บุตรอสูรบรรพกาล - ตอนที่ 608 ทำหน้าที่
ตอนที่ 608
ทำหน้าที่
“พวกเจ้าขยันกันดีนะ”หลังจากหลินเฟยมองดูการฝึกฝนและการพูดคุยของเหล่าศิษย์อยู่พักใหญ่ ในที่สุดหลินเฟยก็ลงมาปรากฏตัวต่อหน้าศิษย์ทั้งสามเสียที
“คารวะอาจารย์”แม้ปากจะบ่นแต่พอหลินเฟยมาถึงหนี่หลิงหนานและคนอื่นๆก็เข้ามาคารวะหลินเฟยทันที แม้หลินเฟยจะทำตัวไม่เหมือนอาจารย์เท่าไหร่ แต่อีกฝ่ายก็เป็นทั้งอาจารย์และเจ้าสำนักจริงๆ
“หนี่หลิงหนาน เจ้ามายืนตรงนี้”หลินเฟยพูดพลางหักกิ่งไม้แถวๆนั้นออกมากิ่งหนึ่ง เห็นศิษย์ของตนตั้งใจฝึกฝนขนาดนี้หากไม่ลงมือทำอะไรบ้างคงผิดต่อทั้งสามแน่ อย่างน้อยก็ต้องช่วยชี้แนะให้สักครั้งล่ะนะ
“จะ เจ้าค่ะ”หนี่หลิงหนานเดินเข้าไปหาหลินเฟยด้วยท่าทีสงสัย แม้จะมายืนใกล้ขนาดนี้นางยังสัมผัสพลังวิญญาณของหลินเฟยไม่ได้เลย นี่ตกลงท่านเป็นคนธรรมดาหรืออย่างไร หรือว่าตำแหน่งเจ้าสำนักนั้นจะไม่ได้มาจากฝีมืออันยอดเยี่ยม แต่มาจากการสืบทอดตำแหน่งกัน?
“ข้าจะชี้แนะให้พวกเจ้าทีละคน ก่อนอื่นก็หนี่หลิงหนาน เจ้าเข้ามาก่อน”หลินเฟยว่าพลางใช้กิ่งไม้ตั้งท่ากระบี่ร้อยบุปผาเช่นเดียวกับที่ให้หนี่หลิงหนานฝึก แม้จะไม่เคยฝึกฝนจนซึมเข้ากระดูกแต่อาวุธหลักของหลินเฟยก็คือกระบี่ราชวงศ์ชินที่สืบทอดมาจากมารดาและท่านยาย วิชากระบี่ระดับกระบี่ร้อยบุปผานั้นเพียงอ่านก็ใช้งานได้ทันทีแล้ว
“เจ้าค่ะ….”หนี่หลิงหนานยังคงลังเลอยู่ครู่หนึ่งเมื่อได้ยินว่าหลินเฟยต้องการให้ตนเองโจมตีใส่ หากหลินเฟยเป็นคนธรรมดานางต้องทำร้ายหลินเฟยเป็นแน่ แต่คำสั่งอาจารย์และเจ้าสำนักนางจะขัดได้หรือ
เพี๊ย….
