บุตรอสูรบรรพกาล - ตอนที่ 663 กลับมาเมื่อสาย
ตอนที่ 663
กลับมาเมื่อสาย
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น”จูล่งจากไปหลายวันแล้ว แต่สภาพบ้านตระกูลหยูที่เสียกำลังคนไปเป็นจำนวนมากไม่ได้ถูกซ่อมแซมอะไรเลย ตัวหยูเจินเหอที่พึ่งเดินทางกลับมายังบ้านของตนเองได้เห็นว่าตอนนี้บ้านตระกูลหยูเหลือไม่ถึงครึ่งแถมสมบัติยังโดนเผาวอดวายพลันแสดงอาการตกใจออกมาทันที
“นายท่าน”บ่าวรับใช้ที่กำลังพยายามช่วยกันขนเศษซากบ้านออกมากองข้างนอกเห็นหยูเจินเหอเข้าก็รีบเข้ามาคารวะทันที ตอนนี้บ่าวรับใช้ที่ยังทำงานได้เหลือเพียงหยิบมือเท่านั้นแถมคนที่ไม่ได้โดนสายฟ้าของจูล่งบางส่วนยังหนีหายไปแล้วอีกต่างหาก
“นี่มันเรื่องอะไรกัน แล้วหยูจ้านไปไหน”หยูเจินเหอถามพลางมองไปรอบๆ ต่อให้สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นอุบัติเหตุ หยูจ้านก็ควรออกมาคุมคนงานไม่ใช่หรือ แล้วคนงานทำไมเหลือเท่านี้กัน
“ท่านเจ้าบ้านอยู่ในห้องด้านหลังขอรับ”บ่าวรับใช้ตอบพลางชี้ไปที่อาคารด้านหลังที่ยังไม่ได้โดนไฟไหม้ ตรงนั้นเหลือห้องสำหรับรับแขกอยู่นิดหน่อยกับห้องพักของพวกบ่าวรับใช้ ท่าทางหยูจ้านจะไปอยู่ที่นั่น
“หยูจ้าน ออกมาเดี๋ยวนี้ มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”หยูเจินเหอบุกเข้าไปในห้องที่บุตรชายและหลานชายใช้พักอาศัยทันที แต่เมื่อเปิดประตูเข้าไปกลับพบว่าบุตรชายและหลานชายกำลังนั่งท่องอะไรบางอย่างพึมพำอย่างกับเสียงสวดมนตร์ไม่มีผิด
“การฝึกฝนวิชาเนตร…ระยะเวลา…..”หยูจ้านพึมพำประโยคที่จูล่งสอนไปมาหลายรอบ ทั้งนี้เพราะความกลัวที่มีต่อจูล่งทำให้สองพ่อลูกหวาดกลัวว่าหากจดจำไม่ได้จูล่งจะกลับมาเล่นงาน หลายวันนี้พวกมันนั่งทองเนื้อหาที่หากเอาไปเขียนตำราคงได้หลายเล่มต่อๆกันจนขึ้นใจ
“พวกเจ้าเป็นบ้าอะไรกัน”หยูเจินเหอเห็นสภาพตรงหน้าก็พลันงุนงงปนโมโหที่ทั้งสองไม่สนใจตนเองเอาแต่พึมพำอะไรก็ไม่ทราบ
ผั๊ว!!
