บุตรอสูรบรรพกาล - ตอนที่ 649 กังวลเกินไป
ตอนที่ 649
กังวลเกินไป
“อาจารย์ เป็นอะไรหรือเปล่าขอรับ”ฟงเป่าเห็นท่าทีของหลินเฟยแปลกๆไปเลยเดินเข้ามาถามด้วยท่าทีเป็นห่วง พออาจารย์ได้ยินเสียงจากกล่องสีดำที่แขวนเอาไว้บนผนังก็มีท่าทีไม่ปกติทันที เรื่องที่จักรพรรดิของอาณาจักรนี้จะเปลี่ยนชื่ออาณาจักรมันน่าตกใจขนาดนั้นเลยงั้นหรือ
“ไม่มีอะไร”หลินเฟยลดท่าทีตกใจลงก่อนจะหายใจเข้าลึกๆ พอโดนฟงเป่าทักเข้าหลินเฟยก็ตั้งสติให้ดีอีกครั้ง เป็นไปได้งั้นหรือที่จะเกิดเรื่องแบบนี้ อาณาจักรไป๋มีประชากรเป็นอสูรกว่าครึ่ง หลิวซีหลง เป็นบุตรชายของท่านยายหลิวเมิ่งกับสามีของนาง ไม่มีทางได้รับพลังดึงดูดเหล่าอสูรแน่ๆ อสูรทั้งแผ่นดินไม่มีทางเลยที่จะหันหลังให้ตระกูลไป๋
“พวกเราไปกันเถอะ”หลินเฟยถอนหายใจออกมาพลางพาเหล่าศิษย์ของตนเองขึ้นขี่หลังจางจินเดินทางต่อไปทันที แต่เดิมหลินเฟยจะเดินทางไปอาณาจักรทางเหนือแถวๆอาณาจักรชิน เพราะถ้าอยู่อาณาจักรไป๋หรืออู๋จะมีโจทของหลินเฟยเยอะเกินไป แต่เพราะเรื่องที่ได้ยินเมื่อครู่ทำให้หลินเฟยตัดสินใจจะตรงเข้าเมืองหลวงของอาณาจักรไป๋ก่อนเป็นที่แรก
พอคิดดีๆแล้วหลินเฟยก็สรุปออกมาได้ว่านี่คงเป็นแผนอะไรสักอย่างของท่านตาหรืออาจจะเป็นท่านแม่ก็ได้ เรื่องล้มล้างตระกูลไป๋ต่อให้ราชวงศ์หลิวโน้มน้าวประชาชนอาณาจักรไป๋ได้ก็ยังต้องเจอแรงกดดันจากอาณาจักรชินและอู๋เป็นอย่างน้อย เรื่องมันไม่มีทางสำเร็จได้เลยในเวลาแค่ไม่กี่เดือนที่หลินเฟยไปที่อาณาจักรซาน
แต่… ถึงจะคิดได้แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะลบล้างความกังวลออกไปได้ แม้จะมีโอกาสไม่ถึงหนึ่งในพันในหมื่น แต่ทุกอย่างมันก็เกิดขึ้นได้ หากแท้จริงแล้วหลิวซีหลงเป็นผู้มีความสามารถพิเศษบางอย่าง หรือ คนตระกูลไป๋อาจจะเสียความสามารถดึงดูดเหล่าอสูรไป แม้จะแทบไม่มีโอกาสแต่เมื่อกังวลแล้วก็สลัดหลุดได้ยาก หลินเฟยจึงอยากจะเสี่ยงเดินทางไปตรวจสอบดูเสียก่อนว่าเรื่องทั้งหมดเป็นเพียงแผนของใครสักคน
“อาจารย์ นี่มันอะไรกัน”ฟงเป่าและเหล่าศิษย์ของหลินเฟยต่างแสดงท่าทีตื่นตกใจออกมาเมื่อหลินเฟยบังคับจางจินบินทะลุเข้าไปในเมืองหลวงอย่างรวดเร็ว ระหว่างผ่านเมืองอื่นๆมาจางจินบินสูงเหนือชั้นเมฆ ทำให้พวกฟงเป่าได้เห็นว่าทั่วน่านฟ้าของอาณาจักรไป๋สามารถพบเห็นอสูรที่มีมนุษย์ขี่หลังอยู่บินผ่านมาได้ทุกเมื่อ แต่เท่านั้นยังไม่น่าตกใจเท่ากับระดับพลังของผู้คนในเมืองหลวง ไม่ว่าจะมองไปทางไหนคนระดับเทียนเซียนก็เดินกันให้ขวักไขว่ไปหมด ระดับเจ้าสำนักวิญญาณกระบี่หากมาที่นี่คงเป็นเพียงคนธรรมดาเท่านั้น แต่ที่น่ากลัวคือพวกฟงเป่าสามารถสัมผัสพลังอสูรระดับสูงมากๆได้จากทางวังหลวงและรอบๆ พลังระดับนี้เหนือกว่าที่พวกฟงเป่าเคยเจอมาเสียอีก