พอตัดสินใจโจมตี มือของหนี่หลิงหนานก็โดนหวดเล่นราวกับแม่กำลังตีมือลูกสาวไม่มีผิด พริบตาเดียวหลินเฟยก็มองทางกระบี่ออกแล้วตีมือนางจนกระบี่ของนางร่วงลงพื้นในทันที
“เจ้าลังเลอะไรอยู่”หลินเฟยถามพลางมองหนี่หลิงหนานด้วยท่าทีสงสัย ตอนเข้าสำนักนางก็ประลองแข่งขันกับคนอื่น ตอนนั้นนางยังโจมตีอย่างไม่ไว้หน้าอีกฝ่ายอยู่เลย ทำไมตอนนี้ถึงแทงกระบี่เข้ามาด้วยท่าทีลังเลกัน ท่าแบบนี้ไม่ต้องถึงมือหลินเฟยหรอก แค่เด็กที่แพ้นางในการประลองตอนทดสอบก็โต้กระบี่เมื่อครู่ได้
“แต่ อาจารย์….ท่านไม่มีพลังวิญญาณเลย ข้ากลัวว่า….”หนี่หลิงหนานกำลังจะอธิบาย แต่พอแง้มปากหลินเฟยก็เข้าใจทันที ที่แท้นางกังวลว่าตนเองจะได้รับบาดเจ็บนี่เอง เห็นท่าทางเป็นสาวดุๆนึกว่าจะไม่สนเรื่องนี้เสียอีก
“ไม่ต้องกังวลหรอก ข้าไม่โดนพวกเจ้าทำร้ายหรอกนะ”หลินเฟยยิ้มพลางเก็บกระบี่ส่งให้หนี่หลิงหนาน แต่ระหว่างส่งหลินเฟยก็ปล่อยพลังวิญญาณออกมาเล็กน้อยให้นางสัมผัสได้
“หนี่หลิงหนาน อาจารย์น่ะสามารถปกปิดพลังวิญญาณได้ขอรับ พลังของอาจารย์พวกเราเทียบไม่ติดหรอก”ฟงเป่าได้ยินเช่นนั้นก็เลยอธิบายให้หนี่หลิงหนานฟัง แต่พออธิบายออกไปหนี่หลิงหนานกลับค้อนกลับมาราวกับจะบอกว่า แล้วทำไมไม่บอกให้เร็วกว่านี้เล่า ไม่มีผิด
“ขออภัยด้วยเจ้าค่ะอาจารย์”หนี่หลิงหนานประสานมือขอขมา แม้จะไม่ตั้งใจแต่เมื่อครู่และก่อนหน้านี้นางก็นึกดูถูกอาจารย์ท่านนี้ไปจริงๆ
“ไม่เป็นไร ข้าปกปิดพลังไว้เพราะไม่อยากให้ใครสัมผัสพลังของข้าได้ เอาไว้ข้าจะสอนพวกเจ้าด้วยก็แล้วกัน”หลินเฟยยิ้มด้วยท่าทีใจดี ทำให้หนี่หลิงหนานแสดงสีหน้าผ่อนคลายออกมา ในเมื่ออาจารย์ไม่ใช่คนไร้ฝีมือ เช่นนั้นเรื่องที่นางกังวลว่าอาจารย์จะไม่สามารถสอนตนเองได้ก็หมดไป
“งั้นเข้ามาอีกรอบ”หลินเฟยว่าพลางใช้กิ่งไม้รับกระบี่ของหนี่หลิงหนานด้วยท่าทีสบายๆ แม้วิชาของกระบี่ร้อยบุปผาจะนับเป็นยอดวิชาในอาณาจักรซานก็จริง แต่หนี่หลิงหนานพึ่งฝึกได้วันเดียว แถมนางไม่ได้มีความทรงจำเหนือมนุษย์หรือพรสวรรค์ฟ้าประทานแต่อย่างไร ทำให้นางจดจำกระบวนท่าได้ไม่กี่กระบวนท่าเท่านั้น
“ไม่เลว เจ้าฝึกวันเดียวได้ถึงขนาดนี้นับว่ามีความจำใช้ได้”หลินเฟยกล่าวชมหลังจากเห็นว่าหนี่หลิงหนานเริ่มใช้วิชาซ้ำๆไม่เปลี่ยนแปลงกระบวนท่าแล้ว แสดงว่านางพึ่งจดจำได้เพียงเท่านี้ แต่จะเอานางมาเปรียบเทียบกับตนเองที่มีความทรงจำเหนือมนุษย์จากตระกูลไป๋ไม่ได้ หนี่หลิงหนานนับว่าทำได้เกินมาตรฐานของเด็กธรรมดาแล้ว
“วันนี้ข้าจะแสดงท่าทั้งหมดและการผสมกระบวนท่าง่ายๆให้เจ้าดูก่อน ตั้งใจมองให้ดีล่ะ”หลินเฟยว่าพลางปล่อยพลังวิญญาณออกมาเล็กน้อย การโจมตีของผู้ฝึกฝนพลังวิญญาณจะต้องส่งพลังวิญญาณผ่านจุดต่างๆในร่างกายรวมทั้งเส้นชีพจรวิญญาณอีกด้วย ผู้ฝึกฝนวิชาปกปิดพลังวิญญาณนั้นนอกจากจะไม่โดนจับสัมผัสพลังวิญญาณแล้ว ยังไม่แสดงการเคลื่อนพลังวิญญาณให้ศัตรูเดาทางอีกต่างหาก เพียงแต่ตอนนี้หลินเฟยต้องการสอนหนี่หลิงหนานทำให้หลินเฟยต้องแสดงพลังวิญญาณออกมาเพื่อให้นางสามารถเข้าใจการเดินพลังได้
วูบ….
