บุตรอสูรบรรพกาล - ตอนที่ 683 กังวล
ตอนที่ 683
กังวล
“ยินดีที่ได้พบขอรับท่านหวังโจวชู”ไป๋จูล่งและพวกหลินเฟยลงมายังพื้นดินที่มีร่างของหวังโจวชูยืนอยู่ไม่ห่างจากร่างของจิ้งหลิงนัก แม้เวลาจะผ่านมาสักพักแล้วแต่มันก็ยังไม่อยากจะเชื่ออยู่ดีว่าจิ้งหลิงตนนั้นโดนปราบไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“พวกท่าน….เป็นใครหรือขอรับ”หวังโจวชูถามพลางมองไป๋จูล่งด้วยท่าทีเกร็งๆชายผู้นี้โจมตีแค่ครั้งเดียวก็จัดการจิ้งหลิงได้ทันที ระดับฝีมือขนาดนี้ช่างน่ากลัวยิ่งนัก
“ข้ามีนามว่าไป๋จูล่งขอรับ ส่วนทางนี้คือหลินเฟยหลานชายของข้า”จูล่งแนะนำพลางผายมือมาทางหลินเฟยอย่างสุภาพ แต่เดิมที่ไป๋จูเหวินฝากให้จูล่งมาตามหาบิดาของเซี่ยจินเย่นั้นเพราะกลัวว่าพลังดึงดูดเหล่าอสูรจะกำลังสร้างปัญหาในแผ่นดินทางใต้ แต่ที่ไหนได้พอได้พบตัวกลับกลายเป็นว่าฝั่งหวังโจวชูเองต่างหากที่กำลังเจอปัญหาเพราะพลังดึงดูดเหล่าอสูรเสียเอง แต่ก็นับว่าเป็นโชคดีของหวังโจวชูอย่างมากที่ไป๋จูล่งถูกส่งมาตามหาตอนนี้พอดี เพราะหากมีเพียงหลินเฟยเท่านั้นการรับมือกับจิ้งหลิงอาจจะต้องกินเวลานานกว่านี้ และตัวหลินเฟยกับเซี่ยจินเย่อาจจะบาดเจ็บมากกว่านี้ก็เป็นได้
“พวกเราได้รับคำขอร้องจากบิดาของท่านหวังเชินหวูให้ช่วยตามหาตัวท่าน โชคดีจริงๆที่ไม่เกิดเรื่องเสียก่อน”ไป๋จูล่งยิ้มกว้างด้วยท่าทีดีใจ ร่างกายของหวังโจวชูนั้นโรยราอย่างมาก ต่อให้เป็นผู้ฝึกฝนพลังวิญญาณระดับสูง แต่หากปล่อยไปแบบนี้อีกปี หรือ สองปีหวังโจวชูอาจจะตายเพราะอดอาหารจริงๆก็เป็นได้
“ท่านพ่อนะหรือ ทำไมท่านพ่อถึงอยากตามตัวข้าล่ะ ข้าตกลงกับท่านแล้วนี่นา”หวังโจวชูถามด้วยท่าทีงุนงง ตอนออกจากบ้านหวังโจวชูตกลงกับบิดาแล้วว่าจะไม่มีการห้ามหรือตามตัวกลับโดยเด็ดขาดเพราะตัวหวังเชินหวูต้องการเคารพการตัดสินใจของหวังโจวชูนั่นเอง
“ท่านหวังเชินหวูต้องการให้ท่านกลับไปร่วมดูใจท่านปู่มังกรเขียวขอรับ”จูล่งตอบออกไปตามตรงเพราะเวลาที่เหลืออยู่ของปู่มังกรเขียวเหลือไม่ถึงเดือนแล้ว ไม่จำเป็นต้องพิรี้พิไรอีกยิ่งหวังโจวชูกลับไปที่เขตอสูรหุบเขามังกรเขียวได้เร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดี
“ท่านว่าอะไรนะ ท่านปู่มังกรเขียวเป็นอะไร”หวังโจวชูพอได้ทราบข่าวก็มีท่าทีตกใจเป็นอย่างมาก ตอนมันออกมาท่านปู่ยังแข็งแรงดีอยู่เลยนี่นา
“หมดอายุขัยขอรับ ท่านอยู่มานานมากแล้วจะถึงช่วงเวลานั้นก็ไม่แปลก”ไป๋จูล่งตอบพลางถอนหายใจออกมา นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ไป๋จูล่งได้เห็นอสูรที่กำลังหมดอายุขัย ยิ่งพวกอสูรระดับต่ำที่มีอายุขัยน้อยก็เห็นกันได้ไม่ยาก เพียงแต่อสูรตนนี้เป็นอสูรที่สำคัญกับตระกูลหวังมาก ทำให้จูล่งเองก็อดเศร้าไปด้วยไม่ได้