มือของหยูเจินเหอตบไปที่หัวของบุตรชายหวังจะเรียกสติ แถมมันเหมือนจะได้ผลเสียด้วยเพราะหลังจากโดนตบเสียทีหนึ่งหยูจ้านก็กะพริบตาปริบหันมามองหยูเจินเหอด้วยท่าทีดีใจทันที
“ท่านพ่อ ท่านกลับมาแล้ว พวกเรารอดแล้ว”หยูจ้านโผเข้ากอดบิดาด้วยท่าทีดีใจ ที่พวกมันเอาแต่ท่องหลักวิชาเนตรนั้นเป็นเพราะกลัวจูล่งจะกลับมาเล่นงาน แต่ตอนนี้บิดาที่เก่งกาจที่สุดในแผ่นดินของมันกลับมาแล้วทำให้มันวางใจได้เสียที
“พอแล้ว เล่ามาซะว่ามันเกิดอะไรขึ้น”หยูเจินเหอถามด้วยท่าทีขุ่นเคือง ถามคนในเมืองก็ไม่มีใครตอบ ถามบ่าวรับใช้ก็ไม่มีใครกล้า หากบุตรชายมันยังไม่เล่าออกมาอีกมันคงจะแถมลูกเตะสักลูกให้บุตรชายแน่ๆ
“ทัณฑ์สวรรค์?”หลังจากได้ฟังเรื่องที่เกิดขึ้น หยูเจินเหอก็เลิกคิ้วด้วยท่าทีประหลาดใจ ทั้งเรื่องที่ไป๋จูล่งเรียกสายฟ้าลงมา หรือเรื่องที่มันเรียกฝนลงมาเช่นกัน
“ไอ้เจ้าบ้า มันก็แค่ผู้ใช้ธาตุอัสนีไม่ใช่หรือยังไง ถึงจะหายากแต่ไม่ใช่เทพเซียนเสียหน่อย”หยูเจินเหอกระทืบเท้าแรงๆทีหนึ่งจนพื้นสั่นสะเทือน ไม่ใช่ว่ามันจะไม่เคยเจอเด็กที่มีพลังธาตุแปลกประหลาดอย่างธาตุอัสนีหรือธาตุศักดิ์สิทธิ์ แต่การฝึกให้เชี่ยวชาญนั้นยากเพราะไม่มีอาจารย์คนไหนมีความรู้เกี่ยวกับธาตุเหล่านั้น บางทีเจ้าคนที่บุกมาอาจจะเป็นหนึ่งในผู้มีพลังธาตุอัสนีที่ฝึกฝนจนถึงระดับเสินเซียนขั้นที่ 10 ก็เป็นได้
“แต่พวกเราสู้มันไม่ได้จริงๆขอรับ ไม่อย่างนั้นข้าคงไม่รอให้ท่านพ่อมาถึงก่อนหรอก”หยูจ้านรายงานพลางส่งสายตาอ้อนวอนไปทางบิดา แม้เงินทองจะหายไปมากมาย แต่เพราะต้นตระกูลอย่างหยูเจินเหอยังเป็นยอดฝีมืออันดับ 1 ของอาณาจักรซานอยู่คนในเมืองเลยยังเกรงใจบ้านตระกูลหยูอยู่
“เป็นเพราะพวกเจ้าแท้ๆโลภอยากได้สมบัติของตระกูลฟง”หยูเจินเหอกัดฟันกรอดด้วยท่าทีโมโห แต่ก่อนตระกูลฟงเป็นพ่อค้า ด้วยดวงตาสีทองทำให้พวกมันทำกำไรจากของหายากได้อย่างไม่ยากเย็น แน่นอนว่าในคลังสมบัติของพวกมันย่อมมีของล้ำค่ามากมาย
แท้จริงแล้วเรื่องคู่หมั้นของฟงเป่าอย่างคุณหนูตระกูลติงนั้นเป็นเพียงเรื่องนำมาอ้างเท่านั้น แต่เดิมหยูจ้านก็อยากจะชิงสมบัติของตระกูลฟงอยู่แล้ว พอหญิงสาวที่บุตรชายเล่นสนุกด้วยเอาข้อมูลของตระกูลฟงมาให้ก็สบโอกาสพอดี
“แต่ท่านพ่อก็เอาสมบัติไปกว่าครึ่งเลยนี่ขอรับ”หยูจ้านว่าพลางมองไปทางบิดาของตนด้วยท่าทีไม่พอใจนัก ก็คนที่ส่งหยูเซินมาช่วยกวาดล้างตระกูลฟงก็ตัวหยูเจินเหอเองไม่ใช่หรือ แถมพอได้สมบัติมาก็เอาสมบัติพวกนั้นไปช่วยเพิ่มพลังฝึกฝนของตนเองอีกต่างหาก เรียกได้ว่าเพราะมีสมบัติของตระกูลฟงทำให้การพัฒนาขึ้นมาระดับเทียนเซียนของหยูเจินเหอรวดเร็วขึ้นก็ว่าได้
“พูดมาก”หยูเจินเหอทำเป็นไม่รู้เรื่องก่อนเดินออกไปจากห้องช้าๆ
“ตระกูลฟง…กับตระกูลไป๋งั้นหรือ ทำไมถึงคุ้นๆนักนะ”หยูเจินเหอกำหมัดแน่นพร้อมนึกถึงชื่อตระกูลนี้ขึ้นมาในหัว จูล่งไม่ได้อธิบายว่าตนเองไม่ได้เกี่ยวข้องกับตระกูลฟง ทำให้พวกหยูจ้านยังเข้าใจผิดว่าจูล่งเป็นญาติกับตระกูลฟงอยู่ทำให้หยูเจินเหอเข้าใจว่าตระกูลไป๋เป็นพวกเดียวกับตระกูลฟงนั่นเอง
“ศิษย์เอกของเจ้าเด็กนั่น…..แล้วก็เด็กร้านตระกูลชุน…..”หยูเจินเหอผูกเรื่องราวมั่วซั่วพลันนึกถึงฟงเป่าขึ้นมาทันที แน่นอนฟงเป่าเป็นคู่แค้นของมันอย่างไม่ต้องสงสัยเพราะฟงเป่าคือผู้เหลือรอดคนเดียวของตระกูลฟง แต่อีกคนที่ซวยไปด้วยคือ ไป๋ฟาน สาวพนักงานร้านตระกูลชุนนั่นเอง นางเป็นคนตระกูลไป๋ก็จริง แต่นางเป็นลูกหลานตระกูลไป๋ที่อยู่ในอาณาจักรซานไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับตระกูลไป๋ของจูล่งหรือหลินเฟยเลยแท้ๆ
.
