บุตรอสูรบรรพกาล - ตอนที่ 678 เบาะแส
ตอนที่ 678
เบาะแส
“ขอบใจสำหรับน้ำใจของท่านมาก”หวังกุ้ยฉินว่าพลางเดินมาหาไป๋จูล่งด้วยท่าทียินดี คำขอสุดท้ายของมังกรเขียวที่ปกปักรักษาตระกูลหวังมาเนิ่นนานนั้นไม่อาจเมินเฉยได้จริงๆ
“ท่านพ่อ ข้าตามทุกคนมาแล้วขอรับ”ไม่นานหลังจากส่งหวังจินชิออกไปมันก็กลับมาพร้อมรายงานการเรียกรวมตัวคนตระกูลหวังจนเสร็จเรียบร้อยแล้ว ยามนี้คนทั้งตระกูลจะมารวมกันที่บ้านหลักของหวังกุ้ยฉินในทันที
“เช่นนั้นพวกเราไปเตรียมโต๊ะอาหารเถอะ จะได้ต้อนรับแขกของพวกเราให้เต็มที่”หวังเหม่ยฉินว่าพลางชวนเซี่ยจินเย่และพวกหลินเฟยให้ไปที่ห้องอาหารของตระกูลหวัง เพียงแต่พอได้ยินเรื่องอาหารแล้วหวังกุ้ยฉินกลับทำท่าทีเหมือนพึ่งนึกอะไรได้
“ท่านหลินเฟย…เรื่องอาหาร”หวังกุ้ยฉินว่าพลางกระตุกชายเสื้อหลินเฟยเอาไว้ นางลืมไปเลยว่าตระกูลหวังไม่ได้ออกไปไหนมานาน ทำให้อาหารของตระกูลหวังนั้นล้วนแล้วแต่ทำมาจากเนื้ออสูร แม้จะพยายามปรับแต่งให้รสชาติดีที่สุดแล้ว แต่ก็ยังไม่เท่าอาหารข้างนอกอยู่ดี แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือเนื้ออสูรมีพิษโดยธรรมชาติอยู่แล้ว คนธรรมดาหากกินเข้าไปก็อาจจะตายในทันที แม้แต่ผู้ฝึกฝนพลังวิญญาณยังลำบาก
“ไม่เป็นไรหรอกขอรับ พวกข้าเองก็เคยอาศัยในเขตอสูรเหมือนกัน”หลินเฟยตอบพลางยิ้มเจื่อนๆออกมา นานแค่ไหนแล้วนะที่ไม่ได้กินเนื้ออสูร หลินเฟยเคยกินแค่ตอนที่ท่าตาราชสีห์คิดพิเรนทร์อยากลองเอาเนื้ออสูรในเขตท่านตาไก่ฟ้ามาทำอาหารเลียนแบบอาหารมนุษย์ดู
“ถ้างั้นให้พวกเราทำอาหารปกติดีหรือไม่เจ้าคะ”เซี่ยจินเย่ถามพลางเสนอความคิดออกมา เซี่ยจินเย่พึ่งจะเคยเข้าสงครามเป็นครั้งแรก ทำให้นางเตรียมเอาเสบียงและข้าวของเครื่องใช้ใส่มิติส่วนตัวมาไม่น้อยเลย แค่ทำอาหารเลี้ยงคนทั้งหมู่บ้านในมิติของนางมีมากพออยู่แล้ว
“เจ้ามีงั้นเหรอ ดีสิข้าจะไปบอกท่านย่านะ”หวังกุ้ยฉินยิ้มกว้างด้วยท่าทีดีใจ นางได้ลิ้มลองอาหารของมนุษย์ที่ทำจากเนื้อสัตว์ธรรมดาแล้ว บอกได้เลยว่าไม่มีวันลืมทำเอานางเข้าใจท่านลุงขึ้นมาเลยว่าทำไมอยากไปข้างนอกนัก
“ท่านน้า…ทำอะไรอยู่หรือขอรับ”หลินเฟยกำลังจะหันไปชวนน้าจูล่งให้กลับไปด้วยกัน แต่พอหันกลับไปก็พบไป๋จูล่งกำลังยืนอยู่ต่อหน้ามังกรเขียวด้วยท่าทีแปลกๆ เมื่อลองมองไปที่ดวงตาของไป๋จูล่ง หลินเฟยก็พบว่าดวงตาของท่านนั้นเป็นสีเงินทั้งสองข้าง ดวงตาสีเงินนั้นเป็นดวงตาที่ใช้งานได้ยากลำบากมาก แม้แต่ท่านตาเองก็ยังใช้ตามใจไม่ได้ ยิ่งหลินเฟยยิ่งแล้วใหญ่เพราะหลินเฟยไม่เคยใช้มันออกมาได้เลย
