บุตรอสูรบรรพกาล - ตอนที่ 522 ต่อต้าน
ตอนที่ 522
ต่อต้าน
“ท่านพี่ มีอะไรกันงั้นหรือ”หญิงสาวคนหนึ่งถามขึ้นหลังจากสามีของตนกลับเข้ามาในบ้านแล้วหลังจากออกไปดูว่าชาวเมืองมีเรื่องอะไรกัน
“เกิดเรื่องแล้ว มีนายทุนที่ไหนก็ไม่รู้ว่าซื้อที่ดินว่างเปล่ารอบๆเมืองของเรา”ชายคนนั้นตอบพลางแสดงสีหน้ากังวลออกมา
“ซื้อที่ดินงั้นหรือ แล้วทำไมถึงเป็นเรื่องล่ะเจ้าคะ”ภรรยาของชายหนุ่มถามด้วยท่าทีสงสัย การซื้อขายที่ดินก็ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อะไรไม่ใช่หรือ แค่ไม่เข้ามากินพื้นที่นาของพวกตนก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรนี่นา
“เรื่องมันไม่ใช่แค่นั้นน่ะสิ พวกมันซื้อที่ดินไปตั้ง 2,000 ไร่ ตีล้อมเมืองเอาไว้หมดเลย”ชายหนุ่มตอบพลางมองไปที่ภรรยาสาวที่พึ่งแต่งงานกันได้ไม่นานด้วยท่าทีเป็นห่วง พวกมันพึ่งจะได้แต่งงานกันเมื่อไม่นานมานี้เอง ยังไม่ทันได้มีลูกคนแรกเสียด้วยซ้ำก็มาเกิดเรื่องเสียก่อน
“แต่ที่รอบๆมันเป็นพื้นที่หินไม่ใช่หรือไง พวกนั้นจะซื้อไปทำอะไรกัน”ภรรยาสาวถามด้วยความสงสัย พื้นที่รอบนอกเมืองนั้นมีแต่ภูเขาหิน ปลูกอะไรก็ไม่ขึ้น จะทำที่อยู่อาศัยก็ลำบาก
“ข้าเองก็ไม่รู้ แต่พวกมันบอกว่าจะเอาอ…..”ชายหนุ่มกำลังจะเล่าเรื่องอสูรให้ภรรยาฟัง แต่สำหรับชาวเมืองแห่งนี้แล้วเรื่องของอสูรเป็นเรื่องน่ากลัว เกรงว่าเล่าออกไปจะทำให้ภรรยารู้สึกกลัวเสียมากกว่า
“เอาอะไรงั้นหรือ”ภรรยาสาวถามเพราะเห็นสามีหยุดพูดไปเสียเฉยๆ
“เปล่า พวกมันน่าจะมีแผนร้ายแน่ๆ พรุ่งนี้ข้ากับพวกคนในเมืองจะไปตั้งกำแพงกันที่หน้าเมือง ไม่ให้พวกมันเข้ามาอีก”ชายหนุ่มตอบพลางกำหมัดแน่น
“หวังว่าจะไม่มีเรื่องอะไรนะ ข้าวสาลีก็เก็บเกี่ยวกันแล้ว พ่อค้าจากเมืองอื่นก็กำลังจะมาด้วย รอบนี้เราคงหาเงินมาต่อเติมบ้านได้เสียที”ภรรยาสาวตอบพลางยิ้มออกมา ครอบครัวของชายหนุ่มไม่ได้ร่ำรวยอะไร มีเพียงนาที่ได้สืบต่อมาจากพ่อแม่ที่เสียไปนานแล้วเท่านั้น ทั้งสองพูดกันเสมอว่าอยากจะต่อเติมบ้านให้ใหญ่กว่านี้อีกหน่อย เมื่อถึงตอนนั้นจะได้มีลูกกันเสียที
“อืม…ข้าก็หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น”ชายหนุ่มตอบพลางดึงตัวภรรยาเข้ามากอดเอาไว้ สำหรับชาวเมืองที่ไม่รู้เรื่องรู้ราว การมาถึงของยี่เจินและพวกจูล่งเป็นเรื่องน่ากังวลมากจริงๆ
“ไมล์ ท่านแข็งแกร่งจะตาย ไม่จำเป็นต้องกลัวหรอก”ภรรยาสาวพูดพลางกอดตอบสามีอย่างแนบแน่น นางเชื่อว่าไม่มีอะไรมาทำร้ายสามีของนางได้หรอก
.
