บุตรอสูรบรรพกาล - ตอนที่ 648 ประหลาดใจ
ตอนที่ 648
ประหลาดใจ
“ท่านเจ้าสำนัก ท่านจะไปที่ไหนนะเจ้าคะ”หนี่หลิงหนาน เซี่ยจินเย่ และ อาทู้ ต่างแสดงสีหน้างุนงงทันทีที่ได้ยินว่าหลินเฟยจะพาพวกตนเดินทางไปทางเหนือซึ่งเป็นบ้านเกิดของตนเอง
“พวกเจ้าเคยได้ยินเรื่องของดินแดนหลังหุบเขาหรือเปล่า”หลินเฟยถามออกมาเพราะอาณาจักรซานนั้นไม่รู้จักแผ่นดินทางเหนือเลย
“หุบเขาทางเหนือ…. ที่นั่นไม่มีใครข้ามไปได้ไม่ใช่หรือเจ้าคะ”อาทู้ถามด้วยท่าทีงงๆ ว่ากันว่ามันเป็นภูเขาชันที่มีอันตรายมากมาย แถมยังมีเขตอสูรที่แม้แต่สำนักวิถีเซียนยังไม่กล้าเข้าไปเลย คนที่กล้าขึ้นไปหากไม่ตกเขาตายก็โดนอสูรฆ่าเท่านั้น ทำให้ไม่มีใครกล้าเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับที่นั่นแม้แต่คนเดียว
“ข้าได้ยินมาว่าที่นั่นเป็นสถานที่อยู่ของเหล่าเซียนนะเจ้าคะ พวกเราไปที่นั่นกันจริงๆหรือ”หนี่หลิงหนานเองก็ประหลาดใจเช่นกัน แม้นางจะเกิดทางใต้แต่เรื่องของดินแดนทางเหนือก็โด่งดังไปทั้งดินแดน ว่ากันว่าเจ้าสำนักวิถีเซียนหลายรุ่นก่อนเคยพยายามพาอาวุโสเข้าไปท้าทายหุบเขานั้นแล้ว แต่ก็ไม่รอดกลับออกมาเสียด้วยซ้ำ
“จริงๆแล้วหลังหุบเขานั่นไม่ได้เป็นที่อยู่ของเซียนหรอก แต่เป็นบ้านเมืองทั่วไปนี่ล่ะ”แม้หลินเฟยจะพูดออกไปเช่นนั้นแต่จะบอกว่าเหมือนก็คงไม่เชิงนักเพราะที่อาณาจักรไป๋ตอนนี้เหมือนอยู่กันคนละโลกกับอาณาจักรซานเลย แถมหลินเฟยยังเดินทางมาอยู่ที่นี่หลายเดือนไม่รู้ว่าท่านตาท่านน้าจะคิดค้นอะไรเพิ่มอีกหรือเปล่า
“ท่านจะบอกว่าท่านเคยไปหรือเจ้าคะ”อาทู้ถามไปทางหลินเฟยด้วยท่าทีเอะใจ การที่หลินเฟยรู้ว่าอีกด้านคืออะไรงั้นก็หมายความว่าหลินเฟยต้องเคยเห็นใช่หรือไม่ แม้จะมีตำนานว่าไม่มีใครข้ามผ่านไปได้ แต่หลินเฟยอาจารย์ของนางก็ไม่เหมือนคนอื่นๆเสียเท่าไหร่
“พูดให้ถูกคือ ข้ามาจากฝั่งนั้นต่างหาก”หลินเฟยตอบออกไปตามจริงเพราะตนเองจะพาทั้ง 4 คนเดินทางไปด้วยอยู่แล้วไม่มีความจำเป็นต้องปิดบังอะไร
“หรือว่าที่อาจารย์จะพาพวกเราไปคือบ้านเกิดของท่าน”คนที่ถามคำถามนี้ออกมาด้วยท่าทีตกใจกลับกลายเป็นเซี่ยจินเย่ที่ไม่ค่อยได้ถามอะไรเสียอย่างนั้น นางดูสนใจเรื่องครอบครัวของหลินเฟยเป็นพิเศษเลย