.
“ฮัดเช้ย….”แม้จะอยู่ห่างกันข้ามอาณาจักร แต่พอโดนพูดถึงเข้าฟงเป่าที่กำลังนั่งฝึกฝนพลังวิญญาณอยู่กับพวกหนี่หลิงหนานก็เกิดจามขึ้นมาเสียอย่างนั้น ไม่ใช่ว่าผู้ฝึกฝนพลังวิญญาณไม่เป็นหวัดกันหรอกหรือ
“ฟงเป่า เจ้าเป็นอะไรหรือเปล่า”หนี่หลิงหนานถามพลางลืมตาขึ้นมาจากการฝึกฝน
“ข้า..รู้สึกแปลกๆขอรับ”ฟงเป่าตอบพลางก้มหน้าน้อยๆ อาจจะเพราะลางสังหรณ์ทำให้ฟงเป่ารู้สึกแปลกๆ แต่ร่างกายของฟงเป่านั้นปกติดี
“ข้าว่าเจ้าไม่น่าจะเป็นหวัดได้นะ”หนี่หลิงหนานพูดด้วยท่าทีสงสัยก่อนจะเอามือมาทาบที่หน้าผากของฟงเป่า แน่นอนว่าหน้าผากของฟงเป่าไม่มีอุณหภูมิอะไรผิดปกติแม้แต่น้อย จะมีแต่เย็นนิดหน่อยเพราะอากาศบนยอดเขาเท่านั้น
“เปล่าขอรับ ข้าไม่ได้หมายถึงร่างกาย”ฟงเป่าตอบพลางยิ้มเจื่อนๆออกมา ขืนผู้ฝึกฝนพลังวิญญาณเป็นหวัดได้คงน่าขำพิลึก
“งั้นหรือ แล้วเป็นที่อะไรล่ะ”หนี่หลิงหนานถามพลางมองฟงเป่าด้วยท่าทีเป็นห่วง พวกตนฝึกฝนกับอู๋หมิงมาได้สักพักแล้ว โดนเล่นงานมาเป็นหมื่นๆครั้ง หากมีอาการบาดเจ็บตกค้างคงแย่แน่ๆ
“ข้า…ข้าแค่นึกถึงตอนท่านพ่อท่านแม่โดนพวกตระกูลหยูสังหารขอรับ”ฟงเป่าตอบด้วยท่าทีเศร้าๆ เพราะลางสังหรณ์เมื่อครู่ทำให้ฟงเป่าเผลอนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในคืนที่ครอบครัวตนเองโดนสังหารขึ้นมา แม้ตอนนี้จะใช้ชีวิตสุขสบายดี แต่ก็ไม่อาจลืมความแค้นที่ยังตามหลอกหลอนได้
“ไม่ต้องกังวลหรอก อีกไม่นานเจ้าก็จะแก้แค้นได้แล้ว”หนี่หลิงหนานว่าพลางจับมือฟงเป่าเอาไว้ด้วยท่าทีให้กำลังใจ ยามนี้พลังวิญญาณของฟงเป่าและหนี่หลิงหนานรุดหน้าอย่างมาก ทั้งยาของหลินเฟยทั้งสถานที่พิเศษที่เต็มไปด้วยพลังวิญญาณทำให้ฟงเป่าและคนอื่นๆก้าวขึ้นมาระดับเสินเซียนกันหมดแล้ว แถมยังอยู่ระดับ 4 ระดับ 5 กันทั้งนั้น แต่คนที่เร็วที่สุดกลับเป็นอาทู้ การฟื้นฟูพลังของอาทู้รวดเร็วมากเมื่อได้มายังสถานที่แห่งนี้ แถมชีพจรวิญญาณทั่วร่างยังหายดีตั้งแต่ชิวซุยรักษาให้ ด้วยวิชาลมปราณมังกรทำให้ยามนี้พลังของอาทู้แทบจะแข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มศิษย์เอกเลยทีเดียว
