บุตรอสูรบรรพกาล - ตอนที่ 689 แผนล่ม
ตอนที่ 689
แผนล่ม
“ได้ยินเจ้าค่ะ”เซี่ยจินเย่พยักหน้าช้าๆพลางยิ้มออกมาด้วยท่าทีสบายๆตามแบบฉบับของนาง ดูไม่ออกเลยว่าการโดนศิษย์ร่วมสำนักเพ้อออกมาว่าชอบคนเดียวกันกับที่นางชอบแล้วนางรู้สึกอย่างไร
“แล้วเจ้า….”อาทู้ยังไม่ทันจะถามอะไรเซี่ยจินเย่กลับเลื่อนมือมาแตะมือของอาทู้เอาไว้เบาๆ แต่เท่านั้นก็ทำเอาอาทู้ไม่กล้าจะพูดอะไรออกไปอีก
“ดีแล้วเจ้าค่ะ”เซี่ยจินเย่ตอบด้วยใบหน้ายิ้มแย้มเช่นเดิม ดีแล้วงั้นหรือ การที่อาทู้บอกว่ารักหลินเฟยเหมือนกันมันดีแล้วอย่างนั้นหรือ
“แต่ว่า….”
“ดีแล้วเจ้าค่ะ”แม้อาทู้จะพยายามหาเรื่องให้ตัวเองผิด แต่เซี่ยจินเย่กลับส่ายหน้าแล้วยืนยันคำเดิม ไม่ว่าอาทู้จะหาข้ออ้างอะไรมาตำหนิตัวเองและทำให้ตัวเองไม่เหมาะสม แต่สำหรับเซี่ยจินเย่ที่มีเวลาคิดมาทั้งคืนแล้วนั้นคำตอบก็มีแค่คำตอบเดียวที่นางยืนยันมาสักพักแล้ว
“ขะ ขอบใจ….”อาทู้พยักหน้าน้อยๆก่อนจะก้มหน้าลงช้าๆ แบบนี้ก็กลายเป็นว่าพวกนางทั้งสองคนสารภาพความรู้สึกของตัวเองกับอาจารย์ไปแล้วสินะ แล้วจะทำอย่างไรต่อไปดี นางควรเข้าหาหลินเฟยเหมือนที่เซี่ยจินเย่ทำหรือเปล่า
“เรา….ไปหาอาจารย์กันเถอะ”เซี่ยจินเย่ปล่อยมือของอาทู้ออกก่อนจะลุกขึ้นยืนเดินนำหน้าอาทู้ออกไปจากห้องพักทันที ตอนนี้หลินเฟยรออยู่ที่ร้านอาหารด้านล่างคิดว่าคงนั่งรอให้อาทู้ตื่นตั้งแต่เช้าแล้ว
“นั่นสิ..”อาทู้พยักหน้าพลางเดินตามเซี่ยจินเย่ลงมา ในเมื่อสารภาพออกไปแล้วตอนนี้นางก็ต้องเข้าชนเท่านั้น ไม่มีทางให้ถอยอีกแล้ว แถมพอนึกถึงคำพูดของอาจารย์เมื่อคืนนางก็คงไม่มีวันปล่อยอาจารย์ไปแน่ๆ
“นั่งสิ”ทันทีที่ลงมา พวกเซี่ยจินเย่ก็พบว่าหลินเฟยสั่งอาหารมานั่งรออยู่แล้ว แถมยังเตรียมเก้าอี้เอาไว้ฝั่งตรงข้ามจองตนเองเอาไว้ 2 ตัวอีกด้วย
“อาจารย์….”อาทู้นั่งลงพลางมองไปทางหลินเฟยด้วยท่าทีประหม่า ต่อให้ทำใจมาแล้วแต่ก็ไม่กล้ามองหน้าหลินเฟยตรงๆอยู่ดี
“ข้าไม่ชอบที่มันคาราคาซังอยู่แบบนี้”อยู่ๆหลินเฟยก็เปิดบทสนทนาขึ้นมาเสียดื้อๆ ทำเอาศิษย์ทั้งสองสะดุ้งโหยงไปตามๆกัน นึกว่าหลินเฟยจะเลี่ยงต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นอย่างที่ทำกับเซี่ยจินเย่เสียอีก
“ข้าได้รับคำสารภาพรักจากศิษย์ทั้งสองคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามข้าตอนนี้”หลินเฟยพูดพลางกอดอกและส่ายหน้าช้าๆหรือว่าพวกนางกำลังจะโดนหลินเฟยปฏิเสธตรงๆงั้นหรือ
