บุตรอสูรบรรพกาล - ตอนที่ 610 ระหว่างทาง
ตอนที่ 610
ระหว่างทาง
“สมุนไพรงั้นเหรอ”หมิงมิ่งอสูรของฟงเป่าถามด้วยท่าทางประหลาดใจ มนุษย์อย่างหลินเฟยไปรู้จักสมุนไพรเหล่านี้ได้อย่างไร ทั้งๆที่สมุนไพรเหล่านี้อยู่ในส่วนลึกของเขตอสูรแท้ๆ แม้แต่ตัวหมิงมิ่งเองยังได้เพียงแต่เห็นไม่เคยได้ครอบครองเสียด้วยซ้ำ แล้วหลินเฟยบอกว่าจะไปเอามาเนี่ยนะ
“ใช่…สมุนไพรเหล่านี้จำเป็นต่อการสร้างตัวยา ถ้าเจ้ารู้ว่าหาได้จากที่ไหนจะดีมาก”หลินเฟยยิ้มพลางมองเจ้าหนูอ้วนสีแดงที่อยู่ตรงหน้าด้วยท่าทางพอใจ หมิงมิ่งท่าทางจะรู้ว่าสมุนไพรพวกนั้นหามาได้จากไหน แบบนี้หลินเฟยก็ไม่ต้องกลับไปถึงอาณาจักรไป๋เพื่อไปนำสมุนไพรเหล่านี้คืนมาแล้ว
“ข้ารู้….แต่ข้าจะบอกเจ้าไปทำไมกัน”หมิงมิ่งถามพร้อมใช้ดวงตาสีดำสนิทของมันจ้องมาทางหลินเฟย หลินเฟยเป็นอาจารย์ของฟงเป่าก็จริงแต่ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับหมิงมิ่งเสียด้วย
“เจ้าต้องการอะไรเป็นของตอบแทนล่ะ”หลินเฟยเลิกคิ้วด้วยท่าทีสงสัย ไม่นึกว่าหมิงมิ่งจะต้องการของตอบแทนด้วย อาจจะเพราะหลินเฟยเคยชินกับการใช้พลังดึงดูดเหล่าอสูรก็เลยไม่เคยโดนอสูรต่อรองมาก่อนกระมัง
“ข้าต้องการให้เจ้าช่วยฟงเป่าให้แข็งแกร่งกว่านี้ เจ้าหนูนี่อยากกลับไปที่เมืองของมันใจจะขาด หากเจ้าทำได้ข้าจะบอกว่าสมุนไพรเหล่านั้นหาได้จากที่ไหน”หมิงมิ่งเสนอการแลกเปลี่ยนที่น่าตกใจทีเดียว หมิงมิ่งนั้นเอ็นดูฟงเป่ามาก ไม่รู้เลยว่าเวลาอยู่ด้วยกันของทั้งสองทำให้เกิดอะไรขึ้น แต่หมิงมิ่งถึงกับเสนอการแลกเปลี่ยนเพื่อฟงเป่าเลยงั้นหรือ ช่างน่าชื่นชมจริงๆ
“เรื่องนั้นไม่มีปัญหา แต่ข้าต้องการเวลาเตรียมการหน่อย”หลินเฟยตอบพลางพยักหน้าช้าๆ ตอนนี้หลินเฟยมอบวิชาต่อสู้ให้ฟงเป่าไปแล้ว ยังเหลือเคล็ดวิชาฝึกฝนพลังวิญญาณอยู่ และยังมีอีกหลายอย่างที่ทำให้ฟงเป่าแข็งแกร่งขึ้นได้ แน่นอนว่าหลินเฟยไม่คิดจะซ่อนมันจากฟงเป่าอยู่แล้ว เพราะถึงอย่างไรฟงเป่าก็เป็นศิษย์ของตนเอง หมิงมิ่งไม่ต้องขอหลินเฟยก็จะทำอยู่แล้วนั่นเอง
