บุตรอสูรบรรพกาล - ตอนที่ 706 คาใจ
ตอนที่ 706
คาใจ
“ข้าคิดว่า เรื่องใครครั้งนี้ไม่ควรลงมือทำอะไรขอรับ”สือหลงตอบพร้อมประสานมือให้องค์จักรพรรดิด้วยความนอบน้อม เรื่องข้อมูลจากชิวซุยก็ดี จะเรื่องที่มีนกส่งสารบินมาก็ดี รวมถึงท่าทีของท่านแม่ทัพตอนให้ไปถามคำถามจากชิวซุยอีก สือหลงเลยไม่ได้โอนเอียงไปทางร่วมมือกับท่านแม่ทัพคนอื่นๆ
“ทำไมเจ้าถึงคิดเช่นนั้นล่ะ”องค์จักรพรรดิถามพลางยิ้มออกมาบางๆ ความจริงแล้วเรื่องที่จักรพรรดิหลิวซีสถาปนาอาณาจักรหลิวขึ้นมาแทนอาณาจักรไป๋นั้นอยู่ในรายงานที่ติดมากับนกส่งสารแล้ว แม้จะไม่ได้ประกาศอย่างเป็นทางการ แต่สำหรับจักรพรรดิแต่ละอาณาจักรแล้วต่างได้รับทราบทั่วกันว่าการกระทำในครั้งนี้อยู่ภายใต้คำสั่งของไป๋จูเหวินอดีตจักรพรรดิไป๋นั่นเอง หรือพูดง่ายๆก็คือเหล่าจักรพรรดิทุกพระองค์ต่างได้ทราบกันแล้วว่าจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงเรื่องสนธิสัญญาและการรุกรานจากอาณาจักรหลิวที่พึ่งก่อตั้งอย่างแน่นอน ที่จักรพรรดิจินเป่ยเอ่ยปากถามพวกแม่ทัพนั้นก็เพื่อจะดูการตัดสินใจของแต่ละคนเท่านั้น
“อาณาจักรไป๋ก่อนหน้านี้ไม่กี่วันยังสงบสุขเป็นปกติอยู่เลยขอรับ ไม่มีวี่แววความวุ่นวายแม้แต่น้อย โอกาสที่เหล่าอสูรและอาณาจักรต่างๆยังคงเป็นพันธมิตรกับอาณาจักรหลิวเช่นที่เคยเป็นกับอาณาจักรไป๋เกรงว่าจะยังไม่เปลี่ยนแปลง การตั้งกองทัพร่วมระหว่างอาณาจักรต่างๆจะกลายเป็นหนามทิ่มแทงเราเสียมากกว่าขอรับ”สือหลงตัดสินใจเชื่อชิวซุยและเบนเข็มไปทางไม่ต่อต้านอาณาจักรหลิวเสียมากกว่า
“นั่นอาจจะเป็นการสร้างสถานการณ์ก็ได้ อย่างน้อยพวกเราควรสร้างกองทัพผสมระหว่างอาณาจักรต่างๆเอาไว้ก่อน เมื่อมั่นใจว่าอาณาจักรหลิวเป็นศัตรูจริงจึงลงมือ”แม่ทัพ 4 เสนอพลางเล่าแผนการของมันว่าควรไปขอความร่วมมือจากอาณาจักรไหนบ้าง
“จะว่าไปทางรถไฟก็เปิดตามปกตินี่นา แถมถ้าเกิดการต่อต้านของพวกอสูร ทูตของเราคงส่งจดหมายมาแน่ๆ”แม่ทัพใหญ่ได้ฟังสือหลงก็เฉลียวใจบางอย่าง ท่าทีของอาณาจักรหลิวยังคงเหมือนเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ที่พวกมันกังวลกันเป็นเพียงเรื่องที่อาจจะเกิดขึ้นก็ได้ แต่จะโทษมันก็โทษได้ไม่เต็มปากเพราะความน่ากลัวของกองทัพอาณาจักรหลิวนั้นน่าหวาดหวั่นเกินไปเท่านั้นเอง
“ข้าคิดว่าพวกเราควรรอดูท่าทีไปก่อนเหมือนที่สือหลงบอก และสืบข่าวให้แน่ก่อนว่าอาณาจักรหลิวเป็นภัยหรือไม่”แม่ทัพ 2 พูดพลางแสดงสีหน้าครุ่นคิดออกมา หากจัดตั้งกองทัพขึ้นมาแล้วอาณาจักรหลิวไม่ได้เป็นศัตรู ความสัมพันธ์ของอาณาจักรต่างๆคงเลวร้ายลงแน่ๆ
“ถูกแล้ว อาณาจักรหลิวไม่ได้คิดจะก่อเรื่องอะไรหรอก การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้เป็นเพียงการถ่ายโอนอำนาจเท่านั้น พวกเจ้าสบายใจได้ทุกอย่างยังเหมือนเดิม”จักรพรรดิจินเป่ยยิ้มออกมาก่อนจะเริ่มเฉลยช้าๆ พวกแม่ทัพไม่ใช่ขุนนางเรื่องการเมืองคงไม่ถนัดเท่าไหร่ พวกมันรู้เพียงว่าจะตอบโต้ศัตรูอย่างไร แต่ก็โชคดีที่มีคนคิดได้อยู่ไม่อย่างนั้นการลองถามครั้งนี้คงหนักใจไม่น้อย
.