“เวลาของท่านเหลือไม่มากแล้ว หลังจากนี้เราคงต้องออกตามหากันอย่างจริงจัง”ไป๋จูล่งพูดออกมาช้าๆก่อนจะเปลี่ยนดวงตากลับเป็นปกติ ตระกูลไป๋ก็เป็นตระกูลหนึ่งที่ถูกอสูรเลี้ยงดูมากันตั้งแต่เล็กๆ พวกท่านน้ารวมถึงอสูรตนอื่นๆเรียกได้ว่าเป็นญาติผู้ใหญ่ของตระกูลไป๋เลย หากเทียบพวกท่านกับปู่มังกรเขียวตนนี้แล้วก็คงเหมือนกันสินะ พอนึกว่าต้องมาเจอวาระสุดท้ายของญาติผู้ใหญ่แบบนี้จูล่งเองก็รู้สึกเศร้าขึ้นมาจับใจ คำพูดที่จะตามหาหวังโจวชูให้พบนั้นเป็นคำพูดจากใจจริง
“เหลืออีกเท่าไหร่หรือขอรับ”หลินเฟยถามพลางมองไปที่ไป๋จูล่งด้วยท่าทีเศร้าๆเช่นกัน หลินเฟยก็เป็นคนตระกูลไป๋ เรื่องนี้มันก็เข้าใจดี
“เดือนเดียว”ได้ยินเวลาที่เหลืออยู่ของมังกรเขียว หลินเฟยก็เย็นวาบไปทั้งตัว บางทีคนตระกูลหวังอาจจะยังไม่ แต่เวลาที่เหลืออยู่มันน้อยเกินไป
“พวกเราคงต้องขอรายละเอียดจากตระกูลหวังแล้วล่ะ”ไป๋จูล่งตอบพลางเดินตามคนตระกูลหวังเข้าไปในห้องอาหารทันที มื้ออาหารธรรมดาครั้งแรกของตระกูลหวังทำเอาคนในตระกูลประหลาดใจกันมากกับรสชาติที่ไม่เคยสัมผัส ทำเอางานฉลองครั้งนี้ครึกครื้นกว่าที่เคย
“ท่านเชินหวู ข้ามีเรื่องอยากจะถามขอรับ”หลังงานฉลองเริ่มร้างรา ไป๋จูล่งและหลินเฟยก็เข้าไปหาหวังเชินหวูท่านปู่ของเซี่ยจินเย่นั่นเอง
“เรื่องของโจวชูสินะ”เหมือนทราบอยู่แล้วว่าพวกหลินเฟยต้องการถามอะไร หวังเชินหวูลุกขึ้นยืนก่อนจะพาพวกหลินเฟยออกไปจากห้องอาหารแล้วพาเข้าไปในห้องแห่งหนึ่งที่มีรูปวาดของตระกูลเอาไว้ แม้จะไม่ชัดเท่ารูปถ่ายแต่นี่เป็นที่เดียวที่มีใบหน้าของหวังโจวชูบันทึกเอาไว้
“ตั้งแต่บุตรชายข้าออกไปก็ไม่ทราบข่าวคราวอีกเลย สิ่งที่ช่วยตามหาได้เกรงว่าจะเป็นแค่รูปวาดรูปนี้เท่านั้น”หวังเชินหวูว่าพลางถอนหายใจออกมา น่าอายจริงๆข่าวคราวของบุตรชายกลับไม่มีอะไรเลย แม้จะส่งหวังกุ้ยฉินไปตามหาทั่วอาณาจักรซินก็ยังไม่พบอะไรเลย
“ท่านคือ พ่อของข้าหรือเจ้าคะ”เซี่ยจินเย่ว่าพลางมองไปทางรูปที่แขวนอยู่บนผนัง นี่เป็นครั้งแรกที่เซี่ยจินเย่ได้เห็นบิดาตนเอง ทำให้นางมองไปที่รูปนั้นไม่วางตาเลยทีเดียว
“ถ้าไม่มีข่าว งั้นก็หมายความว่าสถานที่ล่าสุดก็ยังเป็นที่อาณาจักรซานสินะ”หลินเฟยว่าพลางมองไปที่เซี่ยจินเย่ หากฟังตามที่ตระกูลหวังบอก หวังโจวชูเดินทางออกจากเขตอสูรหุบเขามังกรเขียว แต่ก็ไม่ได้อยู่ในอาณาจักรซิน แต่กลับเดินทางไปจนถึงอาณาจักรซาน ไม่ทราบว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นบ้างแต่มันก็ได้พบรักกับมารดาของเซี่ยจินเย่ แต่ก่อนจะคลอดเซี่ยจินเย่ออกมามันกลับหายตัวไปอีกครั้งและไม่ปรากฏข่าวคราวอีกเลย
“จริงสิ บุตรชายของท่านมีพลังอสูรด้วยหรือเปล่าขอรับ”ไป๋จูล่งถามพลางมองไปทางหวังเชินหวูด้วยท่าทีสงสัย ในตระกูลหวังที่มาร่วมงาน บางคนก็มีพลังอสูรบางคนก็ไม่มี อย่างหวังเชินหวูตรงหน้าก็ไม่มีพลังอสูร แต่บิดาของกุ้ยฉินกับตัวกุ้ยฉินเองกลับมีพลังอสูร บางทีหวังโจวชูอาจจะ….