.
ในเช้าวันต่อมา เหล่าชาวเมืองต่างออกมาอยู่ที่หน้าเมืองเพื่อจัดเวรยามป้องกันไม่ให้คนนอกอย่างพวกยี่เจินเข้ามาอีกรอบ ถึงขั้นสร้างที่กั้นทางเอาไว้ไม่ให้คนนอกเข้าออกได้โดยง่ายเลยทีเดียว
“ถ้าเกิดพวกมันนำอสูรมาจริงๆจะทำอย่างไรดี เมืองของเรามีคนสู้เป็นไม่กี่คนเท่านั้นเอง”ชายคนหนึ่งพูดด้วยท่าทีกังวล เมืองของพวกมันมีผู้ฝึกฝนนพลังวิญญาณหรือที่อาณาจักรไชน์เรียกว่าผู้ใช้พลังรูนไม่กี่คนเท่านั้น แถมส่วนใหญ่ยังเป็นคนที่พลังตื่นขึ้นมาเองไม่ได้ฝึกฝนอะไรอีกต่างหาก
“ถ้ามันเอามาจริง ข้าจะสู้เองขอรับ”ไมล์ผู้ใช้พลังรูนคนหนึ่งในเมืองพูดอย่างหนักแน่นออกมา แม้ในความเป็นจริงแล้วตัวไมล์จะมีพลังเพียงระดับ ผลึกวิญญาณ เท่านั้นก็ตาม
“พวกเราเองก็เหมือนกัน หากมันเอาอสูรมาจริงพวกเราก็จะสู้”ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งพูดพลางนำขวานออกมาถือเอาไว้กับตัว
“ขอบใจทุกท่านมาก วันนี้ภัยมาถึงเมืองของเราแล้ว แต่อย่างน้อยพวกเราทุกคนก็จะร่วมกันสู้”ชายคนหนึ่งพูดพลางถือเคียวเกี่ยวข้าวขึ้นมาเตรียมพร้อมเอาไว้ แต่น่าเสียดาย เมืองที่ไม่เคยร่วมสงครามและมีแต่ผู้ใช้พลังรูนระดับเริ่มแรกคงไม่อาจรับมือกับอสูรที่เอมิลจะเอามาได้แน่ๆ เพียงแต่แผนการของยี่เจินนั้นคือการสร้างเหมืองแร่ และในขั้นต้นไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเมืองแต่อย่างไร
.
.
“นี่มัน…3วันแล้วนะ”ชายที่ทำหน้าที่เฝ้าประตูเมืองพูดด้วยท่าทีงงๆ พวกมันนึกว่ายี่เจินจะกลับมาในเวลาไม่นานแท้ๆ แต่นี่เวลาผ่านไป 3 วันที่หน้าเมืองยังไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย
“ไม่หรอก พวกมันจะเอาอสูรมา อาจจะใช้เวลามากกว่านี้ก็เป็นได้”ชายอีกคนตอบพลางกำด้ามจอบแน่น ที่หน้าประตูเมืองยามนี้เต็มไปด้วยคนที่ยังใจสู้กันเต็มไปหมด ท่าทางจะไม่วางใจง่ายๆ
.
.