.
หลังจากเฉลยเรื่องราวให้พวกแม่ทัพฟัง สือหลงก็ได้คำชื่นชมจากจักรพรรดิและเหล่าแม่ทัพคนอื่นๆไม่น้อย ท่าทางแผนการให้สือหลงออกหน้าครั้งนี้ของอั้งจินเป่าจะประสบความสำเร็จดีทีเดียว เพียงแต่คงต้องไปพูดคุยกับแม่ทัพ 4 และ 5 ให้เข้าใจอีกหน่อย
“ท่านแม่ทัพ”ระหว่างออกมาจากท้องพระโรง สือหลงก็เดินเข้าไปหาอั้งจินเป่าเพื่อจะขอพูดคุยกันก่อนจะแยกย้าย
“มีอะไรงั้นหรือ”อั้งจินเป่าถามพลางมองสือหลงด้วยท่าทีประหลาดใจ มันมีท่าทีงุนงงอย่างมากเหมือนกำลังไม่เข้าใจอะไรบางอย่าง
“ผู้หญิงที่หลี่เซียนพามาเป็นใครกันแน่ขอรับ ทำไมท่านถึงเชื่อใจนางขนาดนั้น”สือหลงถามพลางจ้องมองอั้งจินเป่าด้วยท่าทีจริงจังอย่างมาก นางบอกว่านางมีเส้นสายอยู่บ้างแสดงว่านางไม่ใช่ผู้หญิงไร้เดียงสาที่เอาตัวไม่รอดจนต้องให้หลี่เซียนมาช่วยเหลือ และนางก็ยังน่าเชื่อถือพอจะให้ท่านแม่ทัพอย่างอั้งจินเป่าเชื่อถือ เพราะแบบนั้นเรื่องที่หลี่เซียนช่วยเหลือนางเอาไว้และให้นางมาพักด้วยเพราะความสงสารก็ดูขัดแย้งขึ้นมาทันที
“ก็เป็นแม่ค้าจากอาณาจักรไป๋ ไม่สิอาณาจักรหลิวไง”อั้งจินเป่าตอบก่อนจะรีบเดินออกห่างจากสือหลงไปทันที สือหลงเป็นพวกช่างสังเกต ขืนอยู่ตอบคำถามมีหวังสือหลงจับท่าทีของตนเองได้แน่ๆ
“………..”แต่อั้งจินเป่าอาจจะลืมไปว่าตนเองไม่ใช่คนที่จะหนีไปเฉยๆโดยยังตอบคำถามไม่ชัดเจน ท่าทีเช่นนี้ของอั้งจินเป่ายิ่งทำให้สือหลงสงสัยในตัวชิวซุยมากกว่าเดิมเสียอีก นางเป็นใครกันแน่ แล้วทำไมถึงได้มากับหลี่เซียน หรือว่านางต้องการอะไรจากหลี่เซียนกันแน่
“สือหลง เจ้าเป็นอะไรงั้นหรือ”เจียนหู่เดินเข้ามาหาสือหลงด้วยท่าทีสงสัย มันเห็นแค่ว่าท่านแม่ทัพเดินหนีสือหลงไปเฉยๆแล้วสือหลงก็นิ่งอึ้งไปเสียอย่างนั้นทำเอามันสงสัยเป็นอย่างมากเลยทีเดียว
“ข้ากำลังสงสัยเรื่องผู้หญิงที่หลี่เซียนพามา”สือหลงตอบพลางหันกลับไปหาเจียนหู่ทันที ตอนนี้หลี่เซียนกลับออกไปแล้วเพราะชิวซุยยังรออยู่ที่ห้องจัดเลี้ยง ท่านแม่ทัพอั้งจินเป่าก็เพิ่งเดินหนีไปเมื่อครู่ ทำให้ระหว่างทางเหลือเพียงรองแม่ทัพทั้ง 3 เท่านั้น
