บุตรอสูรบรรพกาล - ตอนที่ 617 ตั้งกลุ่ม
ตอนที่ 617
ตั้งกลุ่ม
“ผานซู ถ้าเจ้าเข้าไปในเขตอสูรจะรอดหรือเปล่า”หลินเฟยขณะนั่งเขียนอะไรบางอย่างลงในกระดาษมาได้พักใหญ่แล้ว
“ถ้าแค่รอบนอกก็พอไหวขอรับ แต่ถ้าต้องเข้าไปด้านในละก็ข้าคงไม่สามารถทำได้”ผานซูที่ช่วยหลินเฟยอยู่ข้างๆตอบ แต่ถึงจะบอกว่าช่วยแต่ก็แค่คอยใช้พลังธาตุไฟทำให้หมึกแห้งและจัดเรียงหน้ากระดาษที่หลินเฟยเขียนเสร็จแล้วเท่านั้น
“แล้ว ถ้าเจออสูรที่มีรูปร่างเหมือนปูเจ้าจะโจมตีตรงไหนก่อน”หลินเฟยถามอีกครั้งโดยที่มือก็ยังเขียนออกไปเรื่อยๆไม่หยุด
“คง….ที่หัวขอรับ”ผานซูตอบพลางกะพริบตาปริบๆ มันไม่เคยเห็นอสูรรูปแบบปูเสียด้วยสิ
“ท่าทางคงจะอีกนานสินะ”หลินเฟยถอนหายใจออกมาพลางวางพู่กันลง หลินเฟยคิดว่าจะสอนให้เหล่าศิษย์ที่สนใจเกี่ยวกับการล่าอสูร แต่ความรู้เกี่ยวกับอสูรและเขตอสูรนั้นมีมากเกินไป แม้หลินเฟยจะเขียนหนังสือได้เร็วมาก แต่หลินเฟยคนเดียวต้องเขียนตำราในหอตำราของกลุ่มนักล่าอสูรขึ้นมาใหม่ทั้งหมดก็ต้องใช้เวลานาน แถมกว่าจะฝึกให้เหล่าศิษย์รวมถึงเหล่าอาจารย์ให้เข้าใจเหล่าอสูรมากขึ้นก็เป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลาอีกหลายปีกว่าจะสร้างกลุ่มนักล่าอสูรขึ้นมาได้ แถมการจะเป็นนักล่าอสูรก็ต้องหลอมรวมกับแก่นอสูรเสียก่อน ทำให้ยาผสานแก่นอสูรไม่พอใช้งาน ของที่หลินเฟยหามาได้ก่อนหน้านี้สามารถสร้างยาได้อีก 12 เม็ดเท่านั้น นั่นก็หมายความว่าครึ่งอสูรที่สามารถสร้างได้ทันทีนั้นมีเพียง 13 คนเท่านั้นเมื่อนับรวมฟงเป่าแล้ว ไหนจะข้อมูลของอสูรในพื้นที่อาณาจักรซานอีก กว่าจะรวบรวมมาได้คงใช้เวลานานทีเดียว
“ผานซู เอาตำราเหล่านี้ไปคัดลอกเป็น 13 ชุดซะ และคัดเลือกศิษย์มีฝีมือมาอีก 10 คน”หลินเฟยสั่งผานซูก่อนจะถอนหายใจออกมา ตอนนี้คงต้องให้ศิษย์มีฝีมือนำร่องไปก่อน ขั้นแรกก็ต้องรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับเขตอสูรในอาณาจักรซานเท่าที่ทำได้ แล้วค่อยๆฝึกสอนศิษย์รุ่นใหม่ขึ้นมา แบบนั้นคงสามารถหางานให้สำนักเหยี่ยวทะเลทรายได้ในระยะยาว แต่…. นั่นเท่ากับว่างานของสำนักเหยี่ยวทะเลทรายจะอยู่ในสภาพซบเซาเช่นนี้ไปจนกว่าจะมีใครทำอะไรสักอย่าง
“ผานซู เจ้าเป็นรองเจ้าสำนักมานาน คิดว่าจะทำให้งานของเราเพิ่มขึ้นได้อย่างไร”หลินเฟยถามพลางมองออกไปนอกหน้าต่าง จวนของเจ้าสำนักนั้นตั้งอยู่บนเนินสูงกว่าสำนักโดยรอบ ทำให้หลินเฟยสามารถมองข้ามกำแพงจากชั้นสองไปยังสำนักเบื้องล่างได้ทั้งหมด ยามนี้ทั้งศิษย์ใหม่ศิษย์เก่ากำลังฝึกฝนกันอย่างขยันขันแข็ง เหล่าศิษย์เก่าต่างเป็นผู้อยู่รอดจากเหตุการณ์ขับไล่คนของเจ้าสำนักคนเก่าทำให้กำลังใจของทุกคนดีมาก เพราะยามนี้ทุกคนต่างรู้สึกว่าสำนักในตอนนี้คือสำนักที่พวกตนสู้เพื่อให้ได้มา แถมยังได้วิชาใหม่ที่น่าเหลือเชื่อมาอีกด้วย เหล่าศิษย์เก่าที่ตอนนี้เป็นศิษย์ภายในทำตัวราวกับเด็กที่พึ่งได้ของเล่นใหม่ พวกมันฝึกลืมวันลืมคืนจนเหล่าอาวุโสต้องลงมาห้ามและให้หยุดพักบ้างเลยทีเดียว
ส่วนเด็กใหม่นั้นส่วนใหญ่เป็นศิษย์หญิงที่รีบมาสมัครสำนักเหยี่ยวทะเลทรายทันที ทำให้พวกนางตั้งใจมากเพราะการที่สำนักเหยี่ยวทะเลทรายเปิดรับศิษย์หญิงก็เหมือนเป็นการมอบโอกาสให้พวกนาง ส่วนศิษย์ชายพออยู่ในกลุ่มคนที่กำลังพยายามกันอย่างเต็มที่ก็พากันขยันตามไปด้วย หลายวันที่ผ่านมานี้เหล่าศิษย์สำนักเหยี่ยวทะเลทรายจึงแทบจะอยู่ฝึกฝนกันตลอดเลยก็ว่าได้
“ชื่อเสียงของเราจะถูกพูดถึงปากต่อปากหลังจากรับงานขอรับ พักหลังมานี้มีผู้จ้างหลายคนทีเดียวบอกว่าสำนักของเรามีแต่คนฝีมือดี ทำให้การจ้างงานเพิ่มขึ้นเล็กน้อยขอรับ”ผานซูตอบด้วยท่าทียินดี
“แต่ก็ยังไม่มีใครจ้างศิษย์หญิงสินะ”หลินเฟยเองก็อ่านรายงานมาแล้ว ศิษย์ใหม่เองก็ไม่ใช่ว่าจะไม่สามารถทำงานให้สำนักได้ หากเป็นงานง่ายๆบางครั้งก็จะให้ศิษย์ใหม่ร่วมทำงานกับศิษย์รุ่นพี่ได้ แต่ในรายงานที่ส่งมาไม่มีใครจ้างกลุ่มที่มีศิษย์ใหม่ผู้หญิงไปทำงานเลยทั้งๆที่กลุ่มที่มีแต่ศิษย์ใหม่ผู้ชายมีการว่าจ้างแท้ๆ
“เรื่องนั้น….”ผานซูก้มหน้าลงเล็กน้อยด้วยท่าทีลำบากใจ ตนเองก็ทำอะไรเรื่องนี้ไม่ได้เหมือนกัน แม้จะให้เหล่าศิษย์หญิงเข้าไปร่วมกลุ่มกับศิษย์รุ่นพี่ที่มีความสามารถน่าเชื่อถือแล้วก็ตาม แต่เหล่าผู้ว่าจ้างต่างก็คิดว่าพวกนางจะมาถ่วงและทำให้เสียงานและเลือกกลุ่มอื่นแทนทุกครั้ง
“ถ้ามีการประลองอย่างที่ท่านจิ๋นจี้หลงเคยจัดก็ดีสิ”หลินเฟยส่ายหน้าช้าๆด้วยท่าทีเหนื่อยใจ การเปลี่ยนแปลงความคิดคนอื่นนี้มันยากจริงๆ
“การประลองหรือขอรับ หรือว่าท่านเจ้าสำนักจะส่งศิษย์หญิงลงประลองเพื่อแสดงฝีมือ”ผานซูได้ยินหลินเฟยถามถึงการประลองก็พอจะเดาแผนของหลินเฟยออก การส่งศิษย์ร่วมการประลองก็ถือเป็นทางหนึ่งในการเพิ่มชื่อเสียงของสำนักเช่นกัน
“ใช่ หรือว่าเจ้าไม่เห็นด้วย”หลินเฟยถามพลางเลิกคิ้วด้วยท่าทีประหลาดใจ นึกว่าผานซูจะเปิดใจแล้วเสียอีก
“ข้าเข้าใจว่าท่านเจ้าสำนักต้องการจะให้พวกนางได้รับการยอมรับ แต่ศิษย์หญิงของเรายังแข็งแกร่งไม่พอขอรับ การประลองที่ใกล้ที่สุดที่เราจะเข้าร่วมได้คือการประลองของเมืองหลิงชวนในอีก 2 แต่เหล่าผู้ลงประลองต่างเป็นศิษย์มากฝีมือของสำนักต่างๆทั้งนั้นขอรับ เกรงว่าการส่งศิษย์ใหม่เข้าประลองจะไม่ดีนัก”ผานซูตอบด้วยท่าทีกังวล แม้จะได้วิชาชั้นดีของหลินเฟยไป แต่พวกนางก็ยังเป็นเพียงผู้เริ่มต้นเท่านั้น ส่วนใหญ่ยังไม่ถึงขั้นหลอมรวมวิญญาณเสียด้วยซ้ำ
“ไม่เป็นไร แค่ส่งหนี่หลิงหนานกับเซี่ยจินเย่ลงประลองเพื่อแสดงฝีมือก็พอ”หลินเฟยตอบพลางยิ้มบางๆออกมา
“ถึงพวกนางจะอยู่ระดับชำระเส้นเอ็นกับชำระวิญญาณแล้วก็เถอะ แต่ศิษย์ที่ลงประลองส่วนใหญ่คือศิษย์ระดับเหรินเซียนเลยนะขอรับ”ผานซูทำหน้าสงสัยขึ้นมาทันที ถึงพวกนางจะเป็นศิษย์ของเจ้าสำนัก แต่พวกนางก็คือศิษย์ใหม่อยู่ดีไม่ใช่หรือ แบบนั้นพวกนางจะไหวหรือเปล่านะ…
“ข้าพอมีทางอยู่”หลินเฟยยิ้มออกมาพลางบอกให้ผานซูรีบไปคัดเลือกศิษย์ 10 คนตามที่สั่งก่อนหน้านี้มาให้ไวที่สุด
.
.
.
“เขตอสูร…..”เมื่อสั่งผานซูเสร็จหลินเฟยก็ออกมาหาพวกฟงเป่าในทันที แน่นอนว่าการเพิ่มระดับขั้นการฝึกฝนพลังวิญญาณนั้นมีมากมายหลายวิธี โดยวิธีที่ง่ายและไวที่สุดนั้นก็คือการใช้ตำราเทพประสานของสำนักเทพประสาน แต่ตำราเหล่านั้นหลินเฟยไม่ได้เรียนรู้มา เพราะตระกูลไป๋ตกลงที่จะปิดเรื่องวิชานี้ให้เป็นความลับของสำนักเทพจุติเท่านั้น แต่ก็ไม่ใช่ว่าหลินเฟยจะใช้วิธีอื่นไม่ได้
“ข้าจะสอนให้พวกเจ้าเข้าไปหาสมุนไพรในเขตอสูร และสร้างยาที่จะทำให้พวกเจ้าแข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็ว”หลินเฟยตอบพลางยิ้มออกมาด้วยท่าทีอ่อนโยน
“แต่ว่า อสูรน่ากลัวมากเลยนะเจ้าคะ พวกเราจะไหวงั้นหรือ”หนี่หลิงหนานถามด้วยท่าทีตกใจ สำหรับชาวอาณาจักรซานแล้วเขตอสูรนั้นเป็นสถานที่ลึกลับที่คนธรรมดาไม่อาจเข้าไปแล้วจะกลับออกมาได้เลย
“เจ้าว่าใครน่ากลัวไม่ทราบ”หมิงมิ่งถามพลางค้อนสายตามาทางหนี่หลิงหนาน แต่ก็นะหมิงมิ่งตนนี้ไม่ว่ามองมุมไหนก็ไม่มีความน่ากลัวเลยแม้แต่น้อย
“แล้วข้าก็อยากจะเปลี่ยนพวกเจ้าเป็นครึ่งอสูรด้วย พวกเจ้าจะยอมหรือไม่”อยู่ๆหลินเฟยก็เอ่ยถามคำถามเรื่องการเปลี่ยนเป็นครึ่งอสูรขึ้นมาเสียอย่างนั้น ทำเอาสองสาวเอียงคอกันไปคนละทางแล้วมองมาทางหลินเฟยด้วยท่าทีงุนงงทันที
“ข้าตั้งใจจะก่อตั้งกลุ่มนักล่าอสูรขึ้นมา แต่การจะเข้าไปในเขตอสูรพวกเจ้าต้องมีความสามารถตรวจจับพลังอสูรได้เสียก่อน โดยข้าจะให้พวกเจ้ากินแก่นอสูรเข้าไปแล้วหลอมรวมพลังอสูรเข้าร่างของพวกเจ้าเสีย”หลินเฟยว่าพลางชี้ไปที่หมิงมิ่งด้วยมือข้างหนึ่งแล้วชี้ไปที่หนี่หลิงหนานด้วยมือข้างหนึ่ง ก่อนจะลากนิ้วที่ชี้ทั้งสองกลับมาประกบกันตรงกลาง
“เอ๊ะ กลืนแก่นอสูร แบบนั้นพวกข้าจะไม่กลายเป็นตัวน่าเกลียดน่ากลัวหรือเจ้าคะ”หนี่หลิงหนานถามด้วยท่าทีตกใจ เล่นเอานึกถึงภาพฟงเป่าเมื่อวันก่อนขึ้นมาเลย
“โดยส่วนใหญ่แล้วก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปหรอก อย่างฟงเป่ากับข้าไงล่ะ”หลินเฟยตัดสินใจให้ฟงเป่าเป็นตัวอย่างการเปลี่ยนแปลงที่ชัดที่สุด เพราะหลินเฟยนั้นมีพลังอสูรติดตัวมาตั้งแต่เกิดเลยบอกไม่ได้ว่าก่อนหลังเป็นอย่างไร
“ฟงเป่า?”ทั้งสองสามมองไปทางฟงเป่าด้วยท่าทีประหลาดใจ โดยเฉพาะหนี่หลิงหนานที่พึ่งโดนฟงเป่าทำลายกระบี่มาหมาดๆ
“หรือว่าที่พักนี้เจ้าแรงเยอะขึ้นก็….”หนี่หลิงหนานถามด้วยท่าทีข้องใจ หลายวันมานี้นางฝึกกับฟงเป่าหลังจากได้กระบี่ใหม่มาจากคลังของสำนัก แต่ถึงไม่นับรวมวิชากระบี่แสงอรุณที่ฟงเป่าได้เรียนหนี่หลิงหนานก็ยังรู้สึกตกใจอยู่ดี เพราะนางที่พลังวิญญาณมากกว่าเกือบระดับหนึ่งกลับเป็นฝ่ายแพ้กำลังฟงเป่าเสียอย่างนั้น ตอนแรกนึกว่าเพราะฟงเป่าเป็นผู้ชายเสียอีก
“ขอรับ น่าจะเป็นเช่นนั้น”ฟงเป่าตอบพลางยิ้มเจื่อนๆออกมา มันไม่กล้าบอกทั้งสองเพราะนึกว่าอาจารย์จะเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ แต่อาจารย์ดันบอกออกมาเสียเองแล้วมันจะปิดเป็นความลับไปทำไมกันเล่า
“เช่นนั้นข้าเองก็อยากแข็งแกร่งขึ้นด้วย”หนี่หลิงหนานตอบพลางยกมือขึ้นด้วยท่าทีกระตือรือร้น ทำให้หลินเฟยพยักหน้าช้าๆด้วยท่าทีพึงพอใจ
“แล้วเจ้าล่ะเซี่ยจินเย่”หลินเฟยถามพลางมองไปทางเซี่ยจินเย่ที่ไม่ได้พูดอะไรออกมาเลย นางนั่งยิ้มแล้วก็มองหนี่หลิงหนานออกท่าทางต่างๆด้วยท่าทีสนุกสนานราวกับมารดากำลังมองลูกๆเล่นสนุกไม่มีผิด
“ข้าเองก็อยากลองดูเจ้าค่ะ”เซี่ยจินเย่ตอบด้วยท่าทีอ่อนหวานพลางยิ้มให้หลินเฟยอย่างน่าเอ็นดู นางดูสบายๆมากเลยทีเดียว
“ดี อีก 1 อาทิตย์ข้าพาพวกเจ้าไปที่เขตอสูร ระหว่างนั้นข้าจะให้วิธีรับมือกับอสูรและการลอบเข้าเขตอสูรกับพวกเจ้า ตั้งใจศึกษาเข้าล่ะ”หลินเฟยว่าพลางมองศิษย์ทั้งสามด้วยท่าทีคาดหวัง
“ขอรับ/เจ้าค่ะ”ทั้งสามคนตอบรับอย่างยินดี ทุกคนต่างก็อยากจะแข็งแกร่งขึ้นกันทั้งนั้นไม่อย่างนั้นคงไม่มาเข้าสำนักแต่แรกหรอก
“จริงสิ หนี่หลิงหนาน เซี่ยจินเย่ อีก 2 เดือนข้าจะให้พวกเจ้าลงประลองที่เมืองหลิงชวน เตรียมตัวให้พร้อมล่ะ”พอหมดเรื่องการล่าอสูรไปแล้ว หลินเฟยก็แจ้งเรื่องการประลองที่จะมาถึงในทันที เพราะหลินเฟยต้องการสร้างชื่อเสียงให้กับเหล่าศิษย์หญิงในสำนักนั่นเอง
“เมืองหลิงชวน…..หรือว่าท่านเจ้าสำนักจะหมายถึงการประลองที่สำนักเกราะทองจัดขึ้นทุกปี”หนี่หลิงหนานถามพลางกะพริบตาปริบๆด้วยท่าทีสงสัย
“ใช่ เจ้ารู้จักงั้นหรือ”หลินเฟยถามกลับด้วยท่าทีสงสัยเช่นกัน ตัวหลินเฟยยังไม่ทราบเลยว่าใครเป็นคนจัดการ แต่หนี่หลิงหนานกลับรู้เสียอย่างนั้น
“เมืองนั้น….เป็นเมืองบ้านเกิดของข้าเจ้าค่ะ”หนี่หลิงหนานตอบด้วยท่าทีกังวล จริงสินางเคยบอกว่ามีความแค้นที่นั่นนี่นา