“ก็ใกล้เคียง ที่ๆข้าจะพาพวกเจ้าไปมันแปลกไปสักหน่อย พวกเจ้าอยากจะไปหรือเปล่า”หลินเฟยถามความสมัครใจของเหล่าศิษย์อีกครั้ง แน่นอนว่าฟงเป่าที่มีเป้าหมายชัดเจนอยู่ที่การแก้แค้นต้องยอมไปแน่ๆเพราะหลินเฟยรับปากว่าฟงเป่าจะต้องแข็งแกร่งขึ้นแน่ๆ แต่พวกหนี่หลิงหนาน อาทู้ และ เซี่ยจินเย่ไม่ได้มีเรื่องกดดันตัวเองขนาดนั้น ความจริงพวกนางสามารถรออยู่ที่สำนักได้เพราะขากลับหลินเฟยก็จะนำสมุนไพรจากอาณาจักรไป๋ติดมาด้วยอยู่ดี
“ไปเจ้าค่ะ ข้าอยากไป”เซี่ยจินเย่ว่าพลางยกมือขึ้นทันที ท่าทีตื่นตัวของนางทำเอาหลินเฟยประหลาดใจไม่น้อย นี่นางอยากไปอาณาจักรไป๋ขนาดนั้นเลยงั้นหรือ
“พวกข้าเองก็จะไปเจ้าค่ะ ข้าสงสัยมาตั้งนานแล้วว่าบ้านของอาจารย์เป็นแบบไหน”หนี่หลิงหนานว่าพลางมองหลินเฟยนิ่ง หลินเฟยมีเรื่องเหลือเชื่อมากเกินไปบอกตามตรงพวกนางต่างสงสัยกันหมดว่าบ้านเกิดของหลินเฟยอยู่ที่ไหน
“คงไม่ได้เห็นบ้านข้าหรอก แต่ถ้าพวกเจ้าอยากไปก็ดี หลังจากจัดการธุระในสำนักแล้วข้าจะพาพวกเจ้าไป”หลินเฟยตอบพลางหัวเราะเบาๆออกมา น่าเสียดายต่อให้ไปอาณาจักรไป๋ก็ไม่ได้เข้าเขตอสูรผาไร้ก้นหรอก เพราะสิทธิ์การเข้าเขตผาไร้ก้นนั้นถือเป็นสิทธิ์พอที่หลินเฟยได้มาจากตระกูลไป๋เท่านั้น
หลังจากงานวิจารณ์กระบี่จบลง อันดับของสำนักเหยี่ยวทะเลทรายก็เป็นอันยกเลิก ยามนี้สำนักเหยี่ยวทะเลทรายถือว่าต่ำชั้นกว่าพวกสำนักเล็กๆเสียอีก แต่เพราะเรื่องของสำนักหมู่ดาว ทำให้งานต่างๆของเมืองหลวงเยอะขึ้นโดยเฉพาะงานของราชสำนัก แน่นอนว่าหลินเฟยที่มีเส้นสายภายในวังย่อมสามารถหาทางให้สำนักเหยี่ยวทะเลทรายได้งานมาได้ไม่ยาก เพราะหากไม่จ้างสำนักเหยี่ยวทะเลทรายก็ไม่ทราบจะไปหาจ้างสำนักไหนอีก รวมถึงชาวเมืองที่ได้ยินข่าวลือเรื่องสำนักเหยี่ยวทะเลทรายถล่มสำนักหมู่ดาวเสียเละก็พากันไม่สนว่าสำนักเหยี่ยวทะเลทรายอยู่อันดับใด ทำให้งานว่าจ้างเยอะขึ้นกว่าเดิมมาก แม้จะไม่ได้เงินสนับสนุนจากราชสำนัก แต่งานเหล่านี้ก็มากพอจะให้สำนักดำเนินต่อไปได้ใน 1 ปีนี้
สุดท้ายหลินเฟยเลยต้องอยู่แผนดำเนินงานให้ผานซู ทั้งเรื่องการรับงาน ประลอง การประสานงานกับร้านตระกูลชุน และการรับศิษย์รุ่นใหม่เข้ามาเพิ่ม ทำให้หลินเฟยเสียเวลาไปกว่าเดือนเศษกว่าจะเริ่มเดินทางได้ โดยการเดินทางครั้งนี้เหล่าศิษย์ทั่วไปต่างเข้าใจว่าหลินเฟยพาเหล่าศิษย์เอกเข้าไปฝึกในดินแดนลับแลที่ไม่มีใครรู้จักเสียอย่างนั้น แต่จะนับว่าเป็นความจริงก็คงได้ละมั้ง
.
.
