บุตรอสูรบรรพกาล - ตอนที่ 607 สาเหตุที่มา
ตอนที่ 607
สาเหตุที่มา
“คุณชาย ในที่สุดก็ได้พบท่านเสียที สมแล้วที่เป็นคุณชายพอมาถึงก็ได้เป็นเจ้าสำนักของสำนักอันดับ 9 งั้นเลยหรือขอรับ ช่างยอดเยี่ยมจริงๆ”ขณะที่สำนักเหยี่ยวทะเลทรายกำลังจัดงานต้อนรับศิษย์ใหม่ท่ามกลางบรรยากาศดีอกดีใจของเหล่าศิษย์สตรี หลินเฟยผู้เป็นเจ้าสำนักก็กำลังรู้สึกอยากเข้าร่วมงานที่ว่าขึ้นมากะทันหันเพราะแขกที่นัดมานั้นคือตัวหัวหน้าผู้ตรวจการที่หลินเฟยเคยพบตอนจับโจรนั้นเอง
“ท่านหัวหน้าผู้ตรวจการ ไม่ทราบท่านต้องการสินค้าอะไรหรือขอรับ”หลินเฟยยิ้มเจื่อนๆออกมาพลางถามคำถามตามประสาคนขายของออกไปทันที
การมาหาหลินเฟยในครั้งนี้เป็นเพราะหัวหน้าผู้ตรวจการได้เห็นหลินเฟยอยู่ในเครื่องแบบร้านของน้องเขยตนเองเข้าพอดี ทำให้ตัวหัวหน้าผู้ตรวจการได้ทราบแล้วว่าเจ้าของตำราที่ตนเอามาฝึกนั้นคือใคร ทำให้หัวหน้าผู้ตรวจการต้องการจะพบหลินเฟยมากถึงกับเข้าไปที่บ้านตระกูลชุนหลังจากประลองทันที แต่น่าเสียดายที่หลินเฟยตกบันไดพลอยโจนเป็นเจ้าสำนักไปแล้ว แถมยังต้องอยู่ดูแลสำนักอีกหลายวันจนหัวหน้าผู้ตรวจการต้องนัดวันที่จะพบหลินเฟยออกไป
“ข้าไม่อยากได้อะไรหรอกขอรับ ข้ามาวันนี้ก็เพื่ออยากพบคุณชายอีกสักครั้ง”หัวหน้าผู้ตรวจการตอบด้วยท่าทียิ้มแย้ม แต่ก็แน่นอนอยู่แล้ว เพราะหัวหน้าผู้ตรวจการเป็นพี่ชายของภรรยาชุนเจ๋อ มีอะไรต้องการก็บอกชุนเจ๋อเสียก็ได้ตามประสงค์แล้ว ไม่จำเป็นต้องมาซื้อกับหลินเฟยที่เป็นพนักงานเลยแม้แต่น้อย
“เช่นนั้นเชิญท่านหัวหน้าผู้ตรวจการกลับได้เลยขอรับ ประตูอยู่ด้านหลังข้าไม่ส่งนะ”หลินเฟยได้ยินเช่นนั้นก็เตรียมตัวจะบอกลาทันที แถมยังพูดจาเหมือนจะไล่หัวหน้าผู้ตรวจการให้ไปไกลๆอีกต่างหาก
“ถึงไม่มีของที่อยากซื้อแต่ข้าก็ซื้อชั่วโมงท่านเอาไว้แล้วนะขอรับ เวลาของท่านนี่แพงกว่าของที่อยู่ชั้นหนึ่งอีกนะ”หัวหน้าผู้ตรวจการบอกพร้อมรอยยิ้มสบายๆ พนักงานของร้านตระกูลชุนนั้นนอกจากจะขายสินค้าแล้วยังขายเวลาของตนเองอีกด้วย เพราะเหล่าผู้เชี่ยวชาญสินค้าหายากนั้นมีไม่มาก และไม่ใช่ขุนนางทุกคนจะสามารถหาคนแบบนั้นมาได้ เวลาที่อยากได้ข้อมูลหรือเรื่องเกี่ยวกับของที่ตนอยากได้ การมาขอคำปรึกษากับเหล่าผู้เชี่ยวชาญนั้นถือเป็นเรื่องปกติ แต่จะให้คำปรึกษาฟรีๆก็คงไม่ได้ชุนเจ๋อจึงให้เหล่าขุนนางเช่าพนักงานของตนเพื่อปรึกษาได้นั่นเอง