“งั้นข้าต้องรีบกลับไป…..”หวังโจวชูได้ยินเช่นนั้นก็เตรียมตัวจะเดินทางกลับทันทีแต่เมื่อเหลือบไปเห็นเซี่ยจินเย่ที่กำลังให้หลินเฟยรักษาบาดแผลอยู่นั้นมันก็ชะงักไปครู่หนึ่ง
“ไม่สิ…ข้ามีที่ต้องไปก่อน”โจวชูพูดด้วยท่าทีคิดหนัก มันไม่ทราบว่าท่านปู่มังกรเขียวเหลือเวลาอีกเท่าไหร่ แต่มันก็ไม่ได้พบหน้าภรรยามาตั้งหลายสิบปี แถมครั้งล่าสุดมันยังทิ้งนางมาอย่างไร้เยื่อใยอีกต่างหาก ตอนนี้ทั้ง 2 เรื่องเป็นปัญหาใหญ่ของหวังโจวชูเลยก็ว่าได้
“ท่านแวะไปหาภรรยาก่อนเถอะขอรับ ตอนนี้เรายังเหลือเวลา ถมสภาพท่านตอนนี้ไปคงทำให้ครอบครัวเป็นห่วงเสียมากกว่า”จูล่งว่าพลางมองสภาพร่างกายของหวังโจวชูตอนนี้ นอกจากอดอาหารจนร่างกายซูบผอมแล้วมันยังขอบตาดำปี๋เพราะไม่ได้หลับไม่ได้นอนอีกต่างหาก
.
.
หลังจากกลับมาถึงบ้านเกิดของเซี่ยจินเย่ หวังโจวชูก็เข้าไปหาเซี่ยหลิงซูทันที นางดูตกใจอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน แถมยิ่งหวังโจวชูเล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้ฟังเซี่ยหลิงซูก็ยกโทษให้มันอย่างง่ายดายตามที่เซี่ยจินเย่คาด มารดาของนางเป็นคนใจดีจะตายนี่นา
“เป็นอะไรไปหรือ”ระหว่างที่ครอบครัวของเซี่ยจินเย่กำลังสานสัมพันธ์กันสามพ่อแม่ลูกอยู่นั้น ทางไป๋จูล่งก็เดินเข้าไปหาหลินเฟยที่ออกมานั่งรับลมอยู่ข้างนอกตัวบ้าน
“เปล่านี่ขอรับ”หลินเฟยส่ายหน้าช้าๆ ก่อนจะหันไปมองท้องฟ้ายามค่ำคืนต่อ ก่อนหน้านี้เซี่ยจินเย่สารภาพความในใจของนางออกมา และหลินเฟยก็ไม่ได้ซื่อบื้อถึงขนาดฟังความในไม่ออก เพียงแต่ตนกับเซี่ยจินเย่นั้นเป็นอาจารย์กับลูกศิษย์ ตามธรรมเนียมแล้วไม่อาจมีความสัมพันธ์รักใคร่กันได้ ยิ่งตอนนี้ความจริงที่ว่าทั้งสองเป็นญาติห่างๆกันเป็นจริงแล้วด้วยยิ่งทำให้หลินเฟยคิดมากเข้าไปใหญ่ว่าจะตอบรับความรู้สึกของเซี่ยจินเย่อย่างไรดี
“แม้แต่ข้ายังมองออกเลยว่าเจ้ากำลังกังวลอยู่”ไป๋จูล่งหัวเราะออกมาพลางขยี้หัวหลานชายเบาๆ ท่าทีกังวลของหลินเฟยแทบจะเหมือนมีอักษรเขียนบนหน้าให้อ่านได้อย่างชัดเจนไม่มีผิด
“งั้นหรือขอรับ”หลินเฟยยิ้มเจื่อนๆออกมา ถ้าแม้แต่ท่านน้าจูล่งยังดูออกแสดงว่ามันเก็บอาการไม่อยู่จริงๆนั่นล่ะ
“ทุกคนก็ย่อมมีเรื่องกังวลทั้งนั้นล่ะ”ไป๋จูล่งว่าพลางเงยหน้ามองท้องฟ้าตามหลานชาย แต่คำพูดนี้ของไป๋จูล่งกลับทำให้หลินเฟยเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจ
“ท่านน้าเนี่ยนะมีเรื่องกังวล”หลินเฟยถามออกไปด้วยท่าทีไม่อยากจะเชื่อ ชายผู้แข็งแกร่งเหนือใครเทียบ มีทั้งคนรักเงินทองชื่อเสียง แถมเป็นคนที่สามารถหาความสุขได้ตลอดเวลาแทบไม่เคยเห็นท่านน้าเครียดเสียด้วยซ้ำ คนแบบนี้หรือมีเรื่องกังวล
“ข้า….อยากมีลูก”ไป๋จูล่งตอบพลางมองมาทางหลินเฟยด้วยท่าทีจริงจัง
“เอ๊ะ…..”พอได้ยินเช่นนั้นหลินเฟยก็ชะงักไปทันที แน่นอนว่าทุกคนย่อมอยากมีทายาท ยิ่งไป๋จูล่งเองก็แต่งงานอยู่กินกับพวกท่านน้าๆทั้ง 5 คนอยู่แล้วจะมีลูกสักคนก็ไม่แปลก แต่ว่า….