“ข้ามมาแล้ว….”หนี่หลิงหนานว่าพลางมองลงไปข้างล่างด้วยท่าทีตื่นเต้น บนหลังของจางจินพวกนางสามารถข้ามหุบเขาที่กั้นระหว่างทางเหนือและทางใต้มาได้อย่างง่ายดาย นี่สินะความได้เปรียบของการบิน
“ทำไงดีล่ะ ข้าเริ่มตื่นเต้นซะแล้ว”อาทู้ว่าพลางชะเง้อมองไปเบื้องหน้า ในช่วงเดือนเศษๆที่ผ่านมาอาทู้ได้รับเอาพลังอสูรเข้าไปในร่างแล้วเช่นกัน แถมยังฝึกฝนพลังลมปราณมังกรจนพลังวิญญาณฟื้นกลับมาเกินครึ่งแล้ว นับว่ายามนี้นางเป็นกำลังที่สำคัญคนหนึ่งได้แล้ว
“นั่นสิขอรับ”ฟงเป่าว่าพลางกลืนน้ำลายลงคอ ตนเองก็ไม่คิดเหมือนกันว่าจะได้ข้ามหุบเขาในตำนานมาแบบนี้
“จริงสิ หมิงมิ่ง ที่นี่เจ้าไม่ต้องซ่อนตัวหรอกนะ”หลินเฟยว่าพลางมองไปที่อกเสื้อของฟงเป่า เพราะความเคยชินหมิงมิ่งเลยอยู่ในเสื้อของฟงเป่าไม่ออกมาทุกครั้งที่เดินทาง
“เจ้าหมายความว่าไง”หมิงมิ่งถามพลางออกมาจากเสื้อของฟงเป่าช้าๆ แม้ตอนนี้จะบินอยู่เลยไม่มีใครมาเจอ แต่หากลงไปก็ต้องซ่อนตัวจากสายตาผู้คนอีกไม่ใช่หรือไง
“อาจารย์…….”หลินเฟยยังไม่ได้อธิบาย อยู่ๆฟงเป่าก็สัมผัสได้ถึงพลังอสูรที่กำลังใกล้เข้ามา กลุ่มก้อนพลังอสูรเหล่านั้นน่าหวาดกลัวมาก มันจะต้องมีแต่อสูรที่แข็งแกร่งมากแน่ๆ
วูบ…… วูบ…….วูบ………
ท่ามกลางเมฆหมอกบนท้องฟ้า อยู่ๆร่างของอสูร 3 ตนก็ปรากฏรอบๆตัวจางจินอย่างรวดเร็ว
“หรือว่าพวกมันจะโจมตีพวกเรา”หนี่หลิงหนานเห็นเช่นนั้นก็เตรียมจะใช้วิชาหมอกอันเป็นจุดเด่นของอสูรที่นางกินเข้าไปทันที หากใช้หมอกที่ปกปิดสัมผัสพลังได้การหนีก็เป็นเรื่องง่าย
“ใจเย็น”หลินเฟยยกมือขึ้นห้ามหนี่หลิงหนานเอาไว้ ก่อนจะมองไปทางอสูร 3 ตนที่กำลังบินล้อมพวกตนเอาไว้
“แสดงตัวด้วย”เสียงหนึ่งดังมาจากบนหลังของอสูร 1 ใน 3 ตน พอมองดีๆแล้วก็พบว่าบนหลังของอสูรเหล่านั้นมีคนในชุดคลุมสีดำยืนอยู่ด้วยทำเอาพวกฟงเป่าประหลาดใจกันอย่างมากเพราะคนที่ขี่อสูรเช่นนี้พวกตนเคยเห็นแต่หลินเฟยเท่านั้นเอง
“ข้ามีนามว่าหลินเฟย เป็นประชาชนอาณาจักรไป๋ ส่วน 4 คนด้านหลังเป็นศิษย์ของข้าพึ่งขึ้นมาจากอาณาจักรซานอีกฝั่งของหุบเขา”หลินเฟยประกาศด้วยท่าทีไม่เดือดร้อนอะไร เพราะแค่มองชุดก็รู้แล้วว่าคนกลุ่มนี้คือกลุ่มนักล่าอสูรแห่งอาณาจักรไป๋นั่นเอง เพราะจางจินเป็นอสูรระดับสูงพอสมควร การมีอสูรระดับนี้บินข้ามเขตอาณาจักรมาย่อมต้องมีคนมาตรวจสอบอยู่แล้ว
“หลินเฟย……..หรือว่า”ชายที่อยู่บนหลังอินทรีขนาดใหญ่ขมวดคิ้วพลางเพ่งมองหลินเฟยด้วยท่าทีสงสัย
“เป็นท่านหลินเฟยนี่เอง แต่คนด้านหลังท่านเป็นคนของอาณาจักรอื่นอย่างไรรบกวนท่านลงไปที่เมืองด้านล่างก่อนขอรับ”ชายคนนั้นพอนึกออกว่าหลินเฟยคือใครก็มีท่าทีนอบน้อมลงทันที แม้จะประกาศออกไปแล้วว่าหลินเฟยโดนขับไล่จากตระกูลไป๋ แต่ในเมื่อรู้อยู่แก่ใจว่าหลินเฟยเป็นหลานชายของใครก็ไม่มีใครกล้าล่วงเกินหรอก