“ท่านหลินเฟย ท่านจะไปไหน”ระหว่างกำลังมุ่งหน้าเข้าวังหลวง ร่างของมังกรตนหนึ่งก็บินลงมาจากชั้นเมฆพลางใช้ร่างของตนเองม้วนไปรอบๆร่างของจางจินช้าๆ พลังของมังกรตนนี้เหนือกว่าพ่อของจางจินเสียอีก ทำเอาแม้แต่จางจินยังไม่กล้าขยับตัว
“ข้าอยากจะขอพบจักรพรรดิหลิวซีหลงหน่อย”หลินเฟยตอบตามตรงเพราะคุ้นเคยกับอีกฝ่ายดี มันคือแม่ทัพอสูรของอาณาจักรไป๋ที่ยามนี้อยู่ระดับบรรพกาลขั้นที่ 4 แล้วปัจจุบันถือเป็นองครักษ์วังหลวงที่แข็งแกร่งตนหนึ่งเลย
“ไม่ได้ขอรับ ยามนี้ตัวท่านไม่มีสิทธิ์เข้าวังหลวง”มังกรตรงหน้าตอบพลางส่ายหน้าช้าๆ ตอนนี้หลินเฟยไม่ใช่คนตระกูลไป๋ ไม่มีอำนาจอะไรจะเข้าไปในวังหลวงเฉยๆได้หรอก
“ข้ามีเรื่องอยากจะถามหลิวซีหลงหน่อย ช่วยไปบอกว่าข้ามาขอพบก็แล้วกัน”หลินเฟยชะงักไปเล็กน้อยเพราะลืมไปว่าตนไม่มีอำนาจแบบเมื่อก่อนแล้ว จะเข้าออกวังหลวงเป็นเรื่องปกติไม่ได้
“ข้าจะบอกให้ขอรับ แต่ข้าไม่รับประกันว่าท่านจะยอมให้พบ”แม่ทัพมังกรตอบพลางเปลี่ยนร่างเป็นมนุษย์แล้วพุ่งหายเข้าไปในวังหลวงโดยที่ประตูวังหลวงยังมีเหล่าทหารเฝ้าเอาไว้ท่าทางไม่ยอมให้หลินเฟยผ่านเป็นแน่
“หรือข้าควรกลับไปที่ผาไร้ก้นดี”หลินเฟยพึมพำออกมาก่อนจะบอกให้จางจินลงไปที่พื้นเพราะหากบุกเข้าไปแม้แต่ตัวหลินเฟยก็ไม่สามารถเอาชนะเหล่าแม่ทัพในวังหลวงได้หรอก ตอนนี้หลินเฟยอยากพบครอบครัวเหลือเกิน อย่างน้อยแค่ได้ถามก็พอว่าเรื่องมันเป็นเช่นไรกันแน่
“หลินเฟย เจ้ามาทำอะไรที่นี่งั้นหรือ”ลงมาถึงพื้นดินได้ไม่ทันไร อยู่ๆเบื้องหน้าหลินเฟยก็มีร่างของชายคนหนึ่งเดินเข้ามาหาพลางทักทายหลินเฟยด้วยท่าทีสนิทสนมและเป็นมิตรเสียอย่างนั้น
“ท่านน้า….”หลินเฟยกะพริบตามองเบื้องหน้าด้วยท่าทีตกใจ หลินเฟยไม่กล้าไปที่ผาไร้ก้นเพราะตนไม่มีสิทธิ์พบครอบครัว ขนาดชิวซุยจะมาหาตนยังต้องเป็นโอกาสพิเศษเท่านั้นเลย หากเจอคนตระกูลไป๋ข้างนอกหลินเฟยก็ไม่ควรทำตัวเหมือนคนรู้จัก และคนอื่นๆก็ไม่ควรเข้ามาทักทายหลินเฟยด้วย แต่ท่านน้าจูล่งกลับเดินมาทักหลินเฟยหน้าตาเฉยเสียอย่างนั้น….