แต่ถึงอย่างนั้นหากต่อสู้กันจริงๆ อาทู้อาจจะด้อยกว่าฟงเป่าหรือหนี่หลิงหนานนิดหน่อย เพราะอาทู้ไปเน้นฝึกวิชาเยียวยาของผู้ใช้พลังธาตุศักดิ์สิทธิ์เสียมากกว่า แต่หากนางฝึกวิชาคว้าจับมังกรให้เชี่ยวชาญกว่านี้อาจจะเหนือกว่าพวกฟงเป่าไปอีกก็เป็นได้
“ขอรับ”ฟงเป่าพยักหน้าน้อยๆก่อนจะปล่อยพลังวิญญาณของตนมา ระดับขั้นเสินเซียนที่คิดว่าเป็นระดับสูงสุดกลับเป็นระดับขั้นที่เข้าถึงได้ไม่ยากเลยหากมีวิชาที่เหมาะสมและรู้วิธีช่วยเหลืออย่างยาสมุนไพรหรือพื้นที่ที่มีพลังวิญญาณหนาแน่นเช่นนี้ หากฝึกแบบนี้ต่อไปอีกสักครึ่งปีบางทีฟงเป่าอาจจะชนะหยูเจินเหอได้อย่างง่ายดายเสียด้วยซ้ำ
“อากกก”ระหว่างที่หนี่หลิงหนานกำลังให้กำลังใจฟงเป่าอยู่นั้น อยู่ๆร่างของหลินเฟยก็ลอยลงมากระแทกพื้นหญ้าใกล้ๆกับพวกตนเสียอย่างนั้น
“ลุกขึ้นมา”อู๋หมิงยิ้มกว้างด้วยท่าทีสบายใจก่อนจะบอกให้หลินเฟยลุกขึ้นมาฝึกต่อ แม้หลินเฟยจะอยู่ระดับเจ้าสวรรค์ขั้นที่ 2 แล้วแต่จะให้สู้กับอู๋หมิงอย่างสูสีคงอีกนาน
“ท่านตา ท่านยังไม่พออีกหรือขอรับ”หลินเฟยถามพลางนอนแผ่อยู่กับพื้นไม่ยอมลุกขึ้นเสียที
“การได้ต่อสู้กับยอดฝีมือถือเป็นโชคดีนะหลินเฟย”อู๋หมิงยิ้มพลางเดินมายืนข้างๆหลินเฟยทันที แต่การโดนยอดฝีมืออัดเรื่อยๆแบบนี้สำหรับหลินเฟยแล้วมันเหนื่อยมากต่างหาก
“ถ้าอย่างนั้นทำไมท่าตาไม่ไปสู้กับท่านน้าจูล่งล่ะขอรับ”หลินเฟยถามพลางทำหน้ามุ่ย นี่พวกตนฝึกอยู่นี่มาตั้งหลายเดือนแล้วท่านตาอู๋หมิงยังไม่ยอมไปไหนเลย ท่าทางท่านจะว่างมากจริงๆ
“กับจูล่งไม่ได้หรอก แบบนั้นข้าก็ไม่ได้ฝึกอะไรนะสิ”อู๋หมิงส่ายหน้าช้าๆหากเป็นไป๋จูเหวินยังพอว่า แต่กับจูล่งที่มองเห็นอนาคต การหลอกล่อของอู๋หมิงนั้นไม่ได้ผลเลย แถมความเร็วยังใช้กับจูล่งไม่ได้อีก โดนจูล่งสวนทีเดียวก็แพ้แล้วแบบนั้นไม่เรียกฝึกหรอก
“จริงสิ…ที่สำนักอาจจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นระหว่างข้าไม่อยู่ก็ได้ ท่านตาพรุ่งนี้ข้าจะกลับสำนักที่อาณาจักรซานก่อนนะขอรับ”หลินเฟยโดนฝึกโหดเข้าก็มักจะหาทางหนีเสมอ สุดท้ายก็หาเรื่องกลับสำนักมันกลางทาง แต่เจ้าตัวกลับไม่รู้เลยว่าคำที่เผลอลั่นออกไปเมื่อครู่จะกลับกลายเป็นเรื่องจริงเสียอย่างนั้น