“นี่ก็ผ่านมาตั้งอาทิตย์นึงแล้วนะขอรับ พวกนั้นยังไม่มาอีกงั้นหรือ”ไมล์ที่มาเฝ้ายามในวันที่ 7 ถามพลางมองไปที่ทางเข้าเมือง
“ยังเลย ไม่รู้เจ้าพวกนั้นตั้งใจจะทำอะไรกันแน่”ชายที่เฝ้าอยู่ก่อนตอบพลางหาวออกมาอย่างช่วยไม่ได้
“บางทีอาจจะเป็นแผนให้พวกเราตายใจก่อนก็ได้”ชายอีกคนว่าพลางนั่งลงด้วยท่าทีเบื่อๆ ยามนี้ไฟของเหล่าผู้คิดต่อต้นเริ่มมอดกันหมดแล้ว เพราะมันไม่มีอะไรเลยมาทั้งอาทิตย์แล้ว
“มาแล้ว….”ขณะกำลังจะเบื่อกันตาย อยู่ๆชายคนหนึ่งที่เฝ้าอยู่หน้าประตูเช่นกันก็ตะโกนขึ้นมาแล้วชี้ไปที่ทางเข้าเมืองทันที
“พวกเรา เจ้านั่นมันมาแล้ว”เมื่อเห็นเงารถม้ากำลังวิ่งเข้ามา เหล่าชาวเมืองก็ลุกฮือทันที พริบตานั้นชาวเมืองที่เหมือนจะเบื่อกันแล้วก็พากันกรูออกมาเต็มหน้าประตูเมืองกันจนหมด
“ในที่สุดก็มาเสียที ปล่อยให้รอเสียตั้งนาน”ชายคนหนึ่งพูดพลางกำด้ามอาวุธแน่น 1 อาทิตย์ที่ผ่านมาพวกมันรอกันจนจะเป็นบ้าอยู่แล้ว อีกฝ่ายมาเสียทีจะได้สะสางกันให้เสร็จๆไป พวกมันจะต้องทำให้พวกนายทุนรู้ว่าจะมาทำอะไรตามใจชอบที่เมืองของพวกตนไม่ได้
“อ้าว ออกมาทำอะไรกันที่หน้าเมืองแบบนี้ล่ะ”ระหว่างกำลังเตรียมตัวกันอยู่นั้น ชายบนรถม้าก็เอ่ยปากถามเหล่าชาวเมืองเสียก่อน ทำให้ชาวเมืองที่กำลังตื่นตัวหันไปมองหน้าคนบังคับรถม้าทันที
“คุณเบน”ทันทีที่เห็นว่าผู้มาคือใคร เหล่าชาวเมืองก็วางอาวุธลงทันที ชายคนนี้คือ เบน พ่อค้าที่จะมาที่เมืองนานๆครั้ง มันเข้ามารับซื้อสินค้าและนำของที่เมืองต้องการมาขายเช่นกัน ทำให้เบนเป็นหนึ่งในพ่อค้าที่คนในเมืองต้อนรับเลยทีเดียว
“โถ่เอ้ย เป็นคุณเบนนี่เอง ทำไมรอบนี้มาเร็วนักล่ะขอรับ”ชายคนหนึ่งพูดพลางวางอาวุธลงด้วยท่าทีโล่งใจ
“ดูเหมือนเมื่อวันก่อนจะมีการสร้างถนนใหม่มาที่เมืองนี้นะสิ รถม้าก็เลยเดินทางได้ไวขึ้น”เบนพูดพลางยิ้มออกมาด้วยท่าทีชอบใจเพราะเมืองที่เข้าถึงยากแห่งนี้สามารถเข้าถึงได้ง่ายขึ้นด้วยการสร้างถนนเส้นใหม่นี้เลยก็ว่าได้
“ถนน….”ชาวเมืองต่างหันไปมองหน้ากันด้วยท่าทีงงๆ ทำไมถึงมีการสร้างถนนเอาตอนนี้ทั้งๆที่ปกติพวกคนในเมืองไม่ได้สนใจที่นี่เสียหน่อย