“ท่านนี่ช่างตื๊อจริงๆ สมแล้วที่เป็นผู้ตรวจการ”หลินเฟยถอนหายใจออกมาช้าๆก่อนจะกลับสู่ท่าทางสง่าผ่าเผยในพริบตา
“แน่นอนขอรับ ไม่อย่างนั้นพวกเจ้าเมืองคงไม่มองข้าเหมือนเห็นผีหรอกขอรับ จริงสิที่ข้ามาในวันนี้นอกจากขอบคุณคุณชายแล้วยังมีสิ่งนี้อีกขอรับ”หัวหน้าผู้ตรวจการพูดพลางนำถุงเงินถุงหนึ่งออกมา ในนั้นน่าจะมีเหรียญไม่ต่ำกว่าพันเหรียญทองเป็นแน่ สำหรับอาณาจักรซานแล้วเงินจำนวนนี้ไม่ใช่น้อยๆเลย
“นี่คือเงินรางวัลที่พวกข้าได้มาจากการจับโจรที่เมืองฮัวกิงขอรับ”หัวหน้าผู้ตรวจการว่าพลางนำถุงเงินให้หลินเฟยไป ผลงานจับโจรนั้นเป็นของหลินเฟย พวกตนทั้งสามละอายไม่กล้าใช้เงินที่ได้มาจากการรับผลงานมาจากหลินเฟยแม้แต่เหรียญเดียว ทำให้เงินรางวัลทั้งหมดยังอยู่ในถุงนี้ไม่ขาดไม่เกิน
“ตอนนี้ท่านรับช่วงต่อสำนักเหยี่ยวทะเลทรายคงต้องใช้เงินจำนวนมาก หวังว่าเงินในนี้จะสามารถช่วยท่านได้นะขอรับ”หัวหน้าผู้ตรวจการยิ้มพลางส่งมอบเงินให้หลินเฟยด้วยท่าทีจริงใจ เห็นแบบนั้นหลินเฟยก็คิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะรับเงินมาโดยไม่ได้ตอบอะไร ขืนไม่ยอมรับเงินก้อนนี้มีหวังได้โยนกันไปกันมากับท่านหัวหน้าผู้ตรวจการจนหมดเวลาแน่ๆ
“ธุระของท่านมีเพียงเอาเงินรางวัลมาให้ข้างั้นหรือ”หลินเฟยถามพลางเก็บเงินเข้ามิติของตนโดยไม่ต้องเกรงอกเกรงใจกันอีกแล้ว อีกฝ่ายรู้ฝีมือหลินเฟยดีแค่เปิดช่องมิติได้ไม่มีทางทำให้แปลกใจหรอก
“ตอนแรกก็แค่นั้นขอรับ แต่ระหว่างที่ท่านกำลังยุ่งอยู่กับการปรับปรุงสำนัก ข้าก็ได้ยินเรื่องๆหนึ่งมาจากท่านเจี่ยหุนเข้า”หัวหน้าผู้ตรวจการตอบพลางถอนหายใจออกมา ท่าทางหลังจบการประลองเจี่ยหุนกับหัวหน้าผู้ตรวจการจะสนิทสนมกันมากขึ้นสินะ
“ดูเหมือนองค์จักรพรรดิกำลังประชวรหนักด้วยอาการแปลกๆขอรับ หมอหลวงเองก็ไม่ทราบเช่นกันว่าอาการเช่นนี้เกิดจากอะไร แต่คนที่มีอาการแบบนั้นต่างตายในเวลาไม่นานกันหมด คุณชายท่านพอจะมียารักษาอาการของฝาบาทหรือไม่”หัวหน้าผู้ตรวจการถามพลางจ้องมองหลินเฟยด้วยท่าทีคาดหวัง