“เป็นอะไรไปเฟยเอ๋อ เจ้าหน้าตาดูไม่ดีเลยนะ”จูล่งถามพลางยิ้มออกมาด้วยท่าทีอ่อนโยน น้าหลานคู่นี้อยู่ด้วยกันมานาน หลินเฟยมีใบหน้ากังวลแค่นิดหน่อยจูล่งก็สามารถสัมผัสได้ไม่ยาก
“เดี๋ยวเถอะ ท่านต้องทำเหมือนไม่รู้จักหลินเฟยไม่ใช่หรือไง ทำไมเดินมาทักหลินเฟยเอาดื้อๆแบบนี้กัน”หลินเฟยยังไม่ทันตอบ ร่างของท่านน้าต้าหวานก็ตามจูล่งมาติดๆก่อนจะบิดแขนของจูล่งเบาๆเหมือนจะตำหนิ
“เอ๋ เป็นแบบนั้นหรอกหรือ”ไป๋จูล่งหันไปมองต้าหวานด้วยท่าทีใสซื่อ จูล่งก็แค่เดินมาทักหลานชายตามปกติเท่านั้น มันลืมไปเลยว่าตอนนี้หลินเฟยกำลังโดนลงโทษอยู่
“แบบนี้ท่านได้โดนท่านพ่อดุแน่ๆเลยเจ้าค่ะ”ผิงกั่วถอนหายใจออกมาพลางมองเข้าไปในวังหลวง ตอนนี้ตระกูลไป๋อยู่ในวังหลวงพอดี เรื่องที่หลินเฟยอยู่หน้าวังหลวงคงรู้ตัวกันแล้วแน่ๆ
“นั่นสินะ ขอโทษทีนะหลินเฟย น้าลืมไป”จูล่งพอนึกขึ้นได้ก็ยิ้มเจื่อนๆออกมาพลางกล่าวขอโทษหลินเฟยเสียอย่างนั้น
“ท่านน้า…..”หลินเฟยกำลังจะเรียกจูล่งกลับโดนท่านน้าต้าหวานห้ามเอาไว้เสียก่อน
“ตอนนี้เจ้าเรียกพวกเราว่าน้าไม่ได้ เข้าใจหรือไม่”ต้าหวานว่าพลางส่ายหน้าช้าๆ ขืนท่านพ่อสามีของนางได้ยินเข้าว่าหลินเฟยละเมิดบทลงโทษ หลินเฟยอาจจะโดนลงโทษเพิ่มอีกปีก็ได้ แบบนั้นนางควรห้ามเอาไว้เสียดีกว่า
“งะ งั้น.. ท่านไป๋จูล่ง ท่านต้าหวาน ข้าน้อยได้ยินข่าวเรื่องการโค่นล้มตระกูลไป๋ เรื่องนั้นเป็นเรื่องจริงงั้นหรือ”หลินเฟยถามด้วยท่าทางข้องใจ แม้การได้เห็นคนตระกูลไป๋เดินทางมาที่วังหลวงของอาณาจักรไป๋นั้นก็แทบจะเป็นสิ่งยืนยันได้แล้วแท้ๆ
“เจ้าหนู เจ้าคิดว่าเจ้ากังวลเรื่องของใครอยู่”ผิงกั่วตอบพลางยืดอกด้วยท่าทีไม่เข้ากันสุดๆ นางดูเด็กกว่าอาทู้เสียอีกกลับมาพูดเหมือนตนเป็นผู้ใหญ่ ทำเอาหลินเฟยได้แต่ยิ้มเจื่อนๆออกมา