กิ่งไม้ของหลินเฟยวาดกระบวนท่าสุดท้ายออกมาด้วยท่าทีอ่อนหวาน แม้ทั้งสามจะทราบแล้วว่าหลินเฟยเป็นชายแต่พอร่ายรำวิชากระบี่ร้อยบุปผาเหล่าศิษย์ทั้งสามก็เผลอมองหลินเฟยเป็นหญิงสาวไปจนได้
“……… ขะ…….ขอบพระคุณเจ้าค่ะอาจารย์”หนี่หลิงหนานอึ้งไปพักใหญ่หลังจากได้เห็นกระบวนท่าที่แท้จริงของกระบี่ร้อยบุปผา นี่นะหรือคือวิชากระบี่ร้อยบุปผาที่ผู้ฝึกฝนจนชำนาญแล้วใช้ออกมา กระบวนท่านั้นนอกจากสลับซับซ้อนแล้วยังงดงามอ่อนหวานราวกับได้เห็นดอกเหมยกำลังบานอยู่เบื้องหลังอาจารย์ยามร่ายรำไม่มีผิด
“คราวนี้ก็ตั้งใจฝึกต่อไปล่ะ”หลินเฟยยิ้มพลางมองหนี่หลิงหนานด้วยท่าทีอ่อนโยน หากบอกว่าความจริงนี่เป็นครั้งแรกที่หลินเฟยใช้เพลงกระบี่ร้อยบุปผาออกมามีหวังหนี่หลิงหนานได้ซึมเศร้าแน่ๆ
“ต่อไปก็ เซี่ยจินเย่”หลินเฟยหันมาทางเซี่ยจินเย่ก่อนจะวางกิ่งไม้ลง กระบวนท่ากระจกภูตพรายของเซี่ยจินเย่นั้นเป็นวิชายืมแรงจากอีกฝ่ายเพื่อโจมตีสวนกลับไป เป็นวิชาที่ใช้ความละเอียดอ่อนและสมองมากกว่ากำลัง ทำให้หลินเฟยต้องค่อยๆแสดงท่าทางให้เซี่ยจินเย่ดูก่อนจะใช้ฟงเป่าเป็นหนูทดลองโจมตีเข้ามาใส่ตนเอง
“หวา…”ฟงเป่าเบิกตากว้างด้วยท่าทีตกใจเมื่อโจมตีเข้าใส่หลินเฟย พริบตาที่หลินเฟยใช้วิชากระจกภูตพรายออกมานั้นราวกับมีตัวฟงเป่าอีกคนพุ่งออกมาโจมตีตัวฟงเป่าเองเสียอย่างนั้น ฝ่ามือที่ฟันลงไปราวกับหันมาหาตนเองเลย
“เป็นอย่างไรบ้าง เข้าใจหรือไม่”หลินเฟยถามพลางหันไปทางเซี่ยจินเย่ที่มองอยู่ นางกะพริบตาปริบๆพลางยิ้มหวานตามแบบฉบับของนาง เล่นเอามองไม่ออกเลยว่าเข้าใจหรือไม่เข้าใจกันแน่
“ยังไม่เข้าใจทั้งหมดเจ้าค่ะ แต่เพราะอาจารย์ข้าเลยเข้าใจมากกว่าเมื่อครู่”เซี่ยจินเย่ตอบพลางเอียงคอมองไปที่มือของหลินเฟย
“งั้นก็ดีแล้ว ต่อไปก็ฟงเป่า ตาเจ้าแล้ว”หลินเฟยว่าพลางเปลี่ยนท่วงท่าเป็นกระบวนท่าปีกทองสะบั้นฟ้าแทน ฟงเป่านั้นเรียนรู้เร็วมาก เร็วจนสามารถเรียกได้ว่าอัจฉริยะเลยก็คงไม่ผิด
