บุตรอสูรบรรพกาล - ตอนที่ 550 ขับไล่
ตอนที่ 550
ขับไล่
เปรี้ยง!!
ร่างของอสูรตนหนึ่งกระเด็นออกมากระแทกกับภูเขาด้านหลังส่งผลให้ตัวอสูรตนนั้นบาดเจ็บสาหัสจากทั้งแรงกระแทกและแรงโจมตีจากคู่ต่อสู้ ที่คอของมันปรากฏรอยเลือดแดงฉานเป็นวงกว้างและที่ท้องของมันก๋มองเห็นรอยช้ำใต้ขนได้จางๆ
“นับแต่นี้ไปที่นี่คือเขตอสูรของข้า”เสียงของอสูรอีกตัวดังขึ้นพร้อมร่างของพยัคฆ์สีดำสนิทที่กำลังเยื้องย่างเข้ามาหาร่างของอสูรที่กำลังนอนบาดเจ็บอยู่
“ท่านพี่….ทำไมถึงต้องทำแบบนี้”อสูรที่กำลังนอนบาดเจ็บอยู่ถามพลางพยายามลุกขึ้นยืนอีกครั้ง อสูรที่นอนอยู่นั้นเป็นพยัคฆ์สีขาวที่มีเลือดเนื้อเชื้อไขเหมือนกับพยัคฆ์สีดำตรงหน้า หรือก็คือพวกมันเป็นพี่น้องกันนั่นเอง
“เขตอสูรเดียวไม่ต้องการราชา 2 ตนเจ้าจงไปซะ”พยัคฆ์สีดำพูดพลางหันหลังเดินจากไปด้วยท่าทีเย็นชา แต่เดิมเขตอสูรแห่งนี้มีบิดาของพวกมันเป็นผู้ปกครอง โดยมีมันสองพี่น้องอาศัยอยู่ร่วมกันเป็นครอบครัว พี่ชายเป็นพยัคฆ์หนุ่มที่มีความแข็งแกร่งอย่างมาก ส่วนพยัคฆ์ขาวเป็นน้องสาวที่มีพลังเหนือกว่าพี่ชายอยู่นิดหน่อย แต่เพราะนางไม่คิดว่าจะต้องมาแย่งอำนาจกับพี่ชาย นางเลยไม่ได้สนใจเรื่องเพิ่มพลังอสูรเสียเท่าไหร่ วันๆใช้ชีวิตสุขสบายตามประสาอสูร แต่เมื่อวันหนึ่งอายุขัยของบิดาหมดสิ้น ตัวพี่ชายของนางก็เปลี่ยนไป ด้วยเพราะพลังของนางเหนือกว่าพี่ชายนิดหน่อยทำให้มีอสูรบางตนบอกว่าสมควรให้นางขึ้นมาปกครองแทน พอได้ยินเช่นนั้นพี่ชายก็โมโหมากแล้วเริ่มเข้ามาต่อสู้กับนางเพื่อพิสูจน์ความแข็งแกร่ง จนสุดท้ายก็เป็นอย่างที่เห็น นางที่ไม่ได้ตอบโต้เลยโดนพี่ชายโจมตีเสียปางตาย และที่เลวร้ายที่สุดคือแก่นอสูรในร่างของนางยังได้รับความเสียหายอีกต่างหาก
ตัวพยัคฆ์ขาวที่ได้รับบาดเจ็บหนักได้แต่เดินโซซัดโซเซออกมาจากเขตอสูรด้วยท่าทีเหนื่อยอ่อน พลังอสูรของนางไม่ยอมฟื้นฟูเพราะแก่นอสูรเสียหาย เกรงว่าคงต้องใช้เวลาเป็นร้อยปีเพื่อซ่อมแซม แต่เดิมนางมีพลังอสูรระดับหยกขาวยามนี้กลัวสัมผัสพลังอสูรแทบไม่ได้เลยทำเอานางแทบไม่มีกำลังจะก้าวเดิน
วูบ…
อยู่ๆร่างของพยัคฆ์ขาวสูงใหญ่สง่างามก็หดเล็กลงเหลือขนาดเท่าลูกแมว ร่างกายที่บาดเจ็บของนางเปลี่ยนร่างเป็นขนาดเล็กเพื่อรักษาพลังที่เหลืออยู่เอาไว้ เพราะยิ่งร่างกายใหญ่เท่าไหร่ก็ยิ่งใช้กำลังมากเท่านั้น ในเมื่อพลังเหลือเท่านี้ก็ต้องลดขนาดร่างกายลงให้สอดคร้องกับพลังไม่อย่างนั้นด้วยพลังที่เหลืออยู่ แค่ก้าวเดินอีกไม่กี่ก้าวก็คงหมดแรงแล้วแน่ๆ
“อะไรกัน ลูกแมวงั้นเหรอ”ระหว่างที่นางกำลังเดินลงมาจากภูเขาด้วยร่างของลูกแมว อยู่ๆนางก็พบมนุษย์ผู้หนึ่งกำลังยืนอยู่ตรงหน้าของนาง หากมันเป็นมนุษย์ธรรมดานางคงจะไม่กลัวหรอก แต่ดูจากดาบเล่มใหญ่ที่มันแบกเอาไว้ด้านหลัง เกรงว่ามนุษย์ผู้นี้จะเป็นผู้ฝึกฝนพลังวิญญาณเป็นแน่
“มะ เหมียว….”วินาทีนั้นนางทิ้งศักดิ์ศรีของบุตรสาวราชาเขตอสูรทิ้งไปทันทีและพยายามออกเสียงให้เหมือนแมวที่สุด ยามนี้พลังของนางเหลือน้อยพอๆกับอสูรระดับต่ำ แม้ไม่ทราบว่าอีกฝ่ายมีฝีมือเท่าไหร่แต่นางก็คงสู้ไม่ไหวเพราะยังเจ็บไปทั้งตัวอยู่เลย
“แปลกจริงๆ มีแมวอยู่ในที่แบบนี้ด้วยงั้นหรือ”ชายคนนั้นพูดพลางมองไปที่เจ้าแมวสีขาวขนปุยที่กำลังร้องเหมียวๆด้วยท่าทีฝืนๆ
หมับ….
