนต่อยจนกระเด็นเช่นนี้ไม่ว่าใครก็ต้องคิดยอมแพ้เหมือนกันแน่ๆ
“น้องจูล่ง ได้เวลาขึ้นรถไฟแล้ว”ต้าหวานที่อยู่ข้างๆจูล่งสะกิดจูล่งเบาๆเมื่อเห็นมันเอาแต่มองการประลองของเส้าเทียนกับยอดฝีมืออันดับ 3 จนไม่ได้มองว่ารถไฟมาถึงแล้ว
“ขอรับ…”จูล่งยอมลุกไปขึ้นรถไฟแต่โดยดีเพราะการต่อสู้มันรู้ผลไปแล้ว น่าเสียดายที่คู่ต่อสู้ของเส้าเทียนไม่ได้แข็งแกร่งอะไรมากไม่อย่างนั้นจูล่งคงได้เห็นวิชาของเส้าเทียนมากกว่านี้แน่ๆ สำหรับจูล่งแล้วตรงส่วนนั้นน่าสนใจมากกว่าผลแพ้ชนะเสียอีก
.
.
“เกิดอะไรขึ้นงั้นหรือ ทำไมรถไฟยังไม่ออกเสียที”ชายคนหนึ่งในขบวนรถไฟถามออกมา เพราะรถไฟขบวนนี้ไม่ยอมออกจากสถานีเสียที
“ดูเหมือนจะมีผู้โดยสารหลายท่ายยังไม่ขึ้นรถขอรับ พวกเราก็เลยต้องอยู่รอสักครู่”พนักงานบนรถไฟตอบ ขบวนรถที่จูล่งขึ้นเป็นขบวนรถชั้นพิเศษที่ค่าตั๋วแพงลิบ ทำให้จำนวนผู้โดยสารที่ขึ้นได้ค่อนข้างน้อย ทำให้เจ้าหน้าที่ใส่ใจกับลูกค้าแต่ละคนมาก พอมีลูกค้าหลายๆคนยังไม่ขึ้นขบวนพวกมันก็ทำได้แต่รอและส่งคนไปตามเท่านั้น
“ต้องขออภัยจริงๆขอรับ เป็นเพราะข้าแท้ๆ”ระหว่างที่กำลังรอรถไฟออก อยู่ๆชายหนุ่มที่ชื่อว่าเส้าเทียนก็วิ่งเข้ามาในขบวนรถด้วยท่าทีเร่งรีบ วิชาของมันไม่ได้มุ่งเน้นสยบคู่ต่อสู้โดยเร็วทำให้มันใช้เวลาในการประลองไปมากทีเดียว และสาเหตุที่ทำให้ผู้โดยสารส่วนใหญ่ยังไม่ขึ้นรถก็เพราะพวกมันมัวดูการประลองของเส้าเทียนอยู่นั่นเอง
“ต้องขอโทษจริงๆขอรับที่ทำให้ล่าช้า”เส้าเทียนว่าพลางยิ้มเจื่อนๆออกมาก่อนจะกึ่งวิ่งกึ่งก้มมานั่งตรงที่นั่งฝั่งตรงข้ามกับจูล่งพอดี
“พี่ชาย”จูล่งพูดพลางมองไปทางเส้าเทียนที่กำลังตื่นเต้นกับการนั่งรถไฟครั้งแรกของตน โชคดีจริงๆที่ท่านยอดฝีมืออันดับ 1 ออกค่าตั๋วให้มัน
“มีอะไรหรือ”เส้าเทียนถามพลางเลิกคิ้วด้วยท่าทีสงสัย
“วิชาของท่านน่าสนใจมากเลยขอรับ ข้าสนใจมันมากเลย”จูล่งว่าพลางยิ้มกว้างออกมา วิชาของเส้าเทียนสำหรับคนอื่นแล้วอาจมองเป็นวิชาป้องกันธรรมดา แต่สำหรับจูล่งแล้วมันกลับน่าสนใจอย่างมากเลย
“งั้นหรือๆ วิชาของข้ายอดเยี่ยมใช่ไหมล่ะ”เส้าเทียนพอได้รับคำชมก็พลันยิ้มกว้างรีบตอบรับทันที ตัวมันภูมิใจในวิชาของอาจารย์มาก การชมวิชาของมันนั้นทำให้มันดีใจมากกว่าชมตัวมันเสียอีก
“ขอรับ ท่านรับการโจมตีได้ยอดเยี่ยมมากเลย”จูล่งพยักหน้าด้วยท่าทีสนใจ การป้องกันของเส้าเทียนน่าสนใจมากแม้แต่ต้าเฉียนและต้าหวานเองก็ต้องยอมรับในใจ
“ใช่แล้ว วิชาของข้าสามารถรับการโจมตีได้ทุกรูปแบบเลยนะ ข้ารู้สึกเหมือนเป็นมนุษย์อมตะเลย”เส้าเทียนหัวเราะกับคำชมของจูล่งพลางเอามือตีอกตัวเองอย่างมั่นใจ
“พี่ชาย ข้าขอลองโจมตีท่านดูได้หรือไม่”จูล่งถามพลางยิ้มออกมา แม้เส้าเทียนจะไม่รู้สึกอะไร แต่สาวๆที่อยู่กับจูล่งกลับใจหายวาบเมื่อได้ยินเช่นนั้น แม้จูล่งจะต้องการเพียงทดสอบเท่านั้น แต่ขืนมันโจมตีจริงๆเส้าเทียนคงตายในพริบตาแน่ๆ
“ได้เลย เจ้าอยากโจมตีเท่าไหร่ก็ได้ ข้าจะไม่ตอบโต้เจ้าแม้แต่น้อย”เส้าเทียนตอบด้วยท่าทีมั่นใจ
“น้องจูล่ง”ต้าหวานพูดเสียงเย็นเฉียบพลางส่งยิ้มหวานปานจะหยดไปให้จูล่ง
“ขะ ขอรับ”จูล่งตอบรับพลางหันไปมองต้าหวานครู่หนึ่ง ท่าทีแบบนี้เหมือนท่านแม่ของมันไม่มีผิดเลย ผู้หญิงนี่เวลาโกรธน่ากลัวเช่นนี้ทุกคนเลยหรือไม่นะ
“ข้าขอโทษด้วย นายน้อยของพวกเราอยากรู้อยากเห็นไปหน่อย ท่านอย่าถือสาเลยนะ”ต้าเฉียนว่าพลางแก้ตัวให้จูล่งทันที ขืนปล่อยมันโจมตีเส้าเทียนบนรถไฟต่อให้เส้าเทียนไม่ตายแต่รถไฟคงตกรางเป็นแน่ แบบนั้นคงวุ่นวายกันยกใหญ่แน่ๆ