“ข้าเองก็สงสัยเหมือนกัน นางดูไม่เหมือนแม่ค้าเท่าไหร่”อวิ๋นฉางเดินเข้ามาสมทบกับทั้งสองและประกาศตัวออกมาอย่างชัดเจนว่าเห็นด้วยกับสือหลงทันที
“นั่นสิ ในงานเลี้ยงนางกิริยาเรียบร้อยแถมยังดูคุยกับแขกชั้นสูงได้สบายๆ นางเหมือนลูกขุนนางที่ถูกฝึกมาอย่างดีเสียมากกว่า”เจียนหู่พยักหน้าอย่างเห็นด้วย แม้แต่กับหลิวซุนไห่นางก็ยังสามารถพูดคุยได้โดยไม่เกร็งเลยแม้จะไม่ทราบว่าพวกมันคุยอะไรกันก็เถอะ
“งั้น ข้าจะไปถามนางเลยแล้วกัน”อวิ๋นฉางเห็นว่าสหายทั้ง 2 ก็สงสัยเช่นเดียวกันเลยเดินพรวดออกไปที่ห้องจัดเลี้ยงทันทีทำเอาเจียนหู่กับสือหลงสะดุ้งโหยง มีใครเขาเดินไปถามคนที่ตัวเองสงสัยกันโต้งๆบ้างเล่า
“เจ้า มานี่หน่อย”อวิ๋นฉางเดินไม่กี่อึดใจก็มาถึงห้องจัดเลี้ยงเล่นเอาเจียนหู่กับสือหลงตามไม่ทัน แถมพอมาถึงมันก็ชี้ไปที่ชิวซุยก่อนจะเรียกมาคุยอย่างกับเรียกทหารรับใช้ไม่มีผิด
“ข้าหรือเจ้าคะ”ชิวซุยเอานิ้วมาชี้ที่ใบหน้าของตนเองด้วยท่าทีประหลาดใจ นางกำลังจะกลับไปที่บ้านพร้อมหลี่เซียนอยู่แล้วแท้ๆ
“ใช่ ข้าขอคุยกับแค่นางก็พอ เจ้าออกเอารถมารอรับนางก็แล้วกัน”อวิ๋นฉางไม่อ้อมค้อมหันไปสั่งให้หลี่เซียนออกไปห่างๆทันที
“ก็ได้…..เจ้าไม่ต้องกลัวหรอกนะ อวิ๋นฉางไม่กัดหรอก”หลี่เซียนตอบรับพลางยิ้มออกมาอย่างสบายใจ สำหรับมันแล้วอวิ๋นฉางไม่ต่างจากพี่น้องเพราะอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่จำความได้ ถึงจะหน้าดุแต่ก็เป็นคนที่มันไว้ใจที่สุด มันไม่มีทางทำอะไรชิวซุยอย่างแน่นอนโดยเฉพาะในวังด้วยแล้ว
“ท่านมีเรื่องอะไรจะคุยกับข้าหรือเจ้าคะ”ชิวซุยถามพลางมองอวิ๋นฉางด้วยท่าทีสงสัย แต่หลี่เซียนยังไม่ทันออกจากห้องทั้งสือหลงทั้งเจียนหู่ก็ตามมาจนทันพอดี
พรึบ….
อวิ๋นฉางเหวี่ยงมือวูบเข้ามาที่ใบหน้าของชิวซุย นางสัมผัสจิตสังหารไม่ได้ก็จริงแต่จะให้อีกฝ่ายยื่นมือเข้ามาหาง่ายๆแบบนี้ก็กระไรอยู่นางเลยยกมือขึ้