บุตรอสูรบรรพกาล - ตอนที่ 676 ไว้ใจไม่ได้
ตอนที่ 676
ไว้ใจไม่ได้
“เจ้าคือเซี่ยจินเย่สินะ”หลังจากตกลงกับหวังกุ้ยฉินแล้ว นางก็ตกลงเดินทางมาที่พักของสำนักเหยี่ยวทะเลทรายตามคำขอของเซี่ยจินเย่ทันที
“เจ้าค่ะ….”เซี่ยจินเย่พยักหน้าช้าๆพลางเดินเข้าไปหาแขกที่ตนพึ่งได้พบหน้าเป็นครั้งแรก หวังกุ้ยฉิน หญิงสาวที่มีพลังดึงดูดเหล่าอสูรเหมือนกันตระกูลไป๋ และอาจจะเกี่ยวข้องกับบิดาของเซี่ยจินเย่อีกด้วย
“ข้าได้ยินว่าเจ้าอยากพบข้า เจ้ามีเรื่องอะไรงั้นหรือ”หวังกุ้ยฉินพอออกห่างไป๋จูล่งก็ทำตัวสง่าผ่าเผยราวกับวีรสตรีตามที่เคยทำทันที ในสายตาของผู้อื่นนางนั้นเป็นคนที่แข็งแกร่งและทรงพลังมาก ในอาณาจักรซินล้วนมีแต่คนเกรงใจนางกันทั้งนั้น แม้แต่องค์จักรพรรดิเองก็ยังไม่กล้าต่อปากต่อคำกับนางหากไม่จำเป็นเลย
“เจ้าค่ะ…ข้าได้ยินมาว่าท่านมีความสามารถพิเศษที่ทำให้อสูรเชื่อฟังได้”เซี่ยจินเย่ตอบพลางเดินเข้าไปนั่งที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับหวังกุ้ยฉิน ตอนนี้พวกนางอยู่กันตามลำพังเท่านั้น อยากพูดอะไรก็สามารถพูดออกมาได้เต็มที่
“ถูกแล้ว ข้าและตระกูลหวังคนอื่นๆได้รับสืบทอดพลังนี้มารุ่นสู่รุ่น ท่านพ่อข้า ท่านยายข้าล้วนแล้วแต่มีพลังเช่นนี้เหมือนกันหมด”หวังกุ้ยฉินตอบออกไปตามตรงเพราะแอบทราบมาก่อนแล้วว่าแท้จริงแล้วเซี่ยจินเย่เองก็มีพลังเช่นนี้เหมือนกัน เป็นไปได้สูงว่าเซี่ยจินเย่อาจจะเป็นญาติของนางจึงไม่มีความจำเป็นต้องปิดบังอะไรทั้งนั้น
“จริงๆแล้วข้าเองก็มีพลังเช่นนั้นเหมือนกันเจ้าค่ะ…”เซี่ยจินเย่ตอบพลางก้มหน้าช้าๆ หากมองดีๆจะพบว่าใบหน้าของเซี่ยจินเย่มีส่วนคล้ายหวังกุ้ยฉินบางส่วนเหมือนกัน
“งั้นที่เจ้าอยากพบข้าก็เพราะเรื่องนี้สินะ”หวังกุ้ยฉินยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจเมื่อได้ยินเซี่ยจินเย่พูดออกมาตามตรง น่าแปลกนางพูดกับตระกูลไป๋ได้สบาย หรือแม้แต่กับคนแปลกหน้าที่พึ่งเคยได้พบครั้งแรกอย่างหวังกุ้ยฉินเองก็ด้วย แต่ทำไมถึงไม่ยอมบอกหลินเฟยเรื่องนี้กัน
“เจ้าค่ะ….จริงๆแล้วบิดาของข้าเองก็มีพลังเช่นนี้เจ้าค่ะ แต่ก่อนข้าจะเกิดบิดาของข้าก็หายตัวไปเสียก่อน ข้าก็เลย….”เซี่ยจินเย่เล่าออกมาช้าๆถึงสาเหตุที่นางอยากพบหวังกุ้ยฉิน ในเมื่อตระกูลไป๋ไม่รู้จักบิดาของนาง ก็หมายความว่าบิดาของนางอาจจะไม่ได้ขึ้นไปที่ตระกูลไป๋แต่อย่างไร และครอบครัวตระกูลหวังของหวังกุ้ยฉินนั้นก็มีโอกาสมากที่สุดแล้ว
