บุตรอสูรบรรพกาล - ตอนที่ 535 มื้อเย็น
ตอนที่ 535
มื้อเย็น
“จูล่ง เจ้าอยู่ที่นี่เอง”หลังจากผละตัวออกมาจากบุตรชายและหลานฮวา ไป๋หลินก็เดินทางมาที่เมืองหลวงของอาณาจักรอู๋ซึ่งเป็นสถานที่ที่จูล่งเดินทางมานั่นเอง
“ขอรับท่านพี่ มีอะไรงั้นหรือถึงออกมาตามข้าถึงที่นี่”จูล่งถามพลางเบิกตากว้างด้วยท่าทีสงสัย วันนี้มันออกมาช่วยหลี่เย่รักษาผู้ป่วยที่ติดต่อข้ามาก็เลยฝากผิงกั่วให้ต้าหวานดูแลเช่นเดียวกับชางซีที่ขอให้ต้าเฉียนช่วยสอนหนังสือให้
“เจ้าจำหญิงที่ชื่อซีหยวนได้หรือไม่ คนที่เจ้าพาไปส่งที่สำนักของนาง”ไป๋หลินถามพลางเดินตามจูล่งไปพร้อมๆกับหลี่เย่ที่กำลังเดินทางไปบ้านผู้ป่วย
“จำได้ขอรับ ข้ายังกลับมาเล่าให้ท่านฟังอยู่เลยนี่นา”จูล่งตอบพร้อมพยักหน้าน้อยๆ มันเองก็เดินตามหลี่เย่มาจนถึงบ้านแห่งหนึ่งซึ่งเป็นสถานที่ที่ผู้ป่วยของหลี่เย่พักอาศัยอยู่
“เจ้าบอกว่า ศิษย์ของนางเป็นผู้ฝากให้เจ้าตามหาตัวซีหยวนสินะ ศิษย์คนนั้นชื่อหลานฮวาใช่หรือไม่”ไป๋หลินถามถึงตัวหลานฮวาที่อยู่ในเขตอสูรผาไร้ก้นพร้อมเดินเข้าไปมองหลี่เย่ตรวจดูอาการผู้ป่วยก่อนจะเริ่มลงมือช่วยกันรักษาอีกแรง
“ขอรับ ศิษย์ของซีหยวนผู้นั้นคือพี่หลานฮวาจริงๆขอรับ แต่ข้ายังไม่พบนางอีกเลย”จูล่งตอบพลางลงมือต้มยาตามอาการของผู้ป่วยด้วยท่าทีเคยชิน
“จริงๆแล้ว นางได้พบกับหลินเฟยเข้า และขอเป็นผู้คิดตามของหลินเฟยอยู่”ไป๋หลินตอบด้วยท่าทีจริงจัง ว่ากันตามตรงสำหรับฝั่งครอบครัวตระกูลไป๋ของนาง ชางซีนั้นถือเป็นคนที่เสียแรงจะช่วยเหลือที่สุดคนหนึ่งเลยก็ว่าได้ พอรักษาให้จนหายก็พาไปส่ง แต่กลับถูกตอบแทนด้วยการหลอกลวง นางจับตัวบรรพบุรุษของอีกสำนักเอาไว้เพื่อสร้างยาเพิ่มพลังวิญญาณให้กับพวกตน หากไม่ใช่เพราะก่อนหน้านี้จูล่งได้รู้จักกับเจ้าสำนักผลาญสุริยันมาก่อนทำให้มันเล่าเรื่องทั้งหมดให้จูล่งฟังละก็ จูล่งก็อาจจะช่วยป้องกันสำนักร้อยบุปผาจนเป็นเหตุให้บรรพบุรุษของสำนักผลาญสุริยันต้องโดนคุมขังต่อไปอีกนานก็ได้
แต่ถึงอย่างนั้น ศิษย์กับอาจารย์ก็ไม่ได้เป็นคนๆเดียวกันตัวหลานฮวาเองก็เหมือนจะไม่รู้เรื่องที่อาจารย์ทำลงไป รู้แต่เพียงว่ามีคนสังหารอาจารย์และศิษย์ในสำนัก และบังเอิญว่าคนที่โดนกล่าวหาคือจูล่งเท่านั้นเอง
“พี่หลานฮวาหรือขอรับ….”จูล่งนิ่งไปพลางคิดถึงตอนที่เข้าไปในสำนักร้อยบุปผา จะเรียกว่าตกใจก็คงได้ เพราะจูล่งเป็นคนเปิดโปงสำนักของนาง ไม่คิดว่านางจะมาขอเป็นผู้ติดตามของหลินเฟย