“เจ้าก็รู้นี่ ว่าข้าเป็นอะไร”จูล่งพูดพลางยิ้มบางๆออกมา แม้จะเล็กน้อยแต่ก็สัมผัสได้ถึงความเศร้าจากน้ำเสียงของจูล่ง ไป๋จูล่งคือ ซารา และการสืบสายเลือดของซารานั้นใช้รูปแบบกาฝาก หรือก็คือตัวไป๋จูล่งนั้นไม่สามารถมีลูกตามปกติได้ ทางเดียวที่ไป๋จูล่งจะสร้างทายาทก็คือต้องสร้างน้ำตาแก้วผลึกขึ้นมาแล้วให้คนรักคู่หนึ่งกินเท่านั้น
“……..”หลินเฟยหยุดหายใจไปครู่หนึ่งเมื่อนึกถึง หยกน้ำตาแก้วผลึก จากไป๋จูล่ง ลำพังผู้ที่ได้กินมันเข้าไปคงแข็งแกร่งขึ้นมหาศาลแน่ๆ แต่…..เด็กที่เกิดมานั้นจะเป็นตัวตนแบบไหนกัน หากเด็กคนนั้นเกิดมาแล้วถูกเลี้ยงดูได้ไม่ดีพอ โอกาสที่โลกจะเจอกับภัยอันตรายร้ายแรงนั้นย่อมมาถึง แน่นอนว่าทางแก้นั้นง่ายดายมากเพียงแค่ไม่ให้ไป๋จูล่งมีทายาทก็พอ แต่แบบนั้นมันจะโหดร้ายกับไป๋จูล่งเกินไปหรือเปล่า
“หรือว่า ที่ท่านตากำลังทำอยู่ก็เพราะ…….”หลินเฟยหันมามองไป๋จูล่งด้วยท่าทีตกใจ ก็ว่าแปลกที่ทำไมอยู่ๆท่านตาก็จะลบล้างชื่อเสียงของตระกูลไป๋เอาตอนนี้ ทั้งๆที่ตระกูลไป๋ก็อยู่กันอย่างสงบสุขแล้ว
“ใช่ ท่านตาของเจ้ายอมให้ข้ามีลูก แล้วก็จะปิดเขตอสูรผาไร้ก้นเพื่อเลี้ยงดูเด็กคนนั้น”ไป๋จูล่งตอบพลางยิ้มออกมาด้วยท่าทีซาบซึ้งใจ การให้เด็กที่เกิดจากหยดน้ำตาแก้วผลึกของไป๋จูล่งเกิดออกมานั้นเสี่ยงมาก แต่ไป๋จูเหวินก็ไม่เลือกทางที่ปลอดภัยแต่ต้องทำร้ายบุตรชายของตนเอง ไป๋จูเหวินเลือกที่จะสร้างโอกาสที่เด็กคนนั้นจะกลายเป็นคนดีมากกว่าจะไม่ให้เด็กคนนั้นเกิดมา เพราะหากมัวแต่คิดว่าไม่ให้เกิดมาเสียดีกว่าคงไม่มีไป๋จูล่งในวันนี้
“ข้าเอง..ก็จะช่วยด้วยขอรับ”หลินเฟยได้ยินเช่นนั้นก็เสนอตัวเข้าช่วยทันที แค่เลี้ยงเด็กคนนั้นให้กลายเป็นคนดีก็พอสินะ
“แต่เจ้าต้องรับโทษให้ครบก่อนนะ”ไป๋จูล่งหัวเราะพลางมองหลินเฟยด้วยท่าทีเอ็นดู ตอนนี้อย่าว่าแต่ช่วยเลี้ยงเลยหลินเฟยยังกลับเข้าเขตอสูรผาไร้ก้นไม่ได้เสียด้วยซ้ำ
“ระ เรื่องนั้นก็แน่นอนอยู่แล้วขอรับ”หลินเฟยยิ้มเจื่อนๆออกมาพลางเกาแก้มเขินๆ มันยังเหลือเวลารับโทษอีกตั้ง 8 ปีกว่าๆยังไม่ได้กลับเขตอสูรผาไร้ก้นเร็วๆนี้หรอก
“เอาเถอะ ข้ายังหาคนที่จะมอบหยดน้ำตาแก้วผลึกให้ไม่ได้ด้วย แถมขั้นตอนการลบตระกูลไป๋ออกจากหน้าประวัติศาสตร์ก็ยังต้องทำอีกหลายอย่าง บางทีเจ้าอาจจะได้กลับเขตอสูรผาไร้ก้นก่อนก็ได้”ไป๋จูล่งหัวเราะพลางเอนกายมองท้องฟ้าด้วยท่าทีผ่อนคลายลง
.