“ไม่มีขอรับ”หวังเชินหวูส่ายหน้าช้าๆ แต่เดิมหากไม่มียาที่อาณาจักรไป๋คิดค้นขึ้นการผสานพลังอสูรเข้ากับมนุษย์นั้นเป็นเรื่องเสี่ยงอันตราย หากไม่จำเป็นจริงๆตระกูลหวังก็ไม่ทำให้คนในตระกูลรับพลังอสูรเข้าไป
“งั้นหรือ”ไป๋จูล่งพยักหน้าช้าๆก่อนจะหลับตาลง ก่อนหน้านี้ไป๋จูล่งตามหาตัวหวังโจวชูไปทั่วอาณาจักรซาน นับว่ามันได้พบเจอคนอาณาจักรซานมามากมาย แม้จะไม่ทั้งหมดแต่ด้วยความทรงจำเหนือมนุษย์ที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิดทำให้ไป๋จูล่งพยายามเทียบใบหน้าทุกคนที่เห็นในอาณาจักรซานกับรูปวาดตรงหน้า แต่ไม่ว่าจะเทียบกับใครก็ไม่เจอเลยแม้แต่คนเดียว
“ในเมืองที่ข้าเคยไปไม่มีอยู่เลย”ไป๋จูล่งตอบพลางส่ายหน้าช้าๆ ก่อนจะหันไปมองทางหลินเฟย แต่คำตอบที่ได้ก็เป็นเช่นเดียวกัน หลินเฟยไม่เคยเจอใครที่มีใบหน้าแบบนี้มาก่อนเลย
“ข้า….จะลองไปถามท่านแม่ดูเจ้าค่ะ”เซี่ยจินเย่คิดตามเรื่องราวที่พวกอาจารย์พูดคุยกันแล้วก็พอจะเข้าใจ คนสุดท้ายที่ได้พบเห็นบิดาของนางนั้นก็คือมารดานั่นเอง หากจะไปถามใครก็ต้องเป็นนางเท่านั้น
“จริงสิแม่ของเจ้าน่าจะรู้ งั้นพรุ่งนี้เราจะเดินทางกันทันทีเลย”หลินเฟยตอบด้วยท่าทีเห็นด้วยเต็มที่ก่อนจะหันไปบอกเรื่องราวให้หวังเชินหวูเข้าใจ แน่นอนว่าหวังเชินหวูเองก็ยินดีที่ทั้งสามจะช่วยตามหาบุตรชายอย่างมาก
.
.