“ได้ งั้นข้าจะบอกเจ้า เขตอสูรที่สามารถหาสมุนไพรเหล่านี้ได้คือเขตอสูรที่ข้าเคยอาศัยมาก่อนจะได้พบฟงเป่า ที่นั่นมีชื่อว่าเขตอสูรโพรงมรณะ ของที่เจ้าบอกอยู่ที่นั่นแน่ๆ”หมิงมิ่งว่าพลางมองไปทางฟงเป่าที่นั่งฟังอยู่ข้างๆ ตอนนี้หลินเฟยเรียกฟงเป่ามาพูดคุยกันที่ห้องของเจ้าสำนักเพราะไม่สามารถคุยกับหมิงมิ่งต่อหน้าคนอื่นได้นั่นเอง
“อาจารย์จะไปที่นั่นงั้นหรือขอรับ”ฟงเป่ามีสีหน้ากังวลทันทีเมื่อได้ยินชื่อเขตอสูรดังกล่าว ท่าทีขี้กลัวของฟงเป่ายิ่งแสดงให้เห็นเด่นชัดมากขึ้นเมื่อพูดถึงเรื่องนี้
“ถ้าที่นั่นมีของที่ข้าต้องการข้าก็จะไป เจ้ามีอะไรไม่สบายใจงั้นหรือ”ได้ยินคำถามของหลินเฟย ฟงเป่าก็มีท่าทีลังเลไม่กล้าพูดออกมาเสียอย่างนั้น
“ที่นั่น…… อยู่ใกล้ๆกับบ้านเกิดของข้าขอรับ”ฟงเป่าตอบด้วยท่าทีอ้ำอึ้ง มิน่าเล่าฟงเป่าถึงได้มีท่าทีกังวลนัก เพราะเป้าหมายของฟงเป่าก็คือเมืองที่ว่านั่นเอง
“นั่นสินะ….”หลินเฟยเองก็ชะงักไปเช่นกัน จะว่าไปฟงเป่าก็บอกว่าหนีจากการตามไล่ฆ่าจนหลงเข้าไปในเขตอสูรนี่นะ แถมตอนนั้นฟงเป่ายังอายุน้อยแสดงว่าเขตอสูรจะต้องอยู่ใกล้เมืองไม่น้อยเลย
“เจ้าอยากจะไปด้วยหรือเปล่า”หลินเฟยถามพลางมองไปทางฟงเป่าด้วยท่าทีสงสัย หากยืมพลังของหลินเฟยไม่ต้องรอฝึกฝนจนเก่งกาจก็คงสามารถจัดการตระกูลหยูได้ไม่ยาก เท่านี้ความแค้นของฟงเป่าก็จะจบลงอย่างง่ายดาย
“ไม่ดีกว่าขอรับ…..”ฟงเป่าส่ายหน้าช้าๆพลางใช้มือข้างหนึ่งกุมข้อมืออีกข้างเอาไว้แน่น ฟงเป่าที่ปกติท่าทางขี้กลัวไม่ค่อยกล้าพูดคุยกับคนอื่นยามนี้กลับแผ่จิตสังหารออกมา ความแค้นสังหารตระกูลไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ตัวฟงเป่าเองแม้จะสามารถยืมมืออาจารย์ได้ แต่ก็อยากจะสะสางเรื่องนี้ด้วยมือตนเอง หากสามารถถล่มตระกูลหยูได้ด้วยตนเองบิดามารดาที่อยู่บนสวรรค์คงต้องยินดีเป็นแน่
“ก็ดี งั้นเจ้าอยู่ที่นี่ตั้งใจฝึกฝนซะ ตามที่ข้ารับปากหมิงมิ่งเอาไว้ข้าจะทำให้เจ้าแข็งแกร่งขึ้นเอง”หลินเฟยตอบพลางจับบ่าของฟงเป่าเอาไว้ หลินเฟยไม่ใช่คนที่จะบอกให้ฟงเป่าเลิกแค้นแต่ยินดีจะช่วยฟงเป่าแก้แค้นต่างหาก