“ดูเหมือนนางจะยังไม่ทราบเรื่องของสำนักร้อยบุปผา ข้าเห็นนางนิสัยดีก็เลยอยากจะให้เจ้าอย่าพูดเรื่องของสำนักร้อยบุปผากับนาง”ไป๋หลินว่าพลางยิ้มออกมาบางๆ แน่นอนว่าหลานฮวาทราบเรื่องของสำนักร้อยบุปผาดีแล้ว แต่ที่ไป๋หลินพูดแบบนั้นก็เพราะไม่อยากให้แผนการของตนเองล่มเพราะความซื่อของไป๋จูล่งเท่านั้นเอง หากมันเดินไปบอกหลานฮวาเรื่องสำนักร้อยบุปผาในมุมของมันเข้า นอกจากนางจะไม่เชื่อแล้วยังจะด่าสวนกลับมาอีกแน่ๆ
“ขอรับ…..”จูล่งย้อนนึกกลับไปถึงตอนที่เจอหลานฮวาเป็นครั้งแรก นางยืนขวางขบวนสินค้าเพราะมีอสูรตนหนึ่งนอนบาดเจ็บอยู่ระหว่างทาง นางกลัวว่าหากพวกพ่อค้าเดินทางต่อไปอาจจะโดนอสูรเล่นงานได้ จึงยืนอยู่อย่างนั้นทั้งๆที่ตนเองมีภารกิจต้องตามหาอาจารย์ คนที่ทำเรื่องเช่นนั้นจะบอกว่าเป็นคนเลวร้ายก็คงไม่ได้ ไป๋จูล่งจึงตอบรับคำขอของไป๋หลินอย่างเต็มใจ ก่อนที่ไป๋หลินจะนัดหมายกับคนอื่นๆในตระกูลเอาไว้ว่าห้ามพูดถึงเรื่องของซีหยวนโดยเด็ดขาด
.
.
“อะไรนะ เจ้าจะให้ข้าอยู่กับเจ้านั่นงั้นหรือ”ทางฝั่งของหลานฮวาในช่วงเย็นของวันเดียวกัน เมื่อโดนไป๋หลินจับได้และได้รับการยอมรับให้เป็นผู้ติดตามของหลินเฟย ตัวนางก็เรียกได้ว่าได้รับสิทธิ์เข้าออกเขตอสูรผาไร้ก้นได้ตามใจชอบเช่นเดียวกับพวกสาวๆของจูล่งในทันที แต่พอบอกว่าตนเองต้องอยู่ร่วมกับไป๋จูล่งสักพักก็เล่นเอาหลานฮวาไม่ทราบจะทำหน้าอย่างไรดี
“ท่านต้องทำให้ท่านน้าของข้าเชื่อใจท่านก่อนสิขอรับ ไม่อย่างนั้นท่านจะหาโอกาสลอบสังหารท่านน้าของข้าได้อย่างไร”หลินเฟยพูดพลางยิ้มออกมาด้วยท่าทีเจ้าเล่ห์ มันพยายามดันร่างของหลานฮวาให้เข้าไปในวังมังกรของท่านตามังกร แต่เพราะนางยังลังเลอยู่ก็เลยไม่ได้เข้าไปเสียที
“พี่หลานฮวาท่านอยู่นี่เอง”ขณะกำลังยื้อกันไม่ยอมเข้าไปเสียที อยู่ๆเสียงของผิงกั่วก็ดังขึ้นมาจากบนชั้น 2 ซึ่งเป็นที่ๆนางใช้อ่านหนังสือกับพวกพี่ต้าหวาน นางได้ยินเสียงของหลานฮวากับหลินเฟยเข้าก็เลยมองลงมาจากด้านบน
“ผิงกั่ว…”หลานฮวายิ้มเจื่อนๆออกมาเมื่อเห็นผิงกั่วชะโงกหน้าออกมาจากหน้าต่าง พอเห็นว่าผู้ที่มาคือหลานฮวาจริงๆนางก็กระโดดลงมาจากชั้น 2 แทบจะทันที