“อย่างนี้นี่เอง บางทีบิดาของเจ้าอาจจะเป็นท่านลุงของข้า หวังโจวชู ก็ได้”หวังกุ้ยฉินได้ฟังก็สรุปออกมาอย่างง่ายดาย ทำเอาเซี่ยจินเย่แอบประหลาดใจไม่น้อยเลย
“ท่านแน่ใจหรือเจ้าคะ”เซี่ยจินเย่ถามออกไปทันทีเพราะนี่เป็นข่าวที่ชัดเจนที่สุดเท่าที่เซี่ยจินเย่เคยได้ยินมา
“ผู้มีพลังดึงดูดเหล่าอสูรมีเพียงตระกูลหวังเท่านั้นถ้านับในแผ่นดินทางใต้เท่านั้นละก็….แล้วตระกูลหวังของพวกเราก็หลบซ่อนอยู่ในเขตอสูรของอาณาจักรซินไม่ได้ออกมาโลกภายนอกนานมากแล้ว ในรอบหลายสิบปีมานี้ได้ยินว่ามีเพียงท่านลุงหวังโจวชูเท่านั้นที่ออกมาจากเขตอสูรที่พวกเราอาศัย”หวังกุ้ยฉินตอบตามที่ตนทราบ พี่ชายของบิดานางนั้นหนีออกมาจากเขตอสูรเมื่อหลายสิบปีก่อนแล้วก็ไม่ส่งข่าวกลัวมาอีกเลย หากเซี่ยจินเย่จะมีพลังดึงดูดเหล่าอสูรได้หากไม่ใช่เพราะมีตระกูลหวังสาขาอื่นอยู่อีกก็ต้องเป็นหวังโจวชูผู้นี้เท่านั้น
“หวังโจวชู”เซี่ยจินเย่พูดออกมาด้วยท่าทีอึ้งๆ ไม่น่าเชื่อเลยนอกจากจะได้เบาะแสแล้วนางยังได้ทราบชื่อของบิดาอีกต่างหาก โชคดีจริงๆที่ได้พบหวังกุ้ยฉินในวันนี้
“จริงๆแล้วตัวข้าเองก็ออกมาจากเขตอสูรเพื่อตามหาท่านลุงเหมือนกัน แต่น่าเสียดายที่ข้าเองก็ไม่ทราบเช่นกันว่าตอนนี้ท่านลุงอยู่ที่ไหน”หวังกุ้ยฉินส่ายหน้าช้าๆด้วยท่าทีเสียดาย จริงๆแล้วในอาณาจักรซานชื่อของหวังกุ้ยฉินก็พึ่งผงาดขึ้นมาเป็นยอดฝีมืออันดับ 1 ในปีนี้เอง นั่นเพราะนางพึ่งออกมาจากเขตอสูรเพื่อตามหาลุงของนาง แต่เพราะต้องเข้าไปพัวพันกับเรื่องของยุทธภพมากเกินไปนางเลยกลายเป็นยอดฝีมืออันดับ 1 ของอาณาจักรซินตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่ทราบ
“ไม่หรอกเจ้าค่ะ นี่นับเป็นข่าวดีที่สุดแล้ว หากท่านแม่ทราบท่านแม่ต้องดีใจแน่ๆ”เซี่ยจินเย่ยิ้มออกมาด้วยท่าทีพึงพอใจ แต่ก่อนนางไม่เคยคิดอยากพบบิดาเพราะอยู่กับมารดาก็มีความสุขแล้ว แต่เพราะมารดาเองก็มีนิสัยเหมือนเซี่ยจินเย่นั่นคือไม่แสดงออกเรื่องที่ตนเศร้าหรือกังวล ทำให้เซี่ยจินเย่คิดว่ามารดามีความสุขดี แต่เพราะช่วงหลังอาจารย์ทำให้นางทราบว่าแท้จริงแล้วนางเองก็มีความต้องการอยากพบบิดาเช่นเดียวกัน เมื่อลองไตร่ตรองดูแล้วเซี่ยจินเย่ก็ทราบว่ามีหรือมารดาของนางจะไม่คิดถึงบิดาเลย เซี่ยจินเย่ที่ไม่เคยพบหน้าบิดายังโหยหาถึงเพียงนี้ มารดาที่เคยใช้ชีวิตร่วมกับบิดา และไม่เคยคิดจะแต่งงานใหม่เลยนั้นจะไม่คิดถึงได้อย่างไร นอกจากจะอยากพบบิดาด้วยตนเองแล้วเซี่ยจินเย่ยังอยากจะให้มารดาของนางได้พบกับคนรักอีกครั้งด้วย