อยู่ๆมนุษย์ตรงหน้านางก็จับไปที่หลังคอของนางก่อนจะยกขึ้นด้วยท่าทีเฉยเมยไม่สนใจต่อความน่ารักน่าเอ็นดูในร่างขนาดเล็กของนางเลยแม่แต่น้อย ทำเอาตัวพยัคฆ์ขาวแทบจะอยากขู่ฟ่อออกมาให้อีกฝ่ายกลัวมันเสียตรงนี้ แต่เพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะลงมือฆ่านางก็เลยได้แต่ทำตาแป๋วใส่ไปทั้งๆแบบนั้น
“ก็น่าจะพอขายได้หน่อย เอาไปด้วยแล้วกัน”ชายคนนั้นพูดก่อนจะโยนร่างของพยัคฆ์ขาวเข้าไปในกรงที่เตรียมมา ดูเหมือนเจ้ามนุษย์คนนี้จะมีอาชีพเป็นคนจับสัตว์ป่า เพราะนอกจากตัวพยัคฆ์ขาวที่อยู่ในร่างลูกแมวแล้วยังมีทั้งนกและกระต่ายป่าอยู่เต็มหลังรถม้าเลย
“………”พยัคฆ์ขาวอึ้งไปเมื่อตนเองโดนจับ แถมดูเหมือนอีกฝ่ายจะเข้าใจผิดว่าตนเองเป็นสัตว์ป่าอีกด้วย เมื่อมองไปยังรอบๆตัวก็เจอเจ้านก เจ้ามิงค์หิมะหันมาส่งสายตาสงสารมาให้ทำเอานางแทบอยากจะบ้าตายกับโชคชะตาที่กำลังเล่นตลกกับตนเอง นอกจากจะโดนพี่ชายแท้ๆพาลใส่แล้วยังต้องมาถูกจับไปขายอีก หวังว่าวันนี้จะไม่เจออะไรแย่ไปกว่านี้แล้วนะ……
.
.
“เชิญเลยๆ วันนี้มีสัตว์ป่าหายากมาเสนอขายมากมายเลย จะเอาไปเลี้ยงหรือจะถลกหนังเอาขนไปทำชุดก็ได้ทั้งนั้น”ชายคนนั้นเดินทางลงมายังหมู่บ้านที่อยู่ไม่ไกลนัก ก่อนจะเอากรงสัตว์มาเรียงกันแล้วประกาศขายปาวๆราวกับกำลังขายผักขายปลาไม่มีผิด
“สัตว์ป่างั้นหรือ”เสียงของคนๆหนึ่งดังขึ้นขณะกำลังเดินผ่านหน้าร้านของชายที่จับตัวพยัคฆ์ขาวมา
“ทำไมถึงมีอสูรปนมาในกรงสัตว์ป่าได้กัน”เสียงของคนๆนั้นดังขึ้นตรงหน้าพยัคฆ์ขาวพร้อมดวงตาสีม่วงกลมโตที่มองมาทางพยัคฆ์ขาวด้วยท่าทีสนใจ
“………”พยัคฆ์ขาวได้ยินคำว่าอสูรก็พลันสะดุ้งโหยง ไม่นึกว่ามนุษย์จะสามารถแบ่งแยกตนเองกับสัตว์ป่าได้ด้วย หรือว่านางจะโดนเปิดโปงว่าเป็นอสูรแล้วถูกจับฆ่ามันตรงนี้เลย แต่แบบนั้นก็คงดีก็ได้ หากตายไปเลยก็คงไม่ต้องเจออะไรแย่ไปกว่านี้แล้ว เอาเลยสิ อยากจะฆ่าจะแกงก็เอาเลย นางไม่สนใจแล้ว
“พี่ชาย เจ้านี่ราคาเท่าไหร่”เสียงของเด็กสาวตรงหน้าพยัคฆ์ขาวดังขึ้นทำเอาพยัคฆ์ขาวต้องรีบลืมตาขึ้นมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น นี่อีกฝ่ายจะซื้อนางงั้นหรือ….