“ถ้าท่านบอกว่าเพราะพวกเราเป็นศิษย์อาจารย์กันข้าขอบอกเลยว่าข้าไม่สน อาณาจักรซานแทบไม่เคยรับศิษย์หญิง กฎที่ว่าอาจารย์และศิษย์ไม่ควรมีสัมพันธ์กันไม่มีอยู่ในสำนักฝึกฝนพลังวิญญาณ”อาทู้ที่พึ่งสารภาพไปหมาดๆพอจะโดนปฏิเสธเข้าก็เกิดรับไม่ได้รีบแก้ต่างทันที ไม่ไหวหรอกที่นางไม่กล้าสารภาพรักส่วนหนึ่งเพราะกลัวอาจารย์จะปฏิเสธและทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างศิษย์อาจารย์จบลงด้วย ในเมื่อหลุดปากไปแล้วยังไงก็ต้องยื้อเอาไว้เท่านั้น
“อาจารย์ เผื่อท่านจะยังไม่ทราบแต่ตระกูลหวังมีธรรมเนียมแต่งงานกันในเครือญาติอยู่แล้วนะเจ้าคะ เพราะงั้นถึงเราจะเป็นญาติกันก็ไม่ใช่ปัญหาหรอกเจ้าค่ะ”แต่คนที่ร้อนตัวที่สุดคงเป็นเซี่ยจินเย่เองเพราะนางไม่ใช่แค่ศิษย์ของหลินเฟยเท่านั้นแต่ยังเป็นญาติของหลินเฟยอีกต่างหาก
“พวกเจ้านี่ร้อนตัวกันจริงๆ”หลินเฟยเห็นทั้งสองพยายามแก้ตัวก็ยิ้มเจื่อนๆออกมา มันยังไม่ทันได้ตอบอะไรเลย
“ข้ากลายเป็นคนโลเลแบบนี้ไปได้ไง”หลินเฟยถอนหายใจออกมาพลางมองหญิงสาวทั้งสองที่อยู่ตรงหน้า หากตัดเรื่องที่ทั้งสองเป็นศิษย์ของหลินเฟยออกไปและเรื่องที่เซี่ยจินเย่เป็นญาติของหลินเฟยด้วย ทั้งสองก็เป็นหญิงสาวอายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับหลินเฟยพอดี เซี่ยจินเย่อายุห่างจากชิวซุยไม่มากส่วนอาทู้ก็แก่กว่าหลินเฟยไม่มากเช่นกัน พูดกันตามตรงแต่เดิมการที่หลินเฟยมาเป็นอาจารย์ของพวกนางมันแปลกกว่าการที่หลินเฟยจะเป็นคนรักของพวกนางเสียอีก
“ข้าจะตัดเรื่องศิษย์อาจารย์ หรือญาติออกไปก่อน”หลินเฟยว่าพลางจ้องมองหญิงสาวทั้งสองตรงหน้าอย่างจริงจัง เรื่องความงามพวกนางทั้งสองมีเสน่ห์แบบของพวกนางเองอยู่แล้ว เรื่องนั้นหลินเฟยเลือกให้เป็นเรื่องรอง เพียงแต่ช่วงเวลาที่อยู่กับพวกนางหลินเฟยเอาใจใส่พวกนางมากกว่าผู้หญิงคนอื่นๆ แม้จะเพราะเป็นลูกศิษย์แต่ก็ทำให้หลินเฟยรู้จักพวกนางดีกว่าพวกสาวๆที่เคยจีบเสียอีก นอกจากนี้ความใกล้ชิดของพวกนางกับหลินเฟยก็มีมากเสียด้วยเพราะตั้งแต่ที่หลินเฟยแกล้งบาดเจ็บ พวกนางก็ตามดูแลหลินเฟยตลอด หากจะบอกว่าไม่รู้สึกดีกับพวกนางเลยคงไม่ได้ แถมพักหลังๆหลินเฟยยังเริ่มมองพวกนางในฐานะผู้หญิงคนหนึ่งแล้วด้วย แม้แต่ตอนนี้หลินเฟยยังจำภาพเซี่ยจินเย่ที่กอดตนเองเอาไว้แน่นหลังจากช่วยเหลือนางมาจากอสูรงูพิษอย่างจิ้งหลิง และภาพเมื่อคืนที่อาทู้ร้องไห้เพราะเมาและเพ้อเรื่องตนเองไม่เหมาะสมออกมาไม่หยุดได้ติดตา นี่มันเป็นพวกแพ้น้ำตาผู้หญิงหรืออย่างไร