ฟุบๆ……
เพียงไม่ถึงวัยก็จดจำกระบวนท่าทั้งหมดของวิชาปีกทองสะบั้นฟ้าได้หมดจด เพียงแต่การใช้ออกมายังไม่สมบูรณ์ ท่วงท่าผิดเพี้ยนและการประสานกระบวนท่ายังอ่อนด้อยไปหน่อย ส่งผลให้หลินเฟยแทบไม่ต้องขยับตัวก็สามารถรับมือฟงเป่าได้อย่างง่ายดายแล้ว
.
.
.
แม้จะทำหน้าที่อาจารย์ได้ไม่เต็มที่ แต่หลินเฟยก็ใช้เวลากับเหล่าศิษย์จนถึงกลางคืน ความจริงเหล่าผู้ฝึกฝนพลังวิญญาณไม่จำเป็นต้องนอนและสามารถฝึกต่อเป็นระยะเวลานานได้ แต่เพราะมีคนของหัวหน้าผู้ตรวจการมาขอพบทำให้หลินเฟยต้องแยกตัวออกมาแล้วเดินทางไปที่จวนของท่านหัวหน้าผู้ตรวจการแทน
“คุณชาย การขอเข้าเฝ้าสำเร็จแล้วขอรับ แถมท่านจิ๋นจี้หลงบอกว่าให้ท่านเข้าไปในวังหลวงได้ทันทีขอรับ”หัวหน้าผู้ตรวจการตอบพลางลุกขึ้นไปหาหลินเฟยทันทีที่หลินเฟยเดินเข้ามาในจวน
“ได้แล้ว..ทำไมถึงเร็วเช่นนั้น”หลินเฟยถามด้วยท่าทีงุนงง การขอเข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิ แถมยังเป็นช่วงที่พระองค์ประชวรสมควรจะยุ่งยากไม่ใช่หรือ
“ท่านจิ๋นจี้หลงและท่านเจี่ยหุนท่าทางจะถูกใจท่านมากขอรับ พอบอกคุณชายต้องการเข้าตรวจสอบพระวรกายของฝ่าบาทด้วยตนเอง พวกท่านก็นำเรื่องไปเสนอจนผ่านในไม่กี่ชั่วโมงเลยขอรับ”หัวหน้าผู้ตรวจการตอบพลางยิ้มออกมาด้วยท่าทีดีใจ ความสามารถของหลินเฟยนั้นจิ๋นจี้หลงและเจี่ยหุนได้สัมผัสแล้ว พวกมันจะไว้ใจก็ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ลำพังแค่ทั้งสองคนก็สามารถพาสามัญชนเข้าพบจักรพรรดิได้แล้วงั้นหรือ น่าประหลาดใจจริงๆ
“เช่นนั้นก็ดี หากข้าสามารถหาทางรักษาได้ ข้าจะรีบรักษาให้เสร็จสิ้นไป”หลินเฟยตอบพลางตามหัวหน้าผู้ตรวจการไปที่รถม้าด้านหน้าที่จอดรออยู่แล้วตั้งแต่ส่งคนไปตามหลินเฟยมา ตัวหลินเฟยนั้นหารู้ไม่ว่าแท้จริงแล้วชื่อเสียงของตนเองนั้นโด่งดังไม่น้อยในวังหลวง ทั้งนี้เพราะเหล่าแม่ทัพขุนพลต่างทราบจากเจี่ยหุนว่าผู้คิดการสร้างทวนที่ตอนนี้ถูกถวายเข้าวังหลวงและถูกตั้งชื่อว่าทวนเสียดฟ้านั้นคือตัวหลินเฟยนั่นเอง แถมยังได้ยินอีกด้วยว่าวิชาลึกลับของท่านหัวหน้าผู้ตรวจการเองก็มาจากหลินเฟยผู้นี้อีกด้วยยิ่งทำให้ในกรมทหารต่างได้ยินชื่อหลินเฟยกันมาพักใหญ่แล้ว ส่วนทางด้านขุนนางตัวจิ๋นจี้หลงก็กล่าวชื่นชมหลินเฟยไม่น้อย แถมยังเล่าให้สหายฟังอีกว่าพนักงานชั้น 7 ของร้านตระกูลชุนนั้นเป็นผู้รอบรู้ ถามอะไรก็ตอบได้หมด เรียกได้ว่าตั้งแต่มาอยู่ที่ร้านก็ไม่เคยมีคำถามไหนที่ตอบไม่ได้ แม้จะไม่ได้บอกว่าหลินเฟยพึ่งมาอยู่ได้ไม่ถึงเดือนก็ตาม
“เชิญทางนี้ขอรับ”บ่าวรับใช้ภายในวังเดินเข้ามาต้อนรับหลินเฟยและท่านหัวหน้าผู้ตรวจการด้วยท่าทีนอบน้อม หากเป็นชาวบ้านธรรมดาคงประหม่าจนทำอะไรไม่ถูก แต่สำหรับหลินเฟยแล้วบรรยากาศเช่นนี้ช่างคุ้นเคยเสียเหลือเกิน เพียงแต่ภายในวังหลวงแห่งนี้ไม่มีคนรู้จักของหลินเฟยอยู่เท่านั้น
“หลินเฟย เจ้ามาแล้วงั้นหรือ”ผู้ที่รอรับหลินเฟยอยู่หน้าห้องบรรทมคือจิ๋นจี้หลงนั่นเอง ตัวมันเป็นผู้เสนอก็ต้องดูแลหลินเฟยด้วยตนเอง เมื่อเข้าไปแล้วหากหลินเฟยทำอะไรผิดพลาดจนเกิดเรื่องจิ๋นจี้หลงผู้นี้ก็คงต้องรับผิดชอบไปเต็มๆ
“ท่านจิ๋นจี้หลง คราวนี้รบกวนท่านแล้วขอรับ”หลินเฟยยิ้มพลางประสานมือคารวะอย่างนอบน้อมทันที แต่ยังไม่ทันจะเข้าไปถึงตัวจิ๋นจี้หลงทหาร 4 คนก็เดินเข้ามาหาหลินเฟยก่อนจะทำการค้นตัวทันที แถมภายในห้องบรรทมยังมีทหารยืนเฝ้าไม่ห่างอีกหลายคน แถมยังเป็นทหารระดับพลังสูงพอสมควรเลย
“เชิญขอรับ”เมื่อตรวจค้นเสร็จ หลินเฟยก็เดินเข้าไปในห้องบรรทมกับจิ๋นจี้หลง ก่อนจะไปนั่งคุกเข่าอยู่ข้างๆเตียงขององค์จักรพรรดิท่ามกลางทหารและหมอหลวงที่จับจ้องมาทางหลินเฟยด้วยท่าทีไม่ไว้ใจ
“เช่นนั้นข้าจะเริ่มตรวจเลยนะขอรับ”หลินเฟยว่าพลางยืนขึ้น แต่ยังไม่ทันได้ทำอะไรหมอหลวงที่อยู่ข้างๆก็ยกมือขึ้นห้ามเสียอย่างนั้น
“ช้าก่อน….เจ้าห้ามเข้ามาใกล้พระวรกายเด็ดขาด”