“ข้านึกว่าท่านจะจากไปเลยเสียอีก ข้าเสียใจมากเลยนะที่วันนั้นท่านไม่ลาข้าเลย”ผิงกั่วทำแก้มป่องก่อนจะเข้าไปจับมือหลานฮวาเอาไว้ เกรงว่าตอนนี้นางจะต้องเข้าไปด้านในอย่างช่วยไม่ได้เสียแล้ว
“งั้นหรือ เจ้าคือคนที่มาส่งน้องผิงกั่วสินะ”ต้าหวานว่าพลางยิ้มรับการมาถึงของหลานฮวา
“แล้วเป็นไงมาไงถึงได้มาเป็นผู้ติดตามของหลินเฟยได้ล่ะ”ต้าเฉียนถามพลางสัมผัสพลังของหลานฮวานิดหน่อย นางอยู่ระดับเจ้าสวรรค์ขั้นที่ 1 นับว่าสูงมากสำหรับคนธรรมดา แต่สำหรับคนตระกูลไป๋แล้วเกรงว่าจะเป็นเพียงระดับมาตรฐานเท่านั้น
“เรื่องนั้น ข้า…..”หลานฮวาเองก็ไม่ทราบจะตอบเช่นไรดี เพราะคนที่ยังแปลกใจที่สุดเรื่องผู้ติดตามก็คือตัวนางเองนี่ล่ะ
“พี่หลานฮวาช่วยข้าตอนหลงทางอยู่ข้างนอกขอรับ นางเป็นคนดีมากเลย”หลินเฟยตอบพลางยิ้มออกมาด้วยท่าทีใสซื่อ
“ตอนข้าพึ่งออกเดินทางเองก็ได้พี่หลานฮวาช่วยเอาไว้เหมือนกัน”ผิงกั่วเสริมพลางกอดแขนของหลานฮวาเอาไว้แน่นทำเอาต้าเฉียนกับต้าหวานพากันพยักหน้าน้อยๆเป็นเชิงเข้าใจ ผิงกั่วเองก็เป็นเด็กน่ารักเห็นนางเชื่อใจหลานฮวาเช่นนี้พวกนางก็ไม่คิดจะขัดอะไร เช่นเดียวกับชางซีที่ตอนนี้มัวแต่ปวดหัวเรื่องตัวอักษรของอาณาจักรไชน์เลยไม่มีอารมณ์จะขัดอะไรใครอยู่แล้ว
“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกเจ้าค่ะ ส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องบังเอิญเท่านั้นเอง”หลานฮวาตอบพลางก้มหน้าลงเล็กน้อย คนดีงั้นหรือ ตอนนางช่วยผิงกั่วก็เกือบจะเป็นคนเข้าไปชิงของด้วยตนเองเสียด้วยซ้ำ แถมเรื่องของหลินเฟยนางไม่ได้พบมันตอนหลงทางเสียหน่อยแถมเป็นมันเองเสียอีกที่ช่วยนาง แล้วแบบนี้นางจะกล้ารับคำชื่นชมของทั้งสองได้อย่างไร
“ทุกคนใกล้เวลาอาหารเย็นแล้ว หลานฮวาเจ้าเองก็มาร่วมโต๊ะกับเราสิ”ไป๋หลินที่กลับมาก่อนหน้านี้แล้วเดินเข้ามาหาพวกสาวๆพลางเรียกพวกนางไปทานอาหารเย็นเหมือนเป็นครอบครัวใหญ่ครอบครัวหนึ่ง
“อาหารเย็นหรือเจ้าคะ”หลานฮวาถามด้วยท่าทีประหลาดใจปกติผู้ฝึกฝนพลังวิญญาณไม่ได้ทานอาหารกันตลอดเสียด้วย นางเลยไม่คุ้นชินกับการทานอาหารร่วมกันเท่าไหร่
“ที่นี่พวกเราใช้ชีวิตเหมือนคนธรรมดา เจ้าไม่ต้องเกรงใจหรอก”ไป๋หลินว่าพลางยิ้มให้หลานฮวาด้วยท่าทีอ่อนโยน
“จะ เจ้าค่ะ”หลานฮวาเห็นอีกฝ่ายยิ้มให้เช่นนั้นก็ได้แต่ตอบรับไปอย่างง่ายดาย แม้จะแปลกใจเรื่องอาหาร แต่สิ่งที่หลานฮวากังวลที่สุดก็คือการต้องร่วมโต๊ะกับคนที่ชื่อไป๋จูล่งนั่นเอง
.
.