“ท่านหัวหน้าผู้ตรวจการ โลกนี้มียาแปลกประหลาดพิสดารมากมายก็จริงขอรับ แต่ไม่มียาไหนที่รักษาได้ครอบจักรวาลหรอกนะขอรับ”หลินเฟยถอนหายใจออกมาช้าๆ โรคประหลาดที่ไม่ทราบเสียด้วยซ้ำว่าเกิดจากอะไร กลับเข้ามาถามตนเองว่ามียาหรือไม่งั้นหรือ นี่อีกฝ่ายคิดว่ามียาวิเศษเช่นนั้นอยู่จริงงั้นหรือ
“ก็แค่ลองถามดูขอรับ ข้าไม่เคยเห็นใครมีฝีมือยอดเยี่ยมเท่าคุณชายเลย ข้าก็เลยมีความหวังอยู่บ้าง”หัวหน้าผู้ตรวจการตอบพลางส่ายหน้าช้าๆ แม้จะทราบดีว่ายารักษาทุกโรคมันก็แค่เรื่องเพ้อฝัน แต่มันก็อยากจะลองถามดูสักครั้งเท่านั้นเอง
“แต่ถ้าหากให้ข้าได้ตรวจพระวรกายละก็ บางทีอาจจะรู้ก็ได้นะขอรับว่าอาการของท่านคืออะไร”หลินเฟยตอบพลางมองสมุนไพรภายในชั้น 7 ของร้าน ที่นี่มีสมุนไพรดีๆไม่น้อย บางทีหากอาการขององค์จักรพรรดิไม่ได้ร้ายแรงอาจจะรักษาหายได้ไม่ยากก็ได้ ได้ยินว่าโรคบางโรคนั้นตรวจพบอาการได้ยากแต่รักษาง่ายดายก็มี
“เรื่องนั้นท่าทางจะยากขอรับ….แต่ถ้าเป็นท่านจิ๋นจี้หลงหรือท่านเจี่ยหุนละก็…..”หัวหน้าผู้ตรวจการทำสีหน้าครุ่นคิดช้าๆ ทั้งสองคนนั้นดูเหมือนจะชอบใจหลินเฟยไม่น้อย หากให้ทั้งสองคนนั้นช่วยรับรองหลินเฟยอาจจะสามารถเข้าเฝ้าได้ก็ไม่แน่
“ข้าจะลองไปขอร้องพวกท่านดู หากได้ทราบข่าวแล้วข้าจะมาขอร้องคุณชายอีกทีนะขอรับ”หัวหน้าผู้ตรวจการตอบพลางประสานมืออย่างนอบน้อมต่อหน้าหลินเฟยที่สมควรจะเป็นลูกน้องของน้องเขยตนเองแท้ๆ
“เผลอรับปากไปจนได้”หลินเฟยยิ้มเจื่อนๆออกมาพลางเอนตัวพิงเก้าอี้ด้วยท่าทีเหนื่อยใจ อาจจะเพราะคนรู้จักของหลินเฟยเป็นจักรพรรดิกันหลายคน ทำให้ทราบว่าหากเกิดอะไรขึ้นกับจักรพรรดินั้นจะเป็นเรื่องเลวร้ายแค่ไหน เมืองที่ตนเองพึ่งได้มาอาศัยหากเกิดสงครามแย่งชิงบัลลังก์ขึ้นอาจจะทำให้สถานการณ์ต่างๆของทั้งร้านตระกูลชุนที่มีขุนนางเกี่ยวข้องหลายคนและสำนักเหยี่ยวทะเลทรายที่ตนพึ่งเข้ารับตำแหน่งเลวร้ายลงก็ได้ แบบนั้นคงลำบากแย่ สู้เสนอตัวช่วยสักครั้งคงจะง่ายกว่า
“…….”หลินเฟยลุกขึ้นยืนช้าๆก่อนจะลงไปยังชั้นล่างเพื่อไปขอตัวออกจากร้านเพราะพึ่งได้ทราบว่าวันนี้สำนักของตนเองกำลังรับศิษย์ใหม่เข้ามา แม้จะไม่ได้ไปเข้าร่วมงานต้อนรับ แต่หลินเฟยไปพบหน้าศิษย์ของตนเสียหน่อยคงจะดีกว่า
ฟุบ….