“นั่นสินะขอรับ”หลินเฟยถอนหายใจออกมาช้าๆก่อนจะประสานมือคารวะทั้งสามคนก่อนจะปล่อยให้พวกจูล่งเดินเข้าไปในวังหลวงโดยไม่คิดจะห้ามอีก อย่างที่น้าผิงกั่วบอก มันกำลังเป็นห่วงใครกัน ไม่มีทางที่ตระกูลไป๋จะโดนล้มล้างได้ง่ายๆหรอก แถมการที่ยามนี้หลินเฟยใช้ดวงตาสีม่วงตรวจสอบได้ว่าคนตระกูลไป๋ทั้งหมดกำลังนั่งประชุมร่วมกับท่านยายหลิวเมิ่งและหลิวซีหลงนั้นก็ตอบคำถามของหลินเฟยได้หมดแล้ว
“……อาจารย์ คนเมื่อครู่คือใครกันเจ้าคะ”หนี่หลิงหนานถามพลางมองไปทางประตูวังหลวงที่ไป๋จูล่งพึ่งจะเดินเข้าไปเมื่อครู่
“ท่านเป็นน้าของชิวซุยน่ะ”หลินเฟยตอบเลี่ยงๆพลางยิ้มบางๆออกมา ตัวมันเองก็ไม่มั่นใจว่าท่านตาคิดจะทำอะไร แต่หากเป็นแผนของท่านหลินเฟยก็ไม่มีความจำเป็นที่จะกังวลอะไร
“น้าท่านอาจารย์อา…งั้นก็เป็นน้าของท่านด้วยไม่ใช่หรือเจ้าคะ”อาทู้ถามด้วยท่าทีงงๆไม่รู้ว่าหลินเฟยจะพูดอ้อมทำไมกัน
“ไม่หรอก ตอนนี้ท่านไม่ใช่น้าของข้า”หลินเฟยตอบพลางส่ายหน้าช้าๆ
“อาจารย์ ท่านพูดอะไรกันข้างงไปหมดแล้ว”ฟงเป่าขมวดคิ้วมุ่นเพราะตีความที่หลินเฟยพูดออกมาไม่ออก
“ตระกูลไป๋……”ขณะที่คนอื่นๆกำลังพยายามถามเรื่องของไป๋จูล่งจากหลินเฟย คนที่ยังไม่ละสายตาไปจากประตูวังหลวงกลับเป็นเซี่ยจินเย่เสียอย่างนั้น นางแม้จะมีท่าทีเรื่อยเปื่อย แต่ก็ตั้งใจฟังเรื่องครอบครัวของหลินเฟยมาตลอด เมื่อครู่ไม่ว่าจะมองอย่างไรชายที่ชื่อไป๋จูล่งก็เป็นคนรู้จักของหลินเฟย หากบอกว่าไป๋จูล่งคนนั้นคือน้าของชิวซุยที่เป็นน้องสาวของหลินเฟย บางทีตระกูลไป๋อาจจะเกี่ยวข้องกับอาจารย์ของนางก็ได้ และอย่างที่อาจารย์เคยเล่าให้ฟัง ครอบครัวของอาจารย์นั้นมีพลังดึงดูดเหล่าอสูรเหมือนกันกับตัวอาจารย์เอง หรือก็คือเป็นผู้มีพลังดึงดูดเหล่าอสูรเหมือนบิดาของเซี่ยจินเย่ที่หายไปนั่นเอง ไม่ว่าจะอย่างไรเซี่ยจินเย่ก็สลัดความคิดนี้ออกจากหัวไม่ได้ว่าบางทีครอบครัวของอาจารย์อาจจะมีความเกี่ยวข้องกับบิดาของนางก็เป็นได้
“หมดเรื่องแล้ว พวกเราไปกันเถอะ”หลินเฟยโดนพวกหนี่หลิงหนานเค้นถามเรื่องไป๋จูล่งเข้าก็พลันเปลี่ยนเรื่องทันที มันไม่อยากอยู่ที่เมืองหลวงอาณาจักรไป๋นานนักหรอก เพราะไม่ทราบว่าจะมีโจทของตนเองโผล่ออกมาเมื่อไหร่ เพราะถ้าเป็นแบบนั้นมันได้เสียหน้าต่อหน้าลูกศิษย์ตนเองแน่ๆ
