บุตรอสูรบรรพกาล - ตอนที่ 642 ไม่รับงาน
ตอนที่ 642
ไม่รับงาน
“ขอโทษด้วยเจ้าค่ะ พอดีสำนักเราไม่เคยมีแขกมาก่อน”เจ้าสำนักพิณอินพอทราบว่าหนี่หลิงหนานมาพบตนเองก็มีท่าทีลุกลนอย่างมากก่อนจะให้ศิษย์ของตนรีบจัดโต๊ะและน้ำชาอย่างรีบด่วน เห็นได้ชัดเลยว่าสำนักนี้แทบไม่เคยได้รับแขกเลย
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ”หนี่หลิงหนานยิ้มเจื่อนๆออกมาก่อนจะนั่งลงที่เก้าอี้ตรงข้ามท่านเจ้าสำนักโดยมีฟงเป่าเดินมานั่งข้างๆด้วยท่าทีงงๆเพราะเก้าอี้ที่ศิษย์ในสำนักนำมานั้นไม่เหมือนกันสักตัว แถมไม่เข้ากับโต๊ะเลยสักนิดทำเอาฟงเป่าที่ต้องนั่งเก้าอี้ที่เตี้ยกว่าปกติชะงักไปนิดหน่อย
“ท่านเจ้าสำนักเรื่องเมื่อครู่….”หนี่หลิงหนานถามพลางมองกลับไปที่หน้าประตูสำนัก ตอนนี้เจ้าสำนักภูผาออกไปแล้วคงสามารถถามได้โดยไม่ต้องกังวลอะไร
“ช่างน่าอายจริงๆ สำนักเราเป็นสำนักเล็กๆไม่มีงานมาจุนเจือสำนักเลย พวกเราก็เลยต้องรับงานของสำนักภูผาอย่างเลี่ยงไม่ได้”เจ้าสำนักพิณอินตอบด้วยท่าทีเจ็บใจ เมื่อครู่หนี่หลิงหนานเองก็ได้ยินแล้วว่าพวกสำนักภูผาจ้างสำนักพิณอินให้ไปเต้นรำในงานฉลอง งานนั้นไม่เหมือนงานที่จะจ้างสำนักยุทธเลย
หากถามว่าทำไมเจ้าสำนักพิณอินไม่ปฏิเสธไป เพียงมองสภาพสำนักหนี่หลิงหนานก็ทราบได้ไม่ยาก สำนักพิณอินยามนี้นั้นมีแต่ร่องรอยความเสียหาย หลังคา ผนัง พื้น ไม่มีตรงไหนที่สมบูรณ์เลย แม้จะเป็นผู้ฝึกฝนพลังวิญญาณแต่ของพวกนี้ก็ต้องซ่อมแซมด้วยเงินอยู่ดี แถมสำนักพิณอินยังเป็นสำนักหญิงล้วน การหาคนจ้างต้องลำบากแน่ๆเพราะแม้แต่สำนักเหยี่ยวทะเลทรายที่มีตำแหน่งเป็นหลักประกันอยู่แล้วยังหางานให้ศิษย์หญิงได้ลำบากมากเลย
“เช่นนั้นทำไมไม่ปฏิเสธไปล่ะเจ้าคะ”หนี่หลิงหนานถามพลางยิ้มออกมาบางๆ
“ข้าเองก็อยากจะปฏิเสธ พวกเราสร้างสำนักนี้ขึ้นมาก็เพื่อให้พวกเราเหล่าสตรีได้ฝึกฝนพลังวิญญาณแท้ๆ”เจ้าสำนักพิณอินตอบด้วยท่าทีเศร้าๆ เพราะงานส่วนใหญ่ที่สำนักภูผาจ้างก็เป็นงานอย่างการเก็บกวาดหรืองานแสดงเท่านั้น พวกมันทำเหมือนสำนักพิณอินเป็นโรงระบำเสียอย่างนั้น
“แต่…..”เจ้าสำนักพิณอินว่าพลางมองไปรอบๆสำนัก หากไม่มีเงินสำนักก็ไปต่อไม่ได้ แม้จะต้องฝืนใจเหล่าศิษย์สำนักพิณอินต่างก็ต้องยอมไปทำงานไม่สมกับเป็นผู้ฝึกฝนพลังวิญญาณอย่างเลี่ยงไม่ได้อยู่ดี
“ถ้าข้าบอกว่าท่านสามารถปฏิเสธได้ล่ะเจ้าคะ”หนี่หลิงหนานพูดจบก็นำกล่องไม้ใบหนึ่งออกมาจากมิติของตนเอง กล่องที่นางนำออกมานั้นมีขนาดใหญ่จนไม่อาจวางบนโต๊ะได้เลย
“นี่มัน…..”เจ้าสำนักพิณอินมองกล่องที่หนี่หลิงหนานเอาออกมาวางบนโต๊ะข้างๆด้วยท่างุนงง อยู่ๆนี่หลิงหนานก็นำมันออกมาหมายความว่าไงกัน
“ข้ามาเป็นตัวแทนท่านเจ้าสำนักเหยี่ยวทะเลทรายเพื่อมาขอให้สำนักพิณอินของท่านเข้าเป็นสำนักย่อยของสำนักเหยี่ยวทะเลทรายเจ้าค่ะ หากท่านตกลงของในกล่องนี้ก็เป็นเบี้ยเลี้ยงที่สำนักท่านจะได้รับ”หนี่หลิงหนานตอบพลางเปิดกล่องออกช้าๆ ภายในกล่องนั้นมีเงินจำนวนหนึ่ง แม้จะไม่มากแต่แค่ค่าซ่อมแซมสำนักย่อมเหลือเฟืออยู่แล้ว นอกจากนี้ยังมีตำราวิชาที่หลินเฟยเลือกมาให้อีกต่างหาก แถมยังมียาสำหรับช่วยฝึกฝนพลังวิญญาณอีกต่างหาก นับว่าเบี้ยเลี้ยงคราวนี้น่าดึงดูดใจมากสำหรับสำนักเล็กๆที่แค่ค่าซ่อมบำรุงสำนักยังหาไม่ได้
“สำนักเหยี่ยวทะเลทราย….สำนักเหยี่ยวทะเลทรายรับศิษย์หญิงด้วยงั้นหรือ”แต่แทนที่จะตกใจกับของในกล่อง เจ้าสำนักพิณอินกลับมองไปทางหนี่หลิงหนานพลางเพ่งมองชุดของนางอย่างตั้งใจอีกครั้ง เท่าที่ได้ยินมาสำนักเหยี่ยวทะเลทรายนั้นเป็นสำนักอันดับ 9 นับว่าเป็นสำนักใหญ่ที่สุดที่รับศิษย์หญิงเลยนี่นา
“ท่านเจ้าสำนักตั้งแต่เข้ามารับตำแหน่งก็เปิดรับศิษย์หญิงในทันที ท่านเชื่อว่าแม้จะเป็นหญิงก็สามารถฝึกฝนได้ไม่ต่างจากผู้ชายเจ้าค่ะ”หนี่หลิงหนานตอบพร้อมรอยยิ้ม ยิ่งได้เห็นเจ้าสำนักพิณอินมีใบหน้าที่ตกใจปนดีใจเช่นนี้ก็ทราบได้ทันทีว่าในใจนางคิดอะไรอยู่ เพราะหนี่หลิงหนานก็มีสีหน้าเช่นนี้เช่นกันตอนทราบว่าสำนักเหยี่ยวทะเลทรายเปิดรับศิษย์หญิง
“แม้แต่วิชาฝึกฝนพลังวิญญาณเองก็มีงั้นหรือ”คราวนี้เจ้าสำนักพิณอินกลับมาสนใจเรื่องตำราภายในกล่องเสียที สำนักของพวกนางนั้นเป็นสำนักที่รวบรวมหญิงสาวที่ต้องการฝึกฝนพลังวิญญาณเอาไว้ด้วยกัน ทำให้ในสำนักไม่มีเคล็ดวิชาฝึกฝน มีแต่ช่วยเหลือกันฝึกฝนไปตามธรรมชาติเท่านั้น และนั่นทำให้พลังฝีมือของพวกนางพัฒนาได้ช้ามากจนโดนสำนักภูผากดขี่อยู่แบบนี้
“ท่านเจ้าสำนัก ท่านจะตกลงเป็นสำนักย่อยของสำนักเหยี่ยวทะเลทรายหรือไม่”หนี่หลิงหนานยิ้มอย่างกับแม่ค้าที่กำลังหว่านล้อมลูกค้าของตัวเองจนเคลิ้มตาม แน่นอนว่าสำนักพิณอินนอกจากจะไม่เสียอะไรแล้วยังได้รับผลประโยชน์มากมายอีกต่างหาก
“นะ แน่นอน….หากสำนักเหยี่ยวทะเลทรายเห็นค่าสำนักเล็กๆของเราขนาดนั้นล่ะก็”เจ้าสำนักพิณอินพยักหน้าช้าๆด้วยท่าทียินดี หากมีเงินช่วยเหลือรวมถึงวิชาฝึกฝนพลังวิญญาณเหล่านี้ละก็สำนักพิณอินต้องสามารถยิ่งใหญ่ขึ้นได้แน่ๆ
“เช่นนั้นข้าจะไปบอกสำนักภูผาว่าสำนักพิณอินไม่รับงานของพวกมันแล้วนะเจ้าคะ”หนี่หลิงหนานลุกขึ้นพลางทำท่าจะเดินออกจากสำนักไป
“ไม่ได้นะเจ้าคะ สำนักภูผาเป็นสำนักอันดับ 1 ของอาณาจักรซาน ทำแบบนั้นพวกท่านจะลำบากเอานะเจ้าคะ”เจ้าสำนักพิณอินได้ยินเช่นนั้นก็เบิกตากว้างด้วยความตกใจ หากสำนักอันดับ 1 ไม่พอใจละก็สำนักเหยี่ยวทะเลทรายที่อยู่อันดับ 9 จะไม่เป็นไรเอางั้นหรือ
“สำนักอันดับ 1 เกี่ยวอะไรกับสำนักภูผางั้นหรือ”หนี่หลิงหนานหัวเราะพลางเดินออกไปจากสำนักพร้อมๆกับฟงเป่า ยามนี้สำนักพิณอินเป็นสำนักย่อยของสำนักเหยี่ยวทะเลทรายแล้ว หากสำนักภูผาจะจ้างตัวศิษย์ในสำนักไปเป็นนางรำละก็ต้องได้รับความยินยอมจากสำนักเหยี่ยวทะเลทรายเสียก่อน
“คงถึงตาข้าแล้วสินะ”เสียงของหมิงมิ่งดังมาจากภายในเสื้อของฟงเป่า ก่อนที่หมิงมิ่งจะกระโดดข้ามจากร่างของฟงเป่าไปยังร่างของหนี่หลิงหนานแทน
“พี่มิ่ง พี่นี่รู้งานดีจัง”หนี่หลิงหนานหัวเราะพลางปล่อยให้หมิงมิ่งเกาะอยู่บนแขนของตนเองภายใต้แขนเสื้ออย่างเคยชิน ต่อให้เจ้าสำนักภูผาอยู่ระดับเสินเซียนขั้นที่ 4 แต่หากมีหมิงมิ่งอยู่มันก็ไม่มีทางทำอะไรหนี่หลิงหนานได้แน่ๆ
.
.
“ท่านเจ้าสำนักขอรับ มีแขกมาขอพบท่านขอรับ”พวกหนี่หลิงหนานเดินขึ้นเมืองไปพักเดียวก็มาถึงหน้าสำนักภูผาแล้ว สำนักของพวกมันใหญ่โตมากแทบไม่ต้องมองหาเลย
“แขกที่มาร่วมงานฉลองงั้นหรือ ทำไมถึงรีบมานักล่ะ”เจ้าสำนักภูผาถามด้วยท่าทีงุนงง พรุ่งนี้มันจะจัดงานฉลอง เชิญแขกผู้ทรงเกียรติมาหลายคนก็จริง แต่ก็มีเพียงคนในเมืองเท่านั้นไม่น่ามีใครต้องมาพักแรมในสำนักนี่นา
“เห็นบอกว่าเป็นตัวแทนจากสำนักเหยี่ยวทะเลทรายขอรับ พวกมันอยากให้ท่านเจ้าสำนักไปพบที่หน้าสำนัก”คนส่งข่าวบอกพลางเหล่มองไปทางหน้าสำนัก คนในเมืองนี้แทบไม่ได้รับข่าวสารจากโลกภายนอกเลย เรื่องที่สำนักเหยี่ยวทะเลทรายเป็นสำนักระดับไหนนั้นแทบไม่มีใครทราบ เพียงแต่เจ้าสำนักภูผาที่กล้าอ้างตัวเป็นสำนักอันดับ 1 นั้นย่อมทราบว่าสำนักเหยี่ยวทะเลทรายนั้นเหนือกว่าตนเองมากแค่ไหน
“เข้าใจแล้ว ข้าจะไปต้อนรับพวกมันเอง”เจ้าสำนักภูผาสั่นสะท้านด้วยความกังวล อาวุโสของสำนักเหยี่ยวทะเลทรายมีแต่ระดับเสินเซียนขั้น 5 ขึ้นไปทั้งนั้น แต่ละคนเหนือกว่าตนเองกับทุกคน หากเสียมารยาทเข้ามีหวังแย่แน่ๆ
“พวกท่านคือคนของสำนักเหยี่ยวทะเลทรายสินะขอรับ เรียกข้ามา………”เจ้าสำนักภูผารีบวิ่งออกมาต้อนรับคนของสำนักเหยี่ยวทะเลทรายอย่างรีบร้อน แต่ทันทีที่เห็นว่าผู้ที่มานั้นเป็นเพียงชนรุ่นศิษย์ของสำนักก็ลดท่าทีมีมารยาทลงในทันที ก่อนจะมองมาทางพวกหนี่หลิงหนานด้วยท่าทีเซ็งๆ อะไรกันแค่ศิษย์เดินทางมางั้นหรือ นึกว่าพวกอาวุโสมาเสียอีก
“ท่านเจ้าสำนักภูผา ข้ามีนามว่าหนี่หลิงหนาน ข้ามาในครั้งนี้ในนามของเจ้าสำนักเหยี่ยวทะเลทรายเจ้าค่ะ”หนี่หลิงหนานว่าพลางประสานมือแบบไม่ค่อยจะเคารพเท่าไหร่ออกไป
“เจ้าเนี่ยนะศิษย์ของสำนักเหยี่ยวทะเลทราย ศิษย์สำนักเหยี่ยวทะเลทรายจะไปมีผู้หญิงได้อย่างไร นี่มันหลอกลวงกันชัดๆ”ทันทีที่เห็นหนี่หลิงหนานแนะนำตัว เจ้าสำนักภูผาก็มีท่าทีไม่เชื่อทันที แถมยังโวยวายเสียงดังให้คนรอบข้างได้ยินอีกต่างหาก
“ท่านเจ้าสำนักภูผา ข้ามาที่นี่เพื่อจะบอกว่านับแต่นี้ไปสำนักพิณอินจะอยู่ภายใต้การปกครองของสำนักเหยี่ยวทะเลทราย และจะไม่รับงานที่ท่านว่าจ้างเมื่อครู่แต่อย่างไร”หนี่หลิงหนานไม่สนว่าอีกฝ่ายจะเชื่อหรือไม่ และต้องการจะบอกธุระของตนให้เรียบร้อย
“ฮ้าๆ อย่างนี้นี่เอง เจ้าเป็นคนของสำนักพิณอินสินะ นี่เจ้าแอบอ้างสำนักเหยี่ยวทะเลทรายเพื่อจะขู่ข้านี่เอง ช่างน่าขำจริงๆ”เจ้าสำนักภูผาหัวเราะออกมาเสียงดัง ไม่แปลกเลยที่มันจะไม่เชื่อเพราะมันยังไม่ทราบข่าวที่สำนักเหยี่ยวทะเลทรายเปิดรับศิษย์สตรีนั่นเอง
“ยัยหนู กลับไปที่สำนักและฝึกซ้อมท่ารำให้ดี พรุ่งนี้คนของสำนักเจ้าจะต้องมาแสดงในงานของข้า”เจ้าสำนักภูผาว่าพลางเดินเข้าไปจับข้อมือของหนี่หลิงหนานเอาไว้พร้อมปล่อยพลังวิญญาณของตนออกมาขู่หนี่หลิงหนานและฟงเป่า
“ข้าบอกท่านแล้วว่าสำนักพิณอินจะไม่รับงานจากสำนักท่านอีก และหากท่านยังกล้าทำร้ายข้าจะถือว่าท่านหาเรื่องสำนักเหยี่ยวทะเลทรายของข้าด้วยเช่นกัน”หนี่หลิงหนานว่าพลางมองมือของเจ้าสำนักภูผาที่กำข้อมือของหนี่หลิงหนานเอาไว้แน่น
“ยังจะเล่นละครอยู่อีก ข้าบอกให้…”
เปรี้ยง!!
เห็นเจ้าสำนักภูผาบีบข้อมือของหนี่หลิงหนานฟงเป่าที่อยู่ข้างๆจึงลงมือโจมตีเจ้าสำนักภูผาด้วยปราณกระบี่ทันที แม้พลังจะต่างกันมากแต่การโจมตีของฟงเป่าก็รุนแรงพอที่จะผลักร่างของเจ้าสำนักภูผาออกไปได้
“…………”เจ้าสำนักภูผาเบิกตากว้างด้วยความตกใจ เจ้าหนูนั่นมีพลังต่ำกว่าตนเห็นๆ ทำไมมันถึงโจมตีได้รุนแรงนัก แถมมันยังไม่ขยับจากที่เดิมเลยแม้แต่ก้าวเดียว ทำไมถึงโจมตีมันได้ล่ะ
“นั่นเจ้าสำนักภูผาไม่ใช่หรือไง ทำไมโดนเด็กคนนั้นเล่นงานได้ล่ะ”ระหว่างกำลังอึ้งอยู่นั้น เสียงของชาวเมืองรอบๆก็ทำให้เจ้าสำนักภูผาชะงักไปทันที มันโม้กับคนในเมืองเอาไว้ว่าสำนักภูผาเป็นสำนักอันดับ 1 ของอาณาจักรซาน หากมันโดนโจมตีจากเด็กคนละรุ่นเช่นนี้แล้วทำอะไรไม่ได้เลยคงโดนมองว่าอ่อนแอเป็นแน่
“พวกเจ้ากล้ามากที่มาหาเรื่องข้าถึงหน้าสำนัก อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจล่ะ”เจ้าสำนักภูผาชักดาบออกมาถือพลางมองพวกฟงเป่าและหนี่หลิงหนานด้วยท่าทีดุดัน แต่น่าเสียดาย หนี่หลิงหนานและฟงเป่าไม่ได้มีท่าทีกลัวเจ้าสำนักภูผาเลยแม้แต่น้อย