“นั่นสินะ ข้าคิดน้อยเกินไปหน่อย พวกท่านนำทางเถิด”หลินเฟยว่าพลางประสานมือให้อีกฝั่งอย่างนอบน้อม แต่ก่อนหลินเฟยเดินทางไปไหนมาไหนเพียงแสดงตนก็สามารถไปได้ทุกที่รวมถึงจะพาใครไปก็ได้ แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว พวกฟงเป่าเป็นคนของอาณาจักรอื่นนอกเหนือจากเหล่าอาณาจักรที่เป็นพันธมิตรกับอาณาจักรไป๋ การเข้าเมืองจำเป็นต้องทำการยืนยันเสียก่อน
“……….”พวกฟงเป่าพอเห็นคนขี่หลังอสูรเป็นเรื่องปกติก็ว่าแปลกแล้ว แต่พอลงไปยังเมืองชายแดนเบื้องล่าง พวกฟงเป่าก็ยิ่งอึ้งเข้าไปใหญ่
“อาจารย์ ที่นี่มันในเมืองไม่ใช่หรือขอรับ”ฟงเป่าถามพลางมองไปรอบๆ เพราะตอนนี้ทุกคนมีพลังอสูรในร่างทำให้สามารถสัมผัสพลังอสูรรอบตัวได้อย่างชัดเจน ในเมืองแห่งนี้มีอสูรเดินกันขวักไขว่จนแทบแยกไม่ออกว่าที่นี่คือเขตอสูรหรือเมืองมนุษย์กันแน่
“ประหลาดใจสินะ ที่นี่มนุษย์อาศัยร่วมกับอสูร เป็นแบบนี้จนเคยชินแล้วล่ะ”หลินเฟยว่าพลางนำพวกลูกศิษย์ที่ยังอึ้งไม่หายเดินลงไปพบคนของกลุ่มนักล่าอสูรเพื่อลงทะเบียนชื่อของพวกฟงเป่าว่าเป็นผู้ขอเข้าเมือง
“คุณชายหลินเฟย ท่านกลับมา….. ท่านกลับมาแล้ว”ระหว่างกำลังเข้าไปทำเรื่อง อยู่ๆชายหนุ่มคนหนึ่งก็วิ่งเข้ามาหาหลินเฟยด้วยท่าทีแตกตื่น ดูจากชุดแล้วมันเป็นคนของกลุ่มนักล่าอสูรเช่นเดียวกัน แต่หลินเฟยไม่คิดว่าเคยเจอชายคนนี้มาก่อนนะ…
“โชคดีจริงๆที่ท่านกลับมาแล้ว ตอนนี้ตระกูลไป๋กำลังโดนยึดอำนาจจากพวกตระกูลหลิว ท่านต้องทวงความเป็นธรรมให้ตระกูลของท่านนะขอรับ”ชายคนนั้นว่าพลางเข้ามาจับมือของหลินเฟยเอาไว้แน่น
“เจ้าว่าอะไรนะ”หลินเฟยขมวดคิ้วพลางมองไปที่ชายคนนั้นด้วยท่าทีประหลาดใจ เมื่อกี้มันบอกว่าอะไร
“คุณชาย เอกสารได้แล้วขอรับ”ยังไม่ทันถามให้รู้ความ อยู่ๆคนของกลุ่มนักล่าอสูรคนหนึ่งก็เดินเข้ามายื่นเอกสารที่หลินเฟยยังไม่ทันจะเข้าไปขอทำเรื่องเสียด้วยซ้ำให้หลินเฟยอย่างรวดเร็วก่อนจะพาตัวชายคนที่มาขอร้องหลินเฟยให้ออกไป ทำเอาหลินเฟยสัมผัสได้ทันทีว่ามีเรื่องแปลกๆเกิดขึ้นแน่ๆ
“รายงานข่าวต่อไป….จักรพรรดิหลิวซีหลงได้ออกคำสั่งให้เผาทำลายทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับคนของตระกูลไป๋ และยังยืนยันว่าจะเปลี่ยนชื่ออาณาจักรกลับมาเป็นอาณาจักรหลิวอีกครั้งหลังจากทำพิธีราชาภิเษก ท่านกล่าวว่าอาณาจักรของตนนั้นไม่ได้อยู่ใต้การปกครองของตระกูลไป๋แต่อย่างไร หากแต่เป็นราชวงศ์หลิวที่คอยค้ำจุนอาณาจักรมาอย่างยาวนาน” ระหว่างกำลังงงอยู่ๆนั้น อยู่ๆเสียงทีวีในสำนักงานก็ดังแว่วเข้าหูหลินเฟยเข้ามาพอดี หลิวซีหลง บุตรชายคนเล็กของท่านยายหลิวเมิ่งงั้นหรือ หากจำไม่ผิดหลิวซีหลงเป็นเจ้าหนูขี้อายที่อายุน่าจะไม่ห่างจากหลินเฟยมากนี่นา เกิดอะไรขึ้นทำไมเจ้าหนูนั่นถึงคิดจะล้มล้างตระกูลไป๋เช่นนี้