บุตรอสูรบรรพกาล - ตอนที่ 671 รับมือได้แน่
ตอนที่ 671
รับมือได้แน่
“หากเป็นเรื่องอสูรละก็ หลินเฟยของอาณาจักรเราคงจะช่วยได้นะ”จักรพรรดิอาณาจักรซานว่าพลางผายมือไปทางหลินเฟย เรื่องที่หลินเฟยพยายามฝึกฝนเด็กรุ่นใหม่ให้เป็นนักสำรวจในเขตอสูรนั้นองค์จักรพรรดิรู้ดี แถมพอเริ่มทำแบบนั้นสินค้าในอาณาจักรซานก็มีมากขึ้น ของหายากที่เคยหาแทบไม่ได้ก็เริ่มป้อนเข้ามาเรื่อยๆ เรียกได้ว่าตั้งแต่สำนักเหยี่ยวทะเลทรายเริ่มตั้งกลุ่มนักล่าอสูรขึ้นมา ระดับของหายากในอาณาจักรซานก็มีการเปลี่ยนแปลงเลยทีเดียว
“ท่านพ่อจะทราบหรือไม่ขอรับว่าอสูรที่มาเป็นอสูรประเภทใดบ้าง”หลินเฟยเอ่ยปากถามหลังจากโดนเสนอชื่อออกไป แน่นอนว่าหลินเฟยยินดีให้ความร่วมมืออยู่แล้ว เพียงแต่ตอนนี้หลินเฟยยังไม่ทราบสถานการณ์ว่าอันตรายแค่ไหน หากมีผู้ใช้พลังดึงดูดเหล่าอสูรยกทัพอสูรมาบุกจริงเรื่องนั้นหลินเฟยอาจจะจัดการได้ไม่ยาก บางทีหลินเฟยอาจจะใช้หมอกของหนี่หลิงหนานปกคลุมกองทัพอสูรเอาไว้แล้วเข้าไปชิงตัวผู้ใช้พลังดึงดูดเหล่าอสูรออกมา แม้จะไม่เท่าบิดาแต่วิชาลอบเร้นของหลินเฟยก็พอใช้ได้ แต่หากไม่ใช่ผู้ใช้พลังดึงดูดเหล่าอสูรโอกาสที่ผู้นำของกองทัพอสูรอาจจะเป็นอสูรรูปร่างมนุษย์ก็ยังมี แบบนั้นอาจจะลำบากนิดหน่อยเพราะหากมีอสูรระดับเกินบรรพกาลขั้นที่ 5 ขึ้นไปหลินเฟยก็รับประกันได้ไม่เต็มที่ว่าจะสามารถจัดการได้ แบบนั้นหลินเฟยอาจจะต้องฝืนคำสั่งตระกูลไป๋แล้วใช้ความสามารถดึงดูดเหล่าอสูรเสียเอง เพียงแต่หากทำเช่นนั้นหลินเฟยก็ต้องกลับไปรายงานที่ตระกูลไป๋และอาจจะโดนเพิ่มโทษได้
“พวกเราเก็บข้อมูลมาได้ไม่มาก แต่อสูรที่เห็นมีหลากหลายชนิดมากจึงเป็นเรื่องยากที่จะจำแนกให้ท่านฟังได้”คนของอาณาจักรเซินตอบด้วยสีหน้าสำนึกผิด ฝูงอสูรที่มีไป๋จูล่งนำทัพแค่จะแอบดูจากระยะไกลยังยากลำบากไม่ต้องพูดถึงเรื่องสู้ หน่วยสอดแนมที่เน้นไปทางเก็บข้อมูลได้ข้อมูลมาว่าเป็นกองทัพอสูรก็ดีนักหนาแล้ว