“อาจารย์ ท่านทำแบบนี้ไม่ได้นะ”อาทู้เห็นหลินเฟยเปลี่ยนเรื่องก็โวยวายออกมาทันที แต่ก็ยังขึ้นหลังของจางจินไปอย่างว่าง่ายอยู่ดี
“พวกข้าสงสัยเรื่องครอบครัวของอาจารย์กันมาตั้งนานแล้วนะ ทำไมท่านไม่ยอมเล่าให้พวกเราฟังบ้างเลย”หนี่หลิงหนานเองก็พูดในทางเดียวกัน เรื่องที่มาของหลินเฟยนั้นแทบจะเป็นเรื่องที่เหล่าศิษย์ถกเถียงกันอยู่ตลอด แม้แต่รองเจ้าสำนักและอาวุโสต่างก็ไม่เข้าใจว่าหลินเฟยไปเอาวิชาต่างๆมาจากไหน วันนี้พวกหนี่หลิงหนานได้พบเจอครอบครัวของหลินเฟยนอกจากชิวซุยแล้วก็ย่อมอยากรู้เป็นธรรมดา ทำเอาพวกนางเค้นถามหลินเฟยตลอดทาง แน่นอนว่าคนที่ตั้งใจฟังที่สุดย่อมเป็นเซี่ยจินเย่นั่นเอง
“ก็ได้ ท่านเป็นท่านน้าของข้าจริงๆ”หลินเฟยโดนเค้นอยู่พักใหญ่สุดท้ายก็ต้องยอมบอกออกมาจนได้
“งั้นท่านก็เป็นคนตระกูลไป๋สินะเจ้าคะ งั้นตระกูลที่กำลังจะโดนล้มล้างก็คือตระกูลของท่านนะสิ”อาทู้สรุปออกมาเสียตรงเป๊ะทำเอาหลินเฟยได้แต่ยิ้มเจื่อนๆออกมา
“ความจริงแล้วก่อนข้าจะไปที่อาณาจักรซานได้ทำความผิดบางอย่าง ก็เลยถูกขับไล่ออกจากตระกูลเป็นเวลา 10 ปี ข้าไม่สามารถอ้างตัวว่าเป็นคนตระกูลไป๋ได้จนกว่าจะครบระยะเวลาลงโทษ”หลินเฟยตอบพลางยิ้มเจื่อนๆออกมา พวกนางเห็นซะขนาดนั้นก็คงช่วยไม่ได้ ไหนๆก็พามาอาณาจักรไป๋แล้วก็เล่าให้พวกลูกศิษย์ฟังก็คงไม่เป็นไรกระมัง
“ท่านทำเรื่องผิดอะไรหรือเจ้าคะ”อาทู้ถามพลางมองหลินเฟยด้วยท่าทีสงสัย อาจารย์ในสายตาพวกนางเป็นคนดีจะตาย อย่างท่านทำเรื่องผิดพลาดได้ด้วยงั้นหรือ
“เรื่องนั้น…ถ้าพวกเจ้ารู้อาจจะเกลียดข้าไปเลยก็ได้”หลินเฟยยิ้มด้วยท่าทีเจ้าเล่ห์ราวกับกำลังล้อเล่น แต่หากเล่าออกไปอาทู้อาจจะรับไม่ได้ก็ได้ เพราะสิ่งที่หลินเฟยเคยทำไปก็เป็นการทำร้ายจิตใจผู้หญิงแทบไม่ต่างจากที่เจ้าสำนักหมู่ดาวทำกับอาทู้เลย แค่เรื่องนี้เท่านั้นที่หลินเฟยไม่อยากให้ศิษย์ของตนรู้