“เซี่ยจินเย่ อาทู้….พวกเจ้าจะเป็นคนรักของข้าได้หรือไม่”หลินเฟยถามพลางมองทั้งสองสาวด้วยท่าทีจริงจัง มันไม่สนเรื่องความเหมาะสมอีกแล้ว มันต้องเสียใจแน่ๆหากปล่อยผู้หญิงดีๆแบบนี้ออกไปจากชีวิต
“เอ๊ะ….”ทั้งเซี่ยจินเย่ทั้งอาทู้ที่กำลังเข้าใจผิดว่าหลินเฟยกำลังจะปฏิเสธพวกตนพากันมองหน้ากันด้วยท่าทีตกใจ
“อะไรกัน พวกเจ้าไม่ตอบรับงั้นเหรอ”หลินเฟยว่าพลางยิ้มออกมาบางๆ ท่าทีตกใจของพวกนางดูตลกดีไม่น้อยเลย
“จะเจ้าค่ะ…”ทั้งเซี่ยจินเย่ทั้งอาทู้ต่างพยักหน้าตอบรับทันทีหลังจากมองตากันครู่หนึ่งแล้ว เท่านี้พวกนางก็ไม่ต้องกังวลกันแล้วสินะ
“ฮึก….”อยู่ๆน้ำตาของทั้งสองสาวก็ไหลออกมาเสียอย่างนั้นทำเอาหลินเฟยเผลอตกใจจนหุบยิ้มก่อนหน้านี้เลย
“พวกเจ้าเป็นอะไรไป ทำไมถึงกลายเป็นร้องไห้ได้ล่ะ”หลินเฟยถามพลางลุกไปหาพวกนางทันที
“ข้านึกว่า….ท่านจะไม่สนใจคำสารภาพของข้าซะอีก”เซี่ยจินเย่ว่าพลางเช็ดน้ำตาเบาๆ นางกังวลมาตั้งหลายวันเพราะคำสารภาพของนางโดนปล่อยผ่านอยู่ตั้งนาน ถึงนางจะเข้าหาหลินเฟยแค่ไหนมันก็ไม่มีท่าทีแตกต่างไปจากเดิมเลยทำเอาเซี่ยจินเย่วิตกมาตลอด
“ข้าดีใจที่ท่านไม่รังเกียจข้า”อาทู้เองก็เช่นกัน แม้หลินเฟยจะบอกนางว่านางไม่ได้แปดเปื้อน แต่ผู้ชายส่วนมากก็ชมชอบหญิงสาวที่บริสุทธิ์มากกว่าอยู่แล้ว นางกลัวว่าหลินเฟยจะยินดีให้นางเป็นศิษย์แต่ไม่ยินดีให้นางเป็นคนรักเสียอีก
“พวกเจ้านี่ขี้กังวลกันจริงๆ”หลินเฟยว่าพลางจับมือของทั้งสองสาวเอาไว้ ตอนนี้เรื่องที่พวกนางกังวลก็โยนทิ้งไปได้แล้ว
“ขอโทษเจ้าค่ะอาจารย์”เซี่ยจินเย่ว่าพลางเช็ดน้ำตาออกเช่นกัน
“น้องเซี่ย…ไม่ใช่อาจารย์สิ”อาทู้ว่าพลางยิ้มให้เซี่ยจินเย่บางๆ ตอนนี้แม้พวกนางจะเป็นศิษย์อาจารย์กับหลินเฟยอยู่เหมือนเดิม แต่ตอนนี้พวกนางต้องเรียกหลินเฟยด้วยคำเรียกอื่นแล้ว
“ทะ ท่านพี่….”เซี่ยจินเย่ก้มหน้าลงพลางเรียกหลินเฟยอย่างที่คนรักเรียกกัน ท่าทีเขินๆของนางทำเอาหลินเฟยหลุดหัวเราะออกมาเลย
“อะไรกันน้องเซี่ย เจ้าพูดแค่นี้ก็เขินแล้วงั้นหรือ”อาทู้หัวเราะพลางมองเซี่ยจินเย่ด้วยท่าทีอ่อนโยน พอเรื่องกังวลหายไปทั้งสองก็กลับมาหยอกล้อกันเช่นเดิมไม่ห่างเหินเหมือนตอนเริ่มเดินทางเลย
“งั้นท่านก็พูดบ้างสิเจ้าคะ”เซี่ยจินเย่ว่าพลางค้อนกลับอาทู้ทันที ก็ช่วยไม่ได้นี่นานี่เป็นครั้งแรกที่นางพูดอะไรแบบนี้ มันก็ต้องอายบ้างไม่ใช่หรือ
“เรื่องนั้น….”อาทู้ว่าพลางหันไปมองหลินเฟยครู่หนึ่ง ตอนแซวก็ไม่ได้คิดอะไรพอต้องมาพูดเองก็อดเขินไม่ได้เหมือนกัน กว่าจะพูดได้ก็ใช้เวลาพักหนึ่งเลยทีเดียว
.