“ใช่ ดูเหมือนเพราะจะมีการสร้างเหมือง นายทุนก็เลยสร้างถนนเพื่อเดินทางมาที่นี่ได้ง่ายขึ้น แบบนี้เมืองของพวกเจ้าคงเริ่มมีคนมามากขึ้นแล้วละนะ”เบนพูดด้วยท่าทียิ้มแย้ม เพราะยี่เจินจะทำเหมืองก็เลยต้องสร้างถนนเพิ่ม เพราะนอกจากวัตถุดิบและแร่ที่สามารถขนด้วยแหวนมิติได้ ยี่เจินต้องพาคนงานและช่างก่อสร้างเข้ามาสร้างเหมืองและที่อยู่อาศัยเพิ่มด้วย หากจะให้พวกมันเดินทางมากับเส้นทางเช่นนี้เกรงว่าจะเสียเวลามากเกินไปก็เลยให้อสูรของเอมิลช่วยทำทางให้ ซึ่งมันใช้เวลาไม่นานเลย
“เมื่อครู่ท่านว่าจะมีการสร้างเหมืองงั้นหรือ”ชายอีกคนถามด้วยท่าทีงุนงง เหมืองงั้นหรือทำไมพวกมันไม่ได้ยินมาก่อนเลย
“ใช่สิ บนภูเขานั่นเริ่มก่อสร้างแล้ว พวกเจ้าไม่รู้งั้นหรือ”เบนถามด้วยท่าทีประหลาดใจ ไม่ใช่ว่าคนในเมืองต้องรู้ก่อนแล้วงั้นหรือ
“เรื่องนั้น….”เหล่าคนในเมืองมองหน้ากันด้วยท่าทีงุนงง อาจจะเพราะเจ้าเมืองมัวแต่ดีใจเรื่องขายที่ดินก็ได้ เลยไม่ได้ถามว่ายี่เจินจะมาทำอะไรกันแน่
“ตกลงเป็นเหมืองงั้นหรือ….”ชาวเมืองเริ่มส่งเสียงพูดคุยกันไปมาทันที แต่ก็มีชาวเมืองบางส่วนยังไม่วางใจเท่าไหร่
“เหมืองอะไรกัน เจ้าพวกนั้นจะเอาอสูรเข้ามาเลยนะ มันต้องมีอะไรแน่ๆ”ชายคนหนึ่งพูดด้วยท่าทีไม่พอใจ ไม่ว่าจะทำอะไรแต่เรื่องอสูรก็ถือเป็นเรื่องเลวร้ายจริงๆ
“พูดอะไรกัน สมัยนี้แล้วให้อสูรมาช่วยงานก็ปกติไม่ใช่หรือไง”เบนถามด้วยท่าทีงงๆ ตัวมันเป็นพ่อค้าเดินทางไปหลายเมืองเลยพอจะเห็นบางเมืองที่มีอสูรมาช่วยงานแล้วเหมือนกัน สำหรับมันแล้วมีอสูรมาช่วยงานในเหมืองไม่ถือว่าประหลาดอะไรเลย
“เอ๊ะ ไม่แปลกงั้นหรือ”ชาวเมืองต่างพากันงงไปหมด นี่โลกภายนอกเปลี่ยนไปขนาดไหนกันถึงสามารถเอาอสูรที่น่ากลัวพวกนั้นมาใช้งานได้
“คุณเบน คุณบอกว่าพวกมันเริ่มก่อสร้างกันแล้วงั้นเหรอ”ไมล์ถามพลางมองขึ้นไปบนภูเขา จากมุมในเมืองมองไม่ค่อยเห็นเท่าไหร่เลย แต่ด้วยหูของผู้ฝึกฝนพลังวิญญาณในตอนกลางคืนก็พอจะได้ยินเสียงแปลกๆจากบนภูเขาอยู่บ้าง
“ใช่ อีกไม่นานก็คงเริ่มทำเหมืองได้แล้วละมั้ง มีอสูรช่วยด้วยงานก็คงไวแบบนี้ล่ะ”เบนว่าพลางพยักหน้าช้าๆ
“ข้าจะไปดูหน่อย”ไมล์ว่าพลางเอาม้าตัวหนึ่งวิ่งขึ้นไปบนภูเขาด้วยความสงสัย เอาอสูรมาช่วยงานงั้นหรือ มีเรื่องแบบนั้นด้วยหรืออย่างไร แล้วเอาอสูรมาช่วยแบบนี้จะไม่มีผลเสียเลยหรือ
.