“ขอบพระคุณขอรับอาจารย์”ฟงเป่าประสานมือคารวะอย่างนอบน้อมก่อนที่หลินเฟยจะถามเส้นทางจากหมิงมิ่งอย่างละเอียดเพื่อเดินทางไปยังเขตอสูรที่หมิงมิ่งเคยอยู่ ดูเหมือนที่นั่นจะเป็นรังของอสูรประเภทอาศัยใต้ดินอย่างพวกมดหรือตัวตุ่น โดยราชาของเขตอสูรแห่งนั้นคือมดนางพญาที่อยู่ระดับมายาขั้นที่ 10
“อาจารย์…”หลังจากถามทางเสร็จหลินเฟยก็เตรียมเดินทางทันทีเพราะปรสิตในตัวจักรพรรดินั้นฟักเป็นตัวและเริ่มบังคับร่างให้หาอาหารแล้ว หากปล่อยมันหิวแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆมันอาจจะกัดกินร่างของจักรพรรดิเพื่อสารอาหารแน่ๆ แต่ยังไม่ทันได้เดินออกไปจากห้องของเจ้าสำนักฟงเป่าก็เรียกหลินเฟยเอาไว้ก่อน
“จริงๆแล้วข้ามีคู่หมั้นอยู่ที่เมืองซาโถวขอรับ ถ้าอาจารย์มีเวลาว่างที่ตระกูลติง…..”ฟงเป่าทำท่าขอร้องหลินเฟยด้วยท่าทีกล้าๆกลัวๆเช่นเดิม พอเป็นเรื่องอื่นแล้วความเด็ดเดี่ยวของฟงเป่าดันหายไปหมดเสียอย่างนั้นทำให้หลินเฟยที่มองอยู่ได้แต่อมยิ้มบางๆ
“เข้าใจแล้ว ข้าจะไปดูให้ว่าคู่หมั้นของเจ้ายังปลอดภัยดีหรือเปล่า”หลินเฟยตอบพลางเดินออกจากประตูไป เป้าหมายต่อไปของหลินเฟยก็คือการเดินทางไปเมืองซาโถวและลงไปยังเขตอสูรโพรงมรณะเพื่อนำสมุนไพรที่ต้องการกลับมารักษาองค์จักรพรรดิ และเพื่อทำสิ่งที่จะมอบให้ฟงเป่าอีกด้วย
.
.
.
“ขอบใจเจ้ามากเลยนะฟงเป่าที่มาช่วยแบบนี้”หลังจากฝึกฝนวิชาอย่างหนักมาหลายวัน ฟงเป่ากับสองสาวก็เดินออกมาเที่ยวกันในตลาดหลังจากหนี่หลิงหนานไปรับปากอาวุโสประจำห้องยาว่าจะไปซื้อสมุนไพรที่ต้องการมาให้ แต่พอได้รับรายการสมุนไพรมาแล้วตัวนางกลับไม่ทราบว่าสมุนไพรในรายการคืออะไรรูปร่างหน้าตาแบบไหนเสียอย่างนั้น ทำให้ฟงเป่าเสนอตัวออกมาช่วยเพราะตนเองมีดวงตาที่สามารถตรวจสอบสิ่งของต่างๆได้ ส่วนเซี่ยจินเย่นั้นว่างเลยขอตามมาด้วย
“ไม่เป็นไรหรอก ข้าถนัดงานแบบนี้อยู่แล้ว”ฟงเป่าตอบด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม อีกฝ่ายเป็นศิษย์ร่วมสำนักแถมยังเป็นศิษย์ของเจ้าสำนักเหมือนกันอีกจะไม่ช่วยได้อย่างไร
“พี่หลิงหนาน…ดูนั่นสิตรงนั้นมีหวีสวยๆขายด้วย”ระหว่างกำลังเดินกลับสำนักอยู่ๆเซี่ยจินเย่ก็สะดุดตาเข้ากับร้านขายของใช้เล็กๆน้อยๆของผู้หญิงเข้าพลางชักชวนหนี่หลิงหนานเข้าไปดูสินค้า หลายวันมานี้ทั้งสามฝึกฝนวิชาอยู่ในลานฝึกของเจ้าสำนักตลอด ทำให้เริ่มสนิทสนมกันมากขึ้น อย่างหนี่หลิงหนานและเซี่ยจินเย่ที่เป็นหญิงเหมือนกันไม่ทราบเรียกชื่อกันสั้นๆตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่ทราบ