เพราะต้องแข่งกับเวลาพวกหลินเฟยเลยไม่รอให้ถึงเช้าวันใหม่แต่อย่างไร หลินเฟย เซี่ยจินเย่ และ ไป๋จูล่ง รวมทั้งจางจินในร่างมังกรขนาดเล็กพากันขึ้นมาขี่บนหลังตงฟาง ก่อนจะให้พี่ตงฟางบินไปด้วยความเร็วสูงสุดเท่าที่จะทำได้ โดยมีเป้าหมายคือเมืองที่เซี่ยจินเย่เกิดนั่นเอง
“ท่านแม่..”ทันทีที่มาถึง เซี่ยจินเย่ก็รีบวิ่งเข้าไปในตัวบ้านก่อนจะเรียกหามารดาทันที
“เย่เอ๋อ เจ้าเป็นอะไรงั้นหรือถึงได้ดูรีบร้อนนัก”มารดาของเซี่ยจินเย่ เซี่ยหลิงซู พูดด้วยท่าทีใจดี ก่อนจะมองเดินเข้าไปจัดเสื้อผ้าของบุตรสาวที่ไม่เป็นทรงเท่าไหร่เพราะพึ่งบินด้วยความเร็วสูงมา
“ท่านแม่ ข้ามีเรื่องอยากจะถามเจ้าค่ะ”เซี่ยจินเย่ว่าพลางจ้องมองท่านแม่ของตนอย่างจริงจัง แต่เซี่ยหลิงซูกลับยิ้มหวานก่อนจะเดินไปหยิบหวีมาสางผมให้เซี่ยจินเย่ซะอย่างนั้น
“เจ้าไปทำอะไรมากัน ผมถึงได้กระเซิงขนาดนี้ มาสิแม่จะหวีผมให้”มารดาของเซี่ยจินเย่เป็นต้นแบบความไม่คิดมากของเซี่ยจินเย่โดยแท้ นางใจเย็นมากแม้บุตรสาวจะดูรีบร้อนก็ตาม
“ท่านแม่ อาจารย์ข้ามาด้วยนะเจ้าคะ”เซี่ยจินเย่หน้าแดงเมื่อเห็นว่าหลินเฟยกับไป๋จูล่งตามเข้ามาในบ้านแล้วมาเห็นสภาพนางกำลังโดนมารดาจัวหวีผมอย่างกับเป็นเด็กพึ่งไปซนข้างนอกมาไม่มีผิด
“งั้นเหรอๆ อาจารย์ทั้งสองเชิญทางนี้เจ้าค่ะ”เซี่ยหลิงซูว่าพลางเชิญพวกหลินเฟยนั่ง ก่อนจะปล่อยเซี่ยจินเย่เป็นอิสระแล้วไปหาน้ำชามาต้อนรับ
“คุณนายเซี่ย พวกเรามีคำถามอยากจะถามท่านขอรับ”หลินเฟยว่าพลางนั่งลงตรงหน้าเซี่ยหลิงซูอย่างจริงจัง แต่เซี่ยหลิงซูก็ยิ้มตอบอย่างใจดีเช่นเดิม ท่าทียิ้มแย้มอ่อนหวานไม่สนใจว่าจะเกิดอะไรขึ้นนั้นเหมือนเซี่ยจินเย่ไม่มีผิดเลย
“ข้าอยากจะถามเรื่องสามีของท่านขอรับ มันคือหวังโจวชูใช่หรือไม่”หลินเฟยถามออกไปพลางมองท่าทีของเซี่ยหลิงซูอย่างตั้งใจ เซี่ยจินเย่บอกว่ามารดาไม่เคยเล่าเรื่องบิดาให้ฟังเลย หากหวังโจวชูหายไปเฉยๆนางไม่น่าจะปิดบังเซี่ยจินเย่ขนาดไม่บอกชื่อแซ่ของบิดาให้บุตรสาวฟัง บางที…
กึก…
แม้จะเล็กน้อย แต่รอยยิ้มของเซี่ยหลิงซูก็ชะงักไปครู่หนึ่งเห็นได้ชัดเลยว่าเรื่องที่หวังโจวชูหายไปอาจจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นก็ได้
“เจ้า รู้เรื่องบิดาของเจ้าแล้วงั้นหรือ”เซี่ยหลิงซูว่าพลางหันมามองเซี่ยจินเย่ด้วยท่าทียิ้มแย้มเช่นเคย แต่คราวนี้เซี่ยจินเย่กลับเห็นได้ชัดเจนเลยว่ารอยยิ้มของมารดาดูเศร้ามากๆ
“เจ้าค่ะ ท่านแม่ข้าไม่ใช่เด็กอีกแล้วท่านบอกข้ามาเถอะเจ้าค่ะว่ามันเกิดอะไรขึ้น”เซี่ยจินเย่ว่าถามพลางมองมารดาของตนเองด้วยท่าทีขอร้อง มารดาของเซี่ยจินเย่เองก็ไม่เคยเห็นเซี่ยจินเย่จริงจังขนาดนี้เหมือนกัน แต่ก็จริงอย่างที่เซี่ยจินเย่ว่า นางโตพอที่จะทราบเรื่องพวกนี้แล้ว
“พ่อของเจ้า…หวังโจวชู”มารดาของเซี่ยจินเย่ยอมรับออกมาตรงๆว่าหวังโจวชูคือบิดาของเซี่ยจินเย่คือหวังโจวชูจริงๆ
“พ่อของเจ้า…ทิ้งแม่กับเจ้าที่อยู่ในท้องไปหาผู้หญิงคนหนึ่ง”คำตอบของเซี่ยหลิงซูทำเอาหลินเฟยและไป๋จูล่งเหงื่อตกขึ้นมาเสียเฉยๆ คำตอบที่ได้กลายเป็นปัญหาครอบครัวเสียอย่างนั้น ทำเอารู้สึกผิดเลยที่มานั่งฟังแบบนี้