“อย่างน้อยตอนนี้ข้าก็ได้ทราบแล้วว่าข้ามีลูกพี่ลูกน้องเพิ่มขึ้นมาอีกคน”หวังกุ้ยฉินว่าพลางมองเซี่ยจินเย่อย่างเป็นมิตร เหมือนกับที่ตระกูลไป๋ทำเลยหวังกุ้ยฉินต้อนรับญาติมิตรอย่างยินดีจริงๆ
“เจ้าค่ะ”เซี่ยจินเย่ได้ยินแบบนี้เป็นครั้งที่ 2 แล้ว แต่ไม่ว่าจะกี่ครั้งนางก็มีความสุขมากอยู่ดี
“จริงสิน้องเซี่ย ข้าจะเชิญอาจารย์ของเจ้ากับท่านไป๋จูล่งไปที่บ้านตระกูลหวัง เจ้าเองก็ไปด้วยสิ”หวังกุ้ยฉินเสนอพลางมองเซี่ยจินเย่ด้วยความคาดหวัง แต่พอได้ฟังคำขอของอีกฝ่ายเซี่ยจินเย่กลับมีท่าทีอึ้งๆไปเสียอย่างนั้น
“อาจารย์ กับท่านไป๋จูล่งหรือเจ้าคะ”เซี่ยจินเย่กลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก การที่นางชวนอาจารย์ของนางและไป๋จูล่งไปพบครอบครัวนั้นก็หมายความว่านางทราบแล้วว่าหลินเฟยและไป๋จูล่งนั้นมีพลังดึงดูดเหล่าอสูรเช่นกัน ทำให้เซี่ยจินเย่พึ่งจะนึกขึ้นได้ว่าเรื่องที่ตนเองมีพลังดึงดูดเหล่าอสูรอาจจะถึงหูอาจารย์แล้วก็เป็นได้
“เป็นอะไรไป หรือว่าเจ้าไม่อยากไปงั้นหรือ”หวังกุ้ยฉินถามพลางมองเซี่ยจินเย่ด้วยท่าทีสงสัย อยู่ๆนางก็มีท่าทีอึ้งๆไปหรือว่าตนพูดอะไรไม่ดีออกไปงั้นหรือ
“เปล่าเจ้าค่ะ ข้าเองก็อยากไปเจ้าค่ะ”เซี่ยจินเย่ตอบพลางพยักหน้าช้าๆ แต่เรื่องที่หลินเฟยจะทราบความลับข้อนี้ของตนเองก็ทำให้เซี่ยจินเย่ลำบากใจไม่น้อย นางอุตส่าห์พยายามเก็บเอาไว้ไม่ยอมบอก แต่สุดท้ายท่าทางความลับจะไม่มีในโลกจริงๆ
.
.
“ไปอาณาจักรซินหรือขอรับ”ทางด้านของหลินเฟย พอทราบเป้าหมายของท่านน้าอย่างไป๋จูล่งแล้วว่าต้องการอะไร หลินเฟยก็พาจูล่งกลับมาที่เต็นท์ของสำนักเหยี่ยวทะเลทรายก่อนจะแจ้งข่าวให้ศิษย์ของตนทราบ
“ถูกแล้ว ข้าจะเดินทางไปอาณาจักรซินร่วมกับท่านน้าจูล่งและเซี่ยจินเย่ ข้าอยากจะให้พวกเจ้าเดินทางกลับสำนักเหยี่ยวทะเลทรายไปก่อน”หลินเฟยตอบด้วยท่าทีจริงจังไม่น้อย ดูเหมือนตระกูลหวังจะเก็บซ่อนตัวเป็นความลับ การจะพาคนที่ไม่เกี่ยวข้องกับตระกูลหวังเข้าไปนั้นอาจจะไม่ใช่เรื่องดีก็เป็นได้ หลินเฟยจึงตัดสินใจให้คนอื่นๆกลับสำนักไปก่อนนั่นเอง
“ขะ ขอรับท่านเจ้าสำนัก”ผานซูที่อยู่สุดมุมเต็นท์ตอบพลางกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก ที่มันเป็นเช่นนั้นก็เพราะไป๋จูล่งที่เพิ่งยิงกระสุนอัสนีเฉี่ยวหัวพวกมันไปยืนอยู่ในเต็นท์นะสิ
“…..”จูล่งที่มองเหล่าคนของสำนักเหยี่ยวทะเลทรายมองมาทางตัวเองด้วยท่าทีเหมือนจะกลัวๆก็อดประหลาดใจไม่ได้ ตอนนี้คนอื่นนอกจากหนี่หลิงหนาน อาทู้ และ ฟงเป่าแล้วคนอื่นๆต่างหนีไปยืนติดขอบเต็นท์กันหมด อย่างกับมดที่พยายามหนีน้ำท่วมเลย
“เหวอ…”จูล่งเดินเข้าไปหากลุ่มคนของสำนักเหยี่ยวทะเลทรายก้าวหนึ่ง พวกมันก็ถอยไปสิบก้าว แน่นอนว่าพวกมันที่ติดขอบเต็นท์อยู่แล้วถอยกันจนเต็นท์เอียงเลยทีเดียว
“แฮ่…”จูล่งนึกสนุกส่งเสียงขู่ออกไป แต่การล้อเล่นของจูล่งเหมือนจะไม่ทำให้คนอื่นคิดว่าล้อเล่นเลย ทันทีที่ได้ยินเสียงขู่ที่เด็กยังไม่กลัวเสียด้วยซ้ำ พวกของสำนักเหยี่ยวทะเลทรายก็ถอยออกมาเต็มแรงจนเต็นท์ที่กางอยู่ถูกดึงจนหมุดอีกด้านหลุด ก่อนจะดึงเอาผืนเต็นท์ถลกออกจนเหลือแต่โครง
“ท่านน้า ท่านไม่ใช่เด็กแล้วนะขอรับ”หลินเฟยมองภาพตรงหน้าแล้วไม่ทราบจะอธิบายความหนักใจอย่างไร พวกผานซูก็กลัวกันเกินเหตุ แต่จะว่าเข้าใจก็เข้าใจนั่นล่ะว่าท่านน้าน่ากลัวแค่ไหน หากท่านน้าไม่ได้สติแล้วหันมาช่วยฝั่งหลินเฟยละก็บอกตามตรงว่าหลินเฟยก็หมดปัญญาจะทำอะไรเหมือนกัน
“ฮ้าๆ ขอโทษที ท่าทีคนของเจ้ามันตลกดี”จูล่งตอบพลางหัวเราะออกมาเบาๆ พวกมันจะกลัวก็ไม่กลัว จะกล้าก็ไม่กล้า เหมือนรู้อยู่เต็มอกว่าจูล่งไม่ทำอะไรแน่ๆแถมยังเป็นน้าชายของหลินเฟยอีกต่างหาก แต่พวกมันก็ยังหวาดกลัวเลยแสดงอาการแบบนั้นออกมา
“ไปกันเถอะขอรับท่านน้า พวกเรายังต้องสืบเรื่องของหวังโจวชูอีก”หลินเฟยถอนหายใจออกมาก่อนจะเรียกจางจินให้ติดตามตนเองไป แม้จะพาคนไม่เกี่ยวข้องไปด้วยไม่ได้ แต่อสูรที่ไม่เกี่ยวข้องไม่นับ
“เข้าใจแล้ว”ไป๋จูล่งเลิกเล่นกับพวกคนของสำนักเหยี่ยวทะเลทรายก่อนจะตามหลินเฟยไปด้วยท่าทีสบายๆ แม้จะทราบแล้วว่าตระกูลหวังอยู่ที่ไหน แต่เรื่องบิดาของเซี่ยจินเย่นั้นยังไม่ทราบแน่ชัดคงต้องไปถามข้อมูลจากตระกูลหวังเท่าที่เป็นไปได้เสียก่อน
“หลินเฟย เจ้าดูจิตตกนะ เป็นอะไรไปงั้นเหรอ”ไป๋จูล่งถามขณะเดินไปหาพวกเซี่ยจินเย่ แม้คนอื่นจะดูไม่ออก แต่จูล่งที่สนิทกับหลินเฟยมาตั้งแต่เล็กๆดูออกได้แทบจะทันทีเลย
“เรื่องนั้น…”หลินเฟยถอนหายใจออกมาพลางเงยหน้าขึ้นไปมองเบื้องหน้า พอได้ทราบว่าเซี่ยจินเย่ปิดบังเรื่องพลังดึงดูดเหล่าอสูรกับตนเอง หลินเฟยก็ขบคิดมาตลอดว่าทำไมนางถึงทำเช่นนั้น นางสามารถบอกคนอื่นได้ แม้แต่หวังกุ้ยฉินที่เป็นคนแปลกหน้า แต่นางกลับเลือกไม่บอกหลินเฟย ไม่ว่าจะคิดเท่าไหร่หลินเฟยก็คิดไม่ออก หรือว่าในสายตานางตัวหลินเฟยจะเป็นคนที่ไว้ใจไม่ได้กันนะ