“อา ปกติข้าไม่เคยจับแมวแบบนี้ด้วยสิ….เอา 5 เหรียญเงินแล้วกัน”ชายที่จับพยัคฆ์ขาวมาพูดด้วยท่าทีขอไปที 5 เหรียญเงิน? 5 เหรียญเงินมันเยอะหรือเปล่า แต่ที่พูดมานั่นเหมือนเป็นเงินไม่เยอะเท่าไหร่เลยนะ นี่นางโดนขายด้วยราคาถูกๆเลยงั้นหรือ ช่างน่าอับอายจริงๆ
“งั้นก็ตกลงตามนั้น”เด็กสาวที่ยืนอยู่ตรงหน้ากรงตอบพลางยื่นเงินให้อีกฝ่ายด้วยท่าทียิ้มแย้ม เมื่อจ่ายเงินเสร็จเรียบร้อยชายที่จับพยัคฆ์ขาวมาก็ปลดกุญแจกรงออกแล้วนำตัวพยัคฆ์ขาวออกมาส่งให้เด็กสาว ช่างเป็นการกระทำที่ประมาทเสียจริง ส่งนางเอาไว้กับตัวเด็กแบบนี้พอพ้นสายตานางก็จะสามารถหนี……
“……..” คิดเรื่องหนีได้ไม่ทันเท่าไหร่อยู่ๆนางก็สัมผัสพลังอสูรจากตัวเด็กสาวตรงหน้าได้ นางไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมีพลังเท่าไหร่ เพราะระดับพลังของนางยามนี้ต่ำมากจนไม่อาจใช้ตรวจสอบได้ แต่เห็นได้ชัดเลยว่านางไม่มีทางต่อต้านเด็กสาวคนนี้ได้แน่ๆ
“มะ เหมียว…”พยัคฆ์ขาวส่งเสียงแมวออกมาอีกครั้งด้วยท่าทีฝืนๆเช่นเดิม ทำไมวันนี้นางเจอแต่พวกมีพลังกันนะ ไหนท่านพ่อบอกว่ามนุษย์ที่มีพลังวิญญาณมีอยู่ไม่มากไง
“เจ้าบาดเจ็บนี่นา มานี่สิ”เด็กสาวตรงหน้าพูดพลางนำยาบางอย่างออกมาทาบนบาดแผลที่คอของนาง ทันทีที่ทาความรู้สึกเย็นสบายก็แผ่ซ่านไปทั่วร่างทำเอาพยัคฆ์ขาวเผลอครางเสียงในลำคอออกมาเสียอย่างนั้น
“เด็กดี”เด็กสาวพูดพลางยิ้มออกมาด้วยท่าทางอ่อนโยน
“ชิวซุย เจ้ามัวมาทำอะไรอยู่ตรงนี้กัน”เสียงของคนอีกคนหนึ่งดังขึ้นพร้อมร่างของหญิงสาวใบหน้างดงามไม่ต่างจากเด็กสาวที่กำลังอุ้มพยัคฆ์ขาวเอาไว้แน่นเลย ท่าทางทั้งสองจะเป็นพี่น้องกันกระมัง
“พี่หลินเฟยดูสิมีอสูรบาดเจ็บอยู่ตรงนี้ด้วย”เด็กสาวตอบพลางพาพยัคฆ์ขาวเข้าไปหาหญิงสาวที่ยืนอยู่ตรงหน้า
“ชิวซุยเจ้าจะเก็บอสูรจากไหนไม่รู้มาไม่ได้นะ”หลินเฟยถอนหายใจออกมาพลางมองพยัคฆ์ขาวในร่างแมวน้อยด้วยท่าทีประหลาดใจ เจ้าแมวตนนี้มีพลังต่ำมากเหมือนอสูรระดับต่ำไม่มีผิด แต่มันก็มีสิ่งผิดปกติบางอย่างจากตัวของอสูรตนนี้ เมื่อใช้ดวงตาสีเขียวลองสำรวจดูแล้วกลับพบว่าแก่นอสูรในร่างของมันได้รับความเสียหาย เท่านี้หลินเฟยก็ทราบแล้วว่าเจ้าแมวขาวตนนี้จริงๆแล้วมีพลังสูงกว่าที่เห็นแน่ๆ
“มันน่าสงสารนี่นา ให้มันอยู่กับข้าจนกว่าจะหายเจ็บไม่ได้เหรอ”ชิวซุยถามพลางส่งสายตาอ้อนไปทางหลินเฟย ทำเอาหลินเฟยได้แต่ถอนหายใจออกมาด้วยท่าทีช่วยไม่ได้ น้องสาวของมันขอร้องแบบนี้มันจะทำอะไรได้ล่ะ