“น้องเย่ เรามาซื้อของให้สำนักนะอย่าเถลไถลสิ”หนี่หลิงหนานว่าพลางเดินตามเซี่ยจินเย่ไปด้วยท่าทีดุๆ พอสอบถามอายุกันแล้วดูเหมือนหนี่หลิงหนานจะอายุมากสุดในกลุ่มพวกตน โดยฟงเป่าและเซี่ยจินเย่อายุเท่ากัน ทั้งฟงเป่าและเซี่ยจินเย่จึงเริ่มเรียกหนี่หลิงหนานว่าพี่กันแล้ว
“แต่ข้าว่าอันนี้เหมาะกับท่านดีนะ”เซี่ยจินเย่ยิ้มโดยไม่สนใจคำเตือนของหนี่หลิงหนาน แต่พอพูดแบบนั้นออกไปหนี่หลิงหนานก็เหลือบตามาดูเครื่องประดับหยกที่เซี่ยจินเย่เอาออกมาให้ดู พอเห็นว่ามันสวยดีนางก็เลยเผลอเดินเข้าไปดูกับเซี่ยจินเย่ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่ทราบ
“ฮะๆ….”ฟงเป่าเห็นทั้งสองเริ่มช่วยกันเลือกเครื่องประดับแล้วก็หัวเราะออกมาด้วยท่าทีช่วยไม่ได้ อย่างน้อยสมุนไพรที่ซื้อมาก็ใส่เอาไว้ในแหวนมิติของท่านอาวุโสแล้ว ฟงเป่าแค่ยืนรอเฉยๆไม่ต้องแบกอะไร
.
.
“ศิษย์พี่ นั่นมันศิษย์สำนักเหยี่ยวทะเลทรายไม่ใช่หรือ”ระหว่างพวกฟงเป่ากับแวะซื้อของ ชายคนหนึ่งที่นั่งอยู่ในร้านอาหารก็เอ่ยปากพูดกับสหายของตนที่มานั่งกินอาหารกันกว่า 4 คน
“จริงด้วยพี่ใหญ่ ที่เอวนั่นป้ายไม้ของสำนักเหยี่ยวทะเลทรายจริงๆ เจ้าพวกนั้นรับศิษย์หญิงกันจริงๆด้วย”ชายอีกคนพูดพลางหัวเราะออกมาอย่างช่วยไม่ได้ แม้ระดับพลังของทั้งสามจะนับว่าดี แต่ก็ไม่ถึงกับโดดเด่นมากสำหรับเหล่าผู้อยู่ในสำนักฝึกฝนพลังวิญญาณแล้ว
“ท่านอาวุโสบอกว่าสำนักเหยี่ยวทะเลทรายมีแต่ศิษย์ใหม่ไม่รู้มารยาท พวกเราไปสอนมารยาทพวกมันหน่อย”ชายร่างใหญ่ที่เหมือนจะเป็นศิษย์พี่ใหญ่ของอีก 3 คนพูดพลางจ้องมองไปยังกลุ่มของฟงเป่าด้วยท่าทีสบายๆ กลุ่มคนที่พูดคุยกันอยู่นี้คือคนของสำนักหมู่ดาวนั่นเอง
“ข้าไปเอง”ชายคนหนึ่งพูดพลางลุกขึ้นยืนแล้วเดินเข้าไปหากลุ่มของฟงเป่าในทันที คนกลุ่มนี้ไม่ใช่กลุ่มศิษย์รุ่นใหม่เหมือนฟงเป่าแต่เป็นศิษย์ภายในที่ฝึกฝนกับสำนักหมู่ดาวมาตั้งแต่เด็ก ทำให้พลังของชายผู้นี้อยู่ระดับสูงกว่าหนี่หลิงหนานที่อยู่ระดับชำระวิญญาณเสียอีก