.
“ท่านป้า ข้าได้ยินมาว่าแถวเมืองนี้มีโจรอยู่จริงหรือเปล่าเจ้าคะ”อีกด้านหนึ่งทางฝั่งของชิวซุย ตัวนางที่ไม่ทราบเลยว่าแผนที่วางเอาไว้ล่มไปแล้วเพราะเป้าหมายของแผนแต่เดิมสำเร็จไปก่อนแล้วนั้นก็พึ่งมาถึงเมืองที่ว่ากันว่ามีกลุ่มโจรที่แข็งแกร่งที่สุดของอาณาจักรไป๋อาศัยอยู่พอดี
“โจร…..ไม่มี ไม่มีหรอก”ทันทีที่ได้ยินคำถามของชิวซุย คุณป้าร้านขายเต้าหู้ก็รีบส่ายหน้าทันทีด้วยท่าทีหวาดกลัว เห็นได้ชัดเลยว่าคำตอบออกมาตรงกันข้ามกับที่นางพูดไปคนละทางเลยทีเดียว
กลุ่มโจรที่ชิวซุยได้ยินมานั้นว่ากันว่าจับตัวยากที่สุด แม้แต่อาณาจักรไป๋ที่มีหน่วยความปลอดภัยที่เก่งกาจมากๆยังจับตัวกลุ่มโจรพวกนี้ไม่ได้ ว่ากันว่าแม้แต่ท่านตาไช่จินเจ้าของตำราจัดอันดับจอมยุทธก็ต้องใช้ความสามารถไม่น้อยกว่าจะได้ข้อมูลของกลุ่มโจรเหล่านี้มา
โจรกลุ่มนี้ไม่ได้แข็งแกร่งอะไรมาก แต่เพราะระมัดระวังไม่เข้าไปเหยียบหางเสือก็เลยไม่มีการออกมาล่าอย่างจริงจัง ดูเหมือนพวกมันจะเน้นดักปล้นพ่อค้าผิดกฎหมายที่พยายามลักลอบเข้าและออกอาณาจักรไป๋ผ่านทางชายแดน เพราะพ่อค้าเหล่านี้ทำเรื่องผิดกฎหมายก็เลยไม่กล้าไปแจ้งความ สุดท้ายเลยทำให้พวกมันสามารถปล้นของหนีภาษีจำนวนมากมาใช้งานได้นั่นเอง
“ถามเอาคงไม่ได้เรื่องสินะ”ชิวซุยถอนหายใจก่อนจะเดินเล่นภายในเมืองอีกสักพัก การตามหาโจรนั้นไม่ใช่จะหากันได้ง่ายๆ แต่ก็มีวิธีที่ได้พบพวกมันได้ง่ายๆนั่นก็คือ การถูกปล้นนั่นเอง
“ท่านลุง ข้าขอซื้อของพวกนี้หน่อยนะเจ้าคะ”ชิวซุยว่าพลางเดินเข้าไปในร้านขายข้าวของเครื่องใช้ เส้นทางธรรมชาติลักลอบข้ามชายแดนนั้นไม่สามารถเดินทางได้ด้วยรถ พวกพ่อค้าลักลอบนำของหนีภาษีข้ามชายแดนนั้นต้องแบกขึ้นหลังหรือใช้แหวนมิติเอา แต่ถ้าใส่แหวนหรือมิติส่วนตัวชิวซุยกลัวว่าจะไม่เตะตาพวกโจรก็เลยเลือกซื้อกระเป๋าสำหรับแบกของลูกใหญ่มาแทน ก่อนจะนำของที่มีในมิติยัดเข้าไปมั่วๆเพื่อให้ตนดูเหมือนพ่อค้าหนีภาษีอีกนิด
“เอาล่ะ”หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ดูเหมือนพ่อค้าแล้วชิวซุยก็แบกกระเป๋าเดินขึ้นเขาไปยังเขตชายแดนโดยมีเหมาเหมากับจางจินตามมาห่างๆ