“พี่หลานฮวา ไม่ได้พบกันนานเลยนะขอรับ”ทันทีที่เดินเข้ามาในห้องอาหารสิ่งแรกที่ได้เห็นเลยคือใบหน้ายิ้มแย้มของไป๋จูล่ง ศัตรูของนางนั่นเอง พริบตาแรกที่ได้พบมันนางก็แทบจะเรียกกระบี่ออกมารับมือเสียแล้ว แต่ยังดีที่ยังห้ามใจตนเองเอาไว้ได้ ไม่ใช่เพราะต้องทำตามแผนหรอก แต่เพราะเหล่าคนที่นั่งอยู่บนโต๊ะอาหารด้านหลังต่างหาก
“พี่จูล่ง พี่หลานฮวาคนนี้ไงที่ข้าเล่าให้พี่ฟัง”ผิงกั่วว่าพลางเดินเข้าไปหาไป๋จูล่งด้วยท่าทียิ้มแย้มทันที ยิ่งเห็นผิงกั่วเช่นนี้หลานฮวายิ่งได้แต่อดกลั้นความแค้นเอาไว้เท่านั้น
“พี่หลานฮวามานั่งทางนี้สิขอรับ”หลินเฟยว่าพลางนั่งลงที่เก้าอี้ข้างๆไป๋หลินผู้เป็นมารดาโดยเว้นที่ว่างเอาไว้ให้นางที่หนึ่ง
“จะ เจ้าค่ะ”หลานฮวาตอบด้วยท่าทีเรียบร้อยกว่าเดิมมาก โต๊ะอาหารนี่มันอะไรกัน โต๊ะมันใหญ่อย่างกับโต๊ะอาหารในงานเลี้ยง แถมเหล่าคนที่นั่งอยู่บนโต๊ะยังส่งกลิ่นอายแปลกประหลาดออกมาเสียด้วย
บนโต๊ะอาหารยามนี้มีทั้งไป๋จูเหวิน เหม่ยหลิน เหล่าน้าๆและภรรยารวมถึงลูกๆรุ่นเดียวไป๋ไป๋ไป่ยกเว้นเพียงจินจื่อเท่านั้นที่ติดงานอยู่ที่เมืองหลวงเก่ารวมถึงฝั่งของไป๋หลิน ชิงชิว ไป๋จูล่งและสาวๆผู้ติดตาม รวมถึงตัวหลานชายคนแรกของตระกูลอย่างหลินเฟยด้วย หากเป็นคนอื่นคงแทบจะสลบคาที่หากได้มานั่งร่วมโต๊ะอาหารกับคนเหล่านี้ แต่น่าเสียดายหลานฮวาโตมาในสำนักที่ปิดกั้นโลกภายนอก แม้จะได้ใช้เวลาข้างนอกมาพักใหญ่แต่ก็อยู่เพียงเขตรอบนอกเท่านั้นไม่ได้แวะเวียนเข้ามาในอาณาจักรไป๋เลย ก็เลยยังไม่ทราบว่าคนเหล่านี้ยิ่งใหญ่เพียงไร
“หลานฮวา เจ้ากินสิ”ไป๋หลินว่าพลางตักอาหารมาให้ผู้ติดตามคนใหม่ของบุตรชาย สำหรับครอบครัวตระกูลไป๋แล้ว ผู้ติดตามก็ไม่ต่างจากครอบครัวคนหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นพวกพี่ต้าชิงต้าเฉินหรือลูกๆอย่างต้าหวานกับต้าเฉียนเองก็ตาม แน่นอนว่าต้องนับชิงชิวที่เคยเป็นผู้ติดตามของไป๋หลินอีกคนที่ยามนี้กลายมาเป็นคนตระกูลไป๋เต็มตัวแล้ว
“จะ เจ้าค่ะ….”หลานฮวาตอบพลางรับถ้วยมาอย่างเกรงใจ ปกติผู้คิดตามไม่ได้รับการปฏิบัติดีเช่นนี้ไม่ใช่หรือ แถม…..
“…….”ทันทีที่ตักอาหารเข้าปากด้วยความเกรงใจ หลานฮวาก็ต้องสะดุ้งวาบเพราะสิ่งที่นางกินเข้าไปนั้นไม่ใช่อาหารธรรมดา ตอนอยู่ที่สำนักหลานฮวาเคยกินยาที่อาจารย์นำมาให้ มันช่วยเพิ่มพลังความเร็วในการฝึกฝนพลังวิญญาณได้อย่างดีทีเดียว แต่เมื่อเทียบกับอาหารที่พึ่งตักเข้าปากไป ยาในตอนนั้นแทบจะเทียบไม่ได้เลย
“หลานฮวา ดูแลหลินเฟยคงเป็นงานหนักน่าดู เจ้าเองก็พยายามเข้าล่ะ”ชิงชิวว่าพลางมองมาทางหลานฮวาด้วยท่าทีอ่อนโยน ตัวมันเป็นผู้ติดตามของไป๋หลินมาก่อนเข้าใจถึงทรวงเลยทีเดียว
“หวังว่าเจ้าจะเข้ากันได้ดีกับหลินเฟยนะ”ไป๋หลินว่าพลางหยิกแขนชิงชิวเบาๆข้อหาแอบจิกนางด้วยความคิดเมื่อครู่ ความจริงที่ให้หลานฮวามาร่วมโต๊ะอาหารในครั้งนี้ก็เพราะต้องการละลายกำแพงกั้นระหว่างไป๋จูล่งกับหลาฮวาเสียหน่อย ก่อนจะให้นางได้ทราบความจริง ไม่อย่างนั้นนางคงค้านหัวชนฝาโดยไม่ฟังอะไรเลยแน่ๆ เพื่อการนั้นอย่างน้อยนางก็ต้องทำให้หลานฮวาเชื่อใจใครสักคนในโต๊ะอาหารนี้ให้ได้เสียก่อน