“เป็นอสูรต่างชนิดกันงั้นหรือ”หลินเฟยพยักหน้าช้าๆ หากเป็นอสูรต่างชนิดกันก็หมายความว่าโอกาสที่คนนำทัพจะเป็นอสูรในร่างมนุษย์มีน้อยลง เพราะหากต่างพันธุ์กันเกินไปก็รวมฝูงกันได้ลำบาก แม้จะอาศัยร่วมเขตอสูรได้แต่ยกทัพมาบุกด้วยกันแบบนี้หากไม่มีผู้นำคงวุ่นวายกว่านี้แน่ๆ
“เรื่องอสูรพวกท่านไม่ต้องใส่ใจก็ได้”ระหว่างกำลังปรึกษากันอยู่นั้น อยู่ๆคนของอาณาจักรซินผู้หนึ่งพูดพลางยิ้มออกมาด้วยท่าทีมั่นใจเสียเต็มที่
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร”จักรพรรดิเซินถามพลางมองชายคนนั้นด้วยท่าทีงุนงงไม่ต่างจากคนอื่นๆ ต่อหน้าทัพอสูรที่กวาดล้างทั้งอาณาจักรมาแล้วมันเอาความมั่นใจแบบนี้มาจากไหนกัน
“หึหึ…..ข้าไม่ทราบหรอกนะว่าท่านหลินเฟยผู้นี้มีความรู้เรื่องสัตว์อสูรมากน้อยแค่ไหน แต่เกรงว่าจะไม่เท่ากับสหายข้าท่านนี้”ชายหนุ่มว่าพลางผายมือไปทางหญิงสาวที่หลินเฟยพบก่อนเข้ามาในเต็นท์บัญชาการ
“พอดีเลย ข้าสงสัยมาสักพักแล้วว่าแม่นางท่านนี้เป็นใคร แล้วมาทำอะไรที่นี่”แม่ทัพของอาณาจักรซุยพูดขึ้นพลางมองหญิงสาวของอาณาจักรซินอย่างไม่ไว้วางใจ พลังของนางเหนือกว่าคนอื่นๆก็จริง แต่ยังมีบางคนที่เชื่อว่าพลังระดับเสินเซียนขั้นที่ 10 คือที่สุดแล้วเกรงว่าหญิงสาวคนนี้เพียงใช้ลูกไม้อะไรเพื่อเพิ่มแรงกดดันวิญญาณเสียมากกว่า
“ข้ามีนาว่าหวังกุ้ยฉิน ปัจจุบันเป็นยอดฝีมืออันดับ 1 ของอาณาจักรซิน”หวังกุ้ยฉินยืนขึ้นแนะนำตัวด้วยท่าทีกล้าหาญ นางไม่มีท่าทีอะไรกับชายหนุ่มที่มองนางกันทั้งห้องเลย
“แล้วแม่นางหวังท่านนี้มีความสามารถอะไรงั้นหรือถึงกล้ารับประกันเรื่องอสูรกับพวกเราได้”คนของอาณาจักรเซียงถามด้วยท่าทีข้องใจ แม้นางจะมีฝีมือจริงแต่ก็ใช่ว่าจะฝากทุกอย่างเอาไว้กับนางได้
“ข้าสามารถรับมืออสูรได้ด้วยความสามารถพิเศษเจ้าค่ะ ต่อให้อสูรมาเป็นร้อยเป็นหมื่นข้าก็มั่นใจว่าจะสามารถหยุดพวกมันได้”หวังกุ้ยฉินตอบด้วยท่าทีมั่นใจอย่างมากท่ามกลางสายตาครหาของเหล่าคนสำคัญแต่ละอาณาจักร นางเป็นยอดฝีมือหญิงที่กล้าท้าทายผู้คนจนกลายเป็นยอดฝีมืออันดับ 1 ได้นางไม่ใช่ผู้หญิงอ่อนแออย่างแน่นอน
“ความสามารถพิเศษ…. มีอะไรทำให้พวกเราเชื่องั้นหรือ”จักรพรรดิของอาณาจักรเซินถามด้วยท่าทีไม่เชื่อนัก หากมีคนบอกว่าสามารถจัดการอสูรได้ไม่ว่าจะเท่าไหร่เรื่องนั้นก็ต้องเป็นเรื่องแปลกอยู่แล้วไม่ใช่หรือ เพียงแต่ในห้องนี้คนที่มีท่าทีอึ้งที่สุดคงหนีไม่พ้นหลินเฟย ทั้งสกุลหวัง ทั้งความสามารถที่นางกล่าวอ้าง ทั้งหมดล้วนแล้วแต่เหมือนคนที่มาจากตระกูลดั้งเดิมฝั่งท่านทวดหญิงเลยไม่ใช่หรือ เช่นนั้นเรื่องที่นางมีพลังอสูรติดตัว รวมทั้งพาอสูรมาด้วยบางทีอาจจะเกี่ยวข้องกับตระกูลหวังก็เป็นได้
“เช่นนั้นเชิญข้างนอกเจ้าค่ะ”หวังกุ้ยฉินว่าพลางเดินนำออกไปนอกเต็นท์อย่างรวดเร็วทำให้คนอื่นๆต่างค่อยๆลุกตามนางไปช้าๆ
“มีอะไรก็ว่ามา”คนของอาณาจักรซุยว่าพลางกอดอกมองหวังกุ้ยฉินด้วยท่าทีไม่เชื่อถือ เพียงแต่ระหว่างที่มันถามนกที่เกาะอยู่บนไหล่หวังกุ้ยฉินก็กระพือปีกบินมาอยู่ข้างๆนางทันที
“พวกท่านอาจจะยังไม่ทราบ แต่นกตัวนี้คืออสูรวิหคที่มีพลังเหนือกว่าข้าเสียอีก บางทีแค่นางตนเดียวก็คงจัดการพวกท่านในที่นี้ได้สบาย”หวังกุ้ยฉินพูดด้วยใบหน้ายิ้มเย็นยะเยียบ นางไม่ได้พูดโม้โอ้อวดเลยเพราะนกตนนั้นมีพลังระดับมายาขั้นสูง หรือเทียบกับพลังของมนุษย์ก็คือระดับเทียนเซียนขั้น 10 นั่นเอง ลำพังอสูรตนนี้คนที่รับมือได้เกรงว่าจะมีเพียงหลินเฟยและจางจินเท่านั้น
“เจ้าตัวเล็กเนี่ยนะ”แน่นอนว่าในร่างเล็กๆเหมือนนกกระจอกของอสูรตนนี้คงทำให้คนหวาดกลัวได้ยากหน่อย แถมคนพวกนี้สัมผัสพลังอสูรไม่ได้คงไม่รู้ความร้ายกาจของมันเป็นแน่
“เจ้าว่าใครตัวเล็กงั้นหรือ”เสียงหวานของนกสีแดงเพลิงพูดออกมาด้วยท่าทีเย้าหยอกก่อนที่เปลวเพลิงสีแดงสดจะลุกท่วมร่างของนกตัวนั้น พริบตาต่อมาเปลวไฟก็พวยพุ้งขึ้นท้องฟ้าก่อนจะแผ่ขยายจนกลายเป็นรูปร่างของปักษาเพลิงขนาดใหญ่ตนหนึ่ง ขนาดตัวของมันยามนี้พอๆกับท่านตาไก่ฟ้าเลย เดาว่าป่านนี้คนในค่ายคงแตกตื่นกันหมดแล้ว
“……..”แน่นอนว่าเหล่ายอดฝีมืออาณาจักรต่างๆรวมทั้งจักรพรรดิทั้ง 5 พระองค์เองก็ตกตะลึงจนพูดอะไรไม่ออก แม้สัมผัสพลังอสูรไม่ได้แต่อสูรที่น่าเกรงขามเช่นนี้พวกมันเพิ่งเคยได้เห็นเป็นครั้งแรกจริงๆ
.
.
หลังจากหวังกุ้ยฉินแสดงความสามารถสิ่งที่พวกหลินเฟยต้องทำเป็นอย่างต่อไปก็คือควบคุมเหล่าทหารของตนเองให้สงบจิตสงบใจกันก่อน ซึ่งมันก็กินเวลาไม่น้อยเลยกว่าจะจัดการเรียบร้อย แต่เพราะความสามารถของหวังกุ้ยฉินทำให้แผนการวางได้ง่ายขึ้นมาก แถมหลินเฟยยังโล่งใจอีกด้วยเพราะเท่านี้หลินเฟยก็ไม่ต้องฝืนใช้พลังดึงดูดเหล่าอสูรแล้ว ต่อให้บังเอิญอีกฝ่ายเป็นอสูรระดับบรรพกาลขั้นสูงๆก็ยังไม่เป็นไร ทำให้แผนรับมือขั้นต่อไปคือการรับมือกับผู้นำทัพของอีกฝ่ายนั่นเอง ซึ่งแผนการในจุดนี้วางเอาไว้รัดกุมมาก แถมยังได้รับความร่วมมือจากอสูรปักษาเพลิงของหวังกุ้ยฉินอีกต่างหาก เรียกได้ว่าเหล่าจักรพรรดิโล่งใจกันถ้วนหน้า
“อาจารย์ นกเพลิงนั่นคืออะไรหรือขอรับ”พอหลินเฟยกลับมายังกลุ่มสำนักตนเองคำถามของฟงเป่าก็ถูกยิงออกมาทันที แม้จะได้สัญญาณว่านกเพลิงไม่ใช่ศัตรูแต่เรื่องทั้งหมดก็ยังไม่กระจ่างสำหรับคนภายนอกอยู่ดี
“ดูเหมือนที่อาณาจักรซินจะมีผู้ใช้ความสามารถเหมือนกับตระกูลไป๋อยู่ อสูรปักษานั่นก็เป็นอสูรประจำตัวของนางนั่นล่ะ”หลินเฟยตอบด้วยท่าทีสบายๆ แต่คนที่เข้าใจก็คงมีแต่พวกศิษย์เอกที่ได้เดินทางไปอาณาจักรไป๋กับหลินเฟยมาแล้วเท่านั้น
“พลังเหมือนของตระกูลไป๋…”อาทู้เบิกตากว้างด้วยท่าทีตกใจ พลังที่เปลี่ยนอาณาจักรไป๋ให้เป็นค่ายกลอสูรระดับมหึมานั่นนะหรือ
“นาง..นางเป็นใครหรือเจ้าคะ”ทันทีที่ได้ยินเรื่องนี้อยู่ๆเซี่ยจินเย่ก็เอ่ยปากถามกับหลินเฟยทันที ผู้มีพลังเหมือนกับตระกูลไป๋ก็หมายความว่าน่าจะเป็นญาติห่างๆของตระกูลไป๋ไม่ใช่หรือ บางทีผู้หญิงคนนั้นอาจจะเป็นญาติของเซี่ยจินเย่ และอาจจะพานางไปพบกับพ่อของนางเข้าก็เป็นได้
“รู้สึกว่านางจะชื่อหวังกุ้ยฉิน เป็นยอดฝีมืออันดับ 1 ของอาณาจักรซิน”หลินเฟยตอบด้วยท่าทีสบายๆ เรื่องมีญาติห่างๆของตนอยู่ที่นี่ก็เป็นเรื่องประหลาดใจอยู่หรอก แต่เอาไว้คุยกันหลังจัดการปัญหาของอาณาจักรก่อนก็ยังได้
“อาจารย์ ข้าอยากพบท่านผู้นั้นเจ้าค่ะ”แต่เซี่ยจินเย่เหมือนจะรอไม่ไหว นางอยากจะไปพบหวังกุ้ยฉินเสียตอนนี้เลยด้วยซ้ำ
“ทำไมเจ้าถึงอยากพบนางล่ะ”หลินเฟยเห็นท่าทีของเซี่ยจินเย่แปลกไปอย่างชัดเจนก็เอ่ยปากถามด้วยท่าทีสงสัย
“ข้า…”เซี่ยจินเย่ชะงักไปเหมือนไม่กล้าจะบอกเรื่องของตนให้หลินเฟยฟัง ทำไมล่ะ… เรื่องของนางตระกูลไป๋ก็ทราบกันหมดแล้ว แต่ทำไมนางถึงต้องปิดบังเรื่องนี้ไม่กล้าบอกหลินเฟยด้วย นางกลัวอะไรกันแน่
“เจ้าตอบไม่ได้งั้นหรือ”หลินเฟยถามพลางถอนหายใจออกมา แต่ท่าทีของเซี่ยจินเย่เป็นเรื่องมองข้ามไม่ได้จริงๆ นางแทบไม่เคยบอกความต้องการของตัวเองมาก่อนเลย ตอนนางบอกว่าอยากให้เป็นดูนางมากกว่านี้หลินเฟยก็พยายามใส่ใจนางมากขึ้นแล้ว แต่นางก็ไม่พูดสิ่งที่อยากได้ออกมาจนถึงขั้นแอบหนีไปหาชิวซุยคนเดียวจนพวกหลินเฟยเป็นห่วงกันยกใหญ่ แต่คราวนี้นางถึงกับออกปากขอร้องมันต้องเป็นเรื่องสำคัญมากจริงๆ
“เจ้าค่ะ…”เซี่ยจินเย่ตอบพลางมองหลินเฟยด้วยท่าทีรู้สึกผิด
“งั้นก็ได้ข้าจะไปถามนางให้ว่าสามารถมาพบเจ้าได้หรือไม่”หลินเฟยตัดสินใจตอบรับความต้องการของเซี่ยจินเย่ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังเขตของอาณาจักรซินที่อยู่ริมสุดทันที
“………..”เพียงแต่ พอหลินเฟยเดินทางมาถึงที่พักของอาณาจักรซินแล้ว หลินเฟยกลับไม่พบหวังกุ้ยฉินในกลุ่มคนอาณาจักรซินเลย นี่มันจะมืดอยู่แล้วนางไปอยู่ที่ไหนกัน….
“ตรงนั้นงั้นเหรอ”หลินเฟยตัดสินใจใช้ดวงตาสีม่วงและสีน้ำเงินตรวจสอบไปรอบๆจนสุดท้ายก็พบหวังกุ้ยฉินอยู่ในเขตป่าห่างออกไปจากกลุ่มทหารไม่ไกลนัก แน่นอนว่าหญิงสาวจะแยกตัวออกไปตามลำพังคงมีเหตุผลไม่มาก หลินเฟยจึงตรวจสอบให้แน่ใจว่านางไม่ได้ไปอาบน้ำหรือไปทำธุระส่วนตัวเสียก่อนจึงเข้าไปหานางด้วยตนเอง หวังว่านางจะไม่ถือสาเรื่องเข้าใจผิดก่อนหน้านี้และยอมฟังคำขอร้องของหลินเฟยนะ
กึก…
ระหว่างกำลังเข้าไปหาหวังกุ้ยฉิน แม้สายตาจะตรวจสอบได้แล้วว่านางกำลังนั่งอยู่บนกิ่งไม้ร่วมกับอสูรของนาง แต่หลินเฟยไม่ทราบเลยว่านางนั่งทำอะไร พอเข้าไปใกล้มากๆเข้าหลินเฟยก็ได้ยินเสียงฮัมเพลงแว่วออกมาจากภายในป่า กว่าจะทราบว่าหวังกุ้ยฉินกำลังร้องเพลงกับอสูรของตนหลินเฟยที่ไม่ได้ตั้งใจจะแอบเข้าไปก็โผล่หน้าออกไปเสียแล้ว
“กรีด…”ทันทีที่เห็นว่ามีคนเข้ามาเห็นช่วงเวลาสุนทรีของนางอยู่นั้น หวังกุ้ยฉินกลับสะดุ้งโหยงสุดตัวไม่จนแทบร่วงต้นไม้ เล่นเอานางรีบตะกายหาที่จับเพื่อพยุงร่างตนเองเอาไว้แทบไม่ทัน เรียกได้ว่ามาดหญิงแกร่งเมื่อช่วงบ่ายหายไปหมดสิ้นไม่มีเหลือเลย
“จะ เจ้า….เจ้าต้องการอะไรถึงได้แอบเข้ามาแบบนี้”หวังกุ้ยฉินถามพลางจ้องหลินเฟยตาเขียวปัด ทำเอาหลินเฟยได้แต่หัวเราะเจื่อนๆออกมา อีแบบนี้มันจะเชิญนางไปหาเซี่ยจินเย่ได้หรือเปล่านะ…