.
“………”ใช้เวลาไม่นานไมล์ก็ขึ้นมาถึงบนเนินเขาตรงส่วนที่ยี่เจินซื้อเอาไว้ ทันทีที่มาถึงเนินเขาอีกฝั่งไมล์ก็พบว่าตอนนี้ที่ภูเขาด้านนี้มีสิ่งก่อสร้างงอกขึ้นมามากมายชนิดที่ว่านึกไม่ถึงเลยว่าสิ่งก่อสร้างพวกนี้จะสร้างเสร็จภายในอาทิตย์เดียว แถมตรงกลางยังเป็นพื้นที่วงกลมขนาดใหญ่เหมือนกำลังจะเจาะลงไปด้านล่างไม่มีผิด
“นี่มันอะไรกัน”ไมล์หลุดปากออกมาพลางมองหลุมขนาดใหญ่ที่อยู่บนพื้น
“นั่นเรียกว่าเหมืองแบบเปิดขอรับ”ทันทีที่ไมล์ถามออกมา เสียงๆหนึ่งก็ตอบไมล์กลับมาเช่นกัน ทำเอาไมล์ที่อยู่บนม้าสะดุ้งโหยง
“ท่านเป็นคนของเมืองข้างๆสินะขอรับ ข้ากำลังจะไปหาคนในเมืองอยู่พอดีเลย”จูล่งพูดพลางยิ้มออกมาด้วยท่าทีร่าเริง พวกมันพึ่งจัดการเส้นทางทำเหมืองและที่พักคนงานเสร็จไปพอดี
“เอ๊ะ จะ เจ้าจะไปทำอะไรที่เมืองของเรา”ไมล์ถามพลางมองจูล่งด้วยท่าทีตกใจ งั้นวันนี้ก็เป็นวันที่พวกจูล่งจะมาจริงๆสินะ
“ข้าจะไปเสนองานให้กับคนในเมืองขอรับ ข้าคิดว่าหากมีคนในเมืองต้องการงานก็จะให้เข้ามาทำในเหมืองได้ขอรับ”จูล่งว่าพลางยิ้มออกมาด้วยท่าทีสบายๆต่างกับไมล์ที่เกร็งจนเห็นได้ชัด
“งานอะไรกัน พวกข้ายังไม่….”
“ได้พบท่านก่อนก็ดีเลย ข้ากำลังลังเลอยู่ว่าเงินเดือน 1 เหรียญทองจะน้อยเกินไปหรือเปล่าพอดีเลย”จูล่งว่าพลางยิ้มเจื่อนๆออกมา คนงานเหมืองนั้นเป็นงานที่ขอแค่มีแรงก็ทำได้ เทียบกับพวกคนงานในโรงงานแล้วค่าแรงเลยต่างกันอยู่ จูล่งเลยยังไม่มั่นใจว่าคนในเมืองจะพอใจกับราคาเท่านี้หรือไม่
“………”
“ข้ากลัวว่า 1 เหรียญทองจะน้อยเกินไป งานมันค่อนข้างใช้แรงด้วย ท่านว่าควรเพิ่มเป็น 1 เหรียญทองกับอีก 10 เหรียญเงินดีหรือไม่”จูล่งถามพลางถอนหายใจออกมา แต่ยี่เจินบอกว่า 1 เหรียญทองก็พอแล้วเสียด้วย
“จะ เจ้าบอกว่าจะเริ่มงานเมื่อไหร่นะ”