“ก็ได้ แต่เจ้าต้องดูแลมันดีๆล่ะ”หลินเฟยตอบพลางถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้ ที่บ้านของพวกมันก็มีอสูรมากมายจนนับไม่ได้ จะเพิ่มไปอีกตนก็คงไม่เป็นไรหรอก
“……..”ทางฝั่งพยัคฆ์ขาวได้แต่มองสองพี่น้องตรงหน้าตาปริบๆ ดูเหมือนนางจะโดนน้องสาวเก็บมาเลี้ยงเสียแล้วแถมตัวพี่สาวเองก็เหมือนจะมีพลังอสูรเสียด้วยทำเอาพยัคฆ์ขาวแสดงท่าทีงุนงงออกมา หรือว่าพวกมันทั้งสองเป็นอสูรที่แปลงกายเป็นมนุษย์เข้ามาปะปนในสังคมมนุษย์กัน
“หลินเฟย ชิวซุยพวกเจ้ามัวทำอะไรกัน เราต้องเดินทางไปเมืองข้างหน้าอีกนะ”เสียงของหญิงสาวอีกคนหนึ่งดังขึ้นพร้อมร่างของหลานฮวาที่เดินเข้ามาหาพวกหลินเฟยด้วยท่าทีรีบร้อน ทำให้พยัคฆ์ขาวมีท่าทีประหลาดใจมากขึ้นกว่าเดิม คราวนี้อีกฝ่ายไม่มีพลังอสูร แต่ท่าทางจะมีพลังวิญญาณอย่างเห็นได้ชัดเลย
“พี่หลานฮวา ข้าเจอเจ้านี่กำลังบาดเจ็บอยู่ล่ะ”ชิวซุยพูดพลางพาพยัคฆ์ขาวเข้าไปให้หลานฮวาดู
“โถ่น่าสงสาร”หลานฮวาเห็นแมวตัวน้อยนอนเจ็บอยู่บนอ้อมแขนของชิวซุยก็แสดงท่าทีสงสารออกมาอย่างชัดเจน เพราะตัวนางนั้นไม่รู้ว่าเจ้าตัวน้อยนี่คืออสูร
“พี่หลานฮวา เจ้านี่เป็นอสูรนะถึงจะบาดเจ็บก็เถอะ”หลินเฟยยิ้มพลางแฉฐานะของพยัคฆ์ขาวออกมาเสียอย่างนั้น แต่แทนที่มนุษย์ที่ถูกเรียกว่าหลานฮวาจะตกใจหรือคิดจะฆ่าพยัคฆ์ขาวนางกลับเลิกคิ้วราวกับเป็นเรื่องปกติ
“แล้วต่างกันตรงไหนล่ะ อสูรอยู่กับพวกเจ้าเป็นเรื่องปกติจะตาย”หลานฮวาว่าพลางบอกให้ทั้งสองคนไปขึ้นรถได้แล้ว
“……”ทางด้านพยัคฆ์ขาวนั้นได้แต่มองสภาพตรงหน้าด้วยท่าทีงุนงง นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับโลกภายนอกกัน มีทั้งอสูรที่ปะปนอยู่ในเมืองของมนุษย์ แถมยังมีมนุษย์ที่เห็นอสูรแล้วคิดว่าเป็นเรื่องปกติอีก หรือว่านางจะไม่ได้ออกมาดูโลกภายนอกนานเกินไปกัน….
“ไม่ต้องกลัวนะ ข้าทายาให้เจ้าแล้ว เดี๋ยวก็หายเจ็บเอง”ไป๋ชิวซุยพูดพลางเลื่อนมือมาลูบหัวพยัคฆ์ขาวเบาๆ พริบตานั้นอยู่ๆพยัคฆ์ขาวก็รู้สึกสบายขึ้นมาเสียเฉยๆ ราวกับได้สัมผัสกลิ่นอายบางอย่างจากตัวเด็กหญิงมันสบายเสียยิ่งกว่าตอนทายาก่อนหน้านี้เสียอีก ทำเอาพยัคฆ์ขาวครางเสียงในลำคอออกมาก่อนจะหลับตานอนหนุนอยู่บนแขนของไป๋ชิวซุยอย่างแนบแน่นเสียอย่างนั้น