.
“ท่านพี่ ที่นี่คือบ้านเกิดของท่านงั้นหรือ”เซี่ยหลิงซูพูดขณะมองภาพเขตอสูรหุบเขามังกรเขียวตรงหน้าด้วยท่าทีอึ้งๆ ยามนี้เซี่ยหลิงซูนับเป็นสะใภ้ของตระกูลหวัง นางจึงสามารถเข้ามาได้เช่นกัน
“ใช่แล้ว”หวังโจวชูยิ้มพลางมองภาพเบื้องล่างด้วยท่าทีคิดถึง ยามนี้ตัวมันกลับมามีเนื้อมีหนังมากขึ้นแล้ว เพราะได้สมุนไพรที่หลินเฟยเอามาให้บำรุงร่างกาย เรียกได้ว่าแข็งแรงดีแล้วก็ว่าได้
วูบ…..
ขณะกำลังจะลงไปจอดใต้ต้นไม้ใหญ่กลางหุบเขา อยู่ๆหวังโจวชูก็สัมผัสได้ถึงแรงลมจากด้านหลัง ตัวมันไม่มีพลังอสูรเลยสัมผัสไม่ได้ แต่การมาถึงของกลุ่มอสูรขนาดใหญ่เบื้องหลังมันทำให้เหล่าอสูรในเขตอสูรหุบเขามังกรเขียวแตกตื่นกันถ้วนหน้า
“นี่มันอะไรกัน”หวังโจวชูมองเหล่าอสูรที่กำลังบินลงมาจากฟ้าด้วยท่าทีหวาดกลัว แม้จะสัมผัสพลังอสูรไม่ได้แต่แรงกดดันที่พวกมันส่งออกมานั้นมากกว่าจิ้งหลิงเสียอีก
“ท่านพี่”ยังไม่ทันได้คำตอบ ร่างของไป๋ชิวซุยก็กระโดดลงมาจากไหนก็ไม่ทราบก่อนจะตรงเข้าไปหาหลินเฟยที่อยู่บนหลังของจางจินพอดี
“นี่มากันหมดเลยงั้นเหรอ”หลินเฟยกลืนน้ำลายลงคอพลางมองเหล่าอสูรของเขตอสูรผาไร้ก้นที่ยกกันมาเกือบทั้งตระกูลเลยทีเดียว
“ท่านตาบอกว่าอยากจะมาเคารพท่านปู่มังกรเขียวที่ช่วยปกป้องตระกูลหวังด้วยเจ้าค่ะ พวกเราก็เลยจะมาร่วมอำลากันหมดเลย”ชิวซุยตอบพลางยิ้มกว้างด้วยท่าทีดีใจ ตั้งแต่ยังไม่ได้พบหวังโจวชูไป๋จูล่งก็ส่งจดหมายไปบอกไป๋จูเหวินถึงเรื่องราวของตระกูลหวังแล้วนั่นเอง
“ท่านหวังเชินหวู ข้ามีนามว่าไป๋จูเหวินขอรับ ข้ามาที่นี่เพื่อร่วมส่งท่านปู่มังกรเขียวขอรับ”ทันทีที่อสูรของเขตอสูรผาไร้ก้นลงถึงพื้น ทุกตนก็เปลี่ยนไปเป็นร่างมนุษย์ทันทีพร้อมตัวไป๋จูเหวินที่เดินไปทักทายหัวหน้าตระกูลหวังด้วยตนเอง เมื่อทราบเรื่องของปู่มังกรเขียวไป๋จูเหวินก็นึกถึงมารดาอสูรแมงมุมขึ้นมาทันที ในช่วงเวลาแบบนี้ญาติพี่น้องควรมาร่วมแสดงความเป็นห่วงไม่ใช่หรือ