“พวกเจ้า…คนของสำนักเหยี่ยวทะเลทรายสินะ”ชายคนนั้นมาถึงกลุ่มของฟงเป่าก็ไม่พูดพร่ำทำเพลงเข้าไปถามหนี่หลิงหนานเป็นคนแรกทันที
“เจ้าค่ะ พวกข้าเป็นคนของสำนักเหยี่ยวทะเลทราย พี่ชายท่านนี้มีเรื่องอะไรงั้นหรือเจ้าคะ”หนี่หลิงหนานถามพลางยิ้มด้วยท่าทีเป็นมิตร
“พวกเจ้าก้มกราบข้าซะแล้วค่อยไป”คำแรกก็หาเรื่องเข้าให้แล้ว อยู่ๆมาสั่งให้ก้มกราบแบบนี้ทำเอาหน้าของหนี่หลิงหนานที่ยิ้มแย้มอยู่เปลี่ยนเป็นบึ้งตึงไปทันที
“ทำไมพวกเราต้องก้มกราบเจ้าด้วย”หนี่หลิงหนานถามพลางมองอีกฝ่ายด้วยท่าทีไม่พอใจ
“ง่ายๆ สำนักหมู่ดาวของข้าอยู่อันดับ 5 ส่วนสำนักของพวกเจ้าอยู่ลำดับ 9 พวกเราสูงกว่าพวกเจ้าก็ต้องเคารพพวกเรา”ชายคนนั้นตอบพลางยิ้มออกมาด้วยท่าทางน่าเกลียดทำให้หนี่หลิงหนานไม่คิดจะเชื่ออยู่แล้ว
“ลำดับของสำนักวัดกันที่ความเก่งกาจ สำนักพวกท่านตำแหน่งสูงกว่าก็ไม่เกี่ยวกับการก้มกราบนี่เจ้าคะ”หนี่หลิงหนานตอบพลางหันหลังเดินกลับไปหาฟงเป่า นางทราบว่าคนพวกนี้คือคนของสำนักฝึกฝนวิชาอื่นแน่ๆจากชุดที่มันใส่ แต่หนี่หลิงหนานพึ่งเดินทางมาเมืองหลวงเลยไม่ทราบว่าเครื่องแบบของชายคนนั้นคือสำนักใด แต่ต่อให้เป็นสำนักอันดับ 1ก็ไม่สมควรเดินมาสั่งให้ศิษย์สำนักอื่นก้มกราบง่ายๆเช่นนี้
“น้องเย่ ฟงเป่าเรากลับกันเถอะ”หนี่หลิงหนานว่าพลางพาเซี่ยจินเย่เดินออกจากร้านไปด้วยท่าทางเสียดาย อุตส่าห์เจอเครื่องประดับถูกใจแล้วแท้ๆยังไม่ทันถามราคาจากเจ้าของร้านเลย
“เดี๋ยวสิแม่หนู ข้าบอกให้เจ้า….”ชายคนนั้นตรงเข้ามาหมายจะจับตัวเซี่ยจินเย่ที่อยู่รั้งท้ายสุด แต่ยังไม่ทันแตะโดนตัวเซี่ยจินเย่ อยู่ๆชายคนนั้นก็เห็นภาพเหมือนมือของตนเองย้อนกลับมาเสียอย่างนั้น แถมร่างของมันยังเสียหลักจนเซล้มไปกับพื้นอีกต่างหาก กว่าจะรู้ตัวอีกทีชายคนนั้นก็ล้มลงไปนอนกับพื้นเสียแล้ว
“โชคดีนะที่น้องเย่เป็นคนใจดี ไม่อย่างนั้นเจ้าไม่ได้นอนสบายแบบนี้หรอก”หนี่หลิงหนานพูดพลางยิ้มเยาะออกมาด้วยท่าทีสะใจ เมื่อครู่เซี่ยจินเย่เพียงจับอีกฝ่ายเหวี่ยงลงไปนอนกับพื้นเบาๆเท่านั้น หากนางเอาจริงชายคนนั้นได้หมดสติแน่ๆ