ยามนี้เรื่องพลังของหลินเฟยคงไม่ต้องปิดบังให้เป็นความลับอีกแล้ว ทำให้หลินเฟยไม่เสียเวลาเดินรีบกระโจนขึ้นหลังคาบ้านหลังหนึ่งแล้วใช้วิชาตัวเบาทะยานไปยังสำนักเหยี่ยวทะเลทรายให้ไวที่สุดทันที เพียงแต่ให้หลินเฟยรีบกว่านี้งานต้อนรับก็จบลงไปนานแล้ว ทำให้กว่าหลินเฟยจะมาถึงสำนักก็เป็นช่วงที่พวกฟงเป่าออกมาฝึกซ้อมกันข้างหน้าจวนเจ้าสำนักกันหมดแล้ว
“ขยันกันดีนี่นาเด็กพวกนี้”หลินเฟยหยุดยืนอยู่บนหลังคาสำนักก่อนจะนั่งลงดูการฝึกฝนของทั้งสาม ฟงเป่านั้นเรียนรู้ได้ไวมากทีเดียว ตั้งแต่วิชาท่าเท้าที่หลินเฟยให้ฝึกก่อนหน้านี้แล้วฟงเป่าก็สำเร็จวิชาในไม่กี่วัน เรียกได้ว่ามีพรสวรรค์เด่นชัดจริงๆ ส่วนหนี่หลิงหนานนั้นก็ยอดเยี่ยมไม่น้อย นางดูมีความตั้งใจแต่ท่วงท่าแข็งกร้าวไปหน่อย แถมยังมีท่าทีรีบร้อนฝึกข้ามขั้นตอนเล็กๆไปหลายส่วน ทำไมนางต้องรีบฝึกฝนขนาดนี้กันนะ
“หืม…”ส่วนคนสุดท้ายเซี่ยจินเย่ นางดูเป็นเด็กสาวทำตัวสบายๆไม่กระตือรือร้น แต่นางกลับสามารถฝึกฝนวิชากระจกภูตพรายได้เร็วจนน่าตกใจเลยทั้งๆที่วิชากระจกภูตพรายนั้นเป็นวิชาที่ยากพอๆกับวิชาของพวกท่านตาอสูรเลย
“เซี่ยจินเย่ ทำไมเจ้าถึงมาเข้าสำนักนี้งั้นหรือ”ระหว่างฝึกฝนกันไปได้พักใหญ่ อยู่ๆหนี่หลิงหนานก็เอ่ยปากถามเซี่ยจินเย่ที่เป็นหญิงเหมือนกันขึ้นมา
“ทำไมงั้นหรือ…..ข้าอยากจะฝึกวิชาเพิ่มแล้วพอดีเห็นใบสมัครเข้าข้าก็เลยมาสมัครเท่านั้นเอง”เซี่ยจินเย่ตอบพลางยิ้มออกมาด้วยท่าทีเอื่อยเฉื่อย
“อะไรกัน แค่นั้นเองงั้นหรือ”หนี่หลิงหนานยิ้มเจื่อนๆออกมากับท่าทีสบายๆของเซี่ยจินเย่ นางทำเหมือนการเข้าสำนักเป็นเพียงการเดินตามตลาดแล้วคิดว่าจะซื้ออะไรกลับไปทำอาหารดีเสียอย่างนั้น
“แล้วหนี่หลิงหนานล่ะทำไมถึงมาฝึกงั้นหรือ”เซี่ยจินเย่ถามพลางเอียงคอสงสัย ก็ไม่มีอะไรหรอกเพราะอีกฝ่ายพูดเรื่องนี้ขึ้นมาก็เลยถามกลับเท่านั้น
“ข้าหรือ…”หนี่หลิงหนานได้ยินอีกฝ่ายถามก็วาดกระบี่ตามกระบวนท่าที่ฝึกอยู่ไปหนึ่งเพลง ก่อนจะยิ้มออกมาบางๆ
“ข้ามีความแค้นใหญ่หลวงอยู่ เมื่อข้าฝึกให้เก่งกาจแล้วข้าจะกลับไปล้างแค้นที่บ้านเกิด”ได้ยินหนี่หลิงหนานตอบหลินเฟยที่ฟังอยู่ด้านบนก็เลิกคิ้วขึ้นมาด้วยท่าทีประหลาดใจ ไม่ใช่แค่ฟงเป่าหรอกหรือที่มีความแค้นต้องชำระ หนี่หลิงหนานเองก็เป็นเช่นกันสินะ
“เจ้าเองก็เหมือนกันงั้นหรือ”ฟงเป่าที่ยืนอยู่ในลานฝึกเดียวกันก็เอ่ยถามขึ้นมาด้วยท่าทีสนใจ การมีคนประสบปัญหาเหมือนกันนั้นทำให้รู้สึกใกล้ชิดอย่างประหลาดเช่นกัน
“เจ้าเองก็มาที่สำนักเพราะต้องการล้างแค้นงั้นหรือ เจ้าโดนทำอะไรมาล่ะ”หนี่หลิงหนานถามพลางมองไปทางฟงเป่าด้วยท่าทีอยากรู้ เห็นท่าทางฟงเป่าท่าทางขี้อายไม่กล้าพูดคุยแล้วไม่นึกเลยว่าจะมาเพราะต้องการล้างแค้น
“จริงๆแล้วตระกูลของข้าถูกตระกูลใหญ่ในเมืองเดียวกันฆ่าล้างตระกูลขอรับ ข้าก็เลยหนีมาที่นี่แล้วก็ได้อาจารย์ช่วยเอาไว้ แถมท่านยังชวนข้าให้มาเป็นศิษย์ของท่านอีกต่างหาก”ฟงเป่าว่าพลางยิ้มออกมาบางๆ แม้จะผ่านไปหลายปีแล้ว แต่รอยยิ้มของฟงเป่ายามพูดเรื่องนี้ออกมาก็ดูเจ็บปวดอยู่ดี
“จริงๆแล้วข้าไม่ได้อยากจะไปแก้แค้นอะไรหรอกขอรับ ข้าแค่รู้สึกเป็นห่วงคู่หมั้นของข้าเท่านั้นเอง ตระกูลของข้าหนีหัวซุกหัวซุนในวันหมั้นของข้า แถมคู่หมั้นของข้ายังโดนคนของตระกูลอีกฝ่ายจับตัวไปอีก ตอนนี้ข้าก็ยังไม่รู้เลยว่าคู่หมั้นของข้าเป็นเช่นไร อย่างน้อยข้าก็อยากจะไปช่วยนางขอรับ”ได้ยินฟงเป่าเล่า หนี่หลิงหนานที่ได้ฟังรวมทั้งเซี่ยจินเย่และหลินเฟยเองก็อดชะงักไม่ได้ หลินเฟยก็เคยได้ยินมาแล้ว แต่ไม่คิดว่าเรื่องราวมันจะเลวร้ายขนาดนี้
“จริงสิ แล้วใครกันหรือขอรับที่ทำให้หนี่หลิงหนานแค้น”ฟงเป่าถามพลางเปลี่ยนเรื่องบ้าง แต่พอโดนฟงเป่าถามกลับหนี่หลิงหนานก็สะดุ้งโหยงรีบหันหน้าหนีทันที
“ข้าไม่อยากจะพูดถึงมันหรอก”หนี่หลิงหนานพูดจบก็เดินหนีออกมาแล้วเริ่มฝึกซ้อมอีกครั้ง ทำให้ฟงเป่าไม่อาจทราบได้เลยว่าความแค้นของหนี่หลิงหนานนั้นมีมากมายเพียงไร
“………”ส่วนตัวหนี่หลิงหนานที่ออกมาฝึกต่อกลับกำลังข่มกลั้นความอายของตนอย่างเต็มกลืนโดยการซ้อมแก้เขินนั่นเอง ที่นางมีอาการเช่นนี้ก็เพราะความแค้นของนางมันก็แค่โดนพวกผู้ชายในสำนักแถวบ้านล้อเลียนว่าผู้หญิงไม่สามารถเป็นยอดฝีมือได้ นางก็เลยอยากจะพิสูจน์ให้พวกนั้นเห็นเท่านั้นเอง ขืนเอาความแค้นของนางไปเทียบกับของฟงเป่าที่ราวกับหลุดออกมาจากละครโศกแล้ว ความแค้นของนางมันเป็นเรื่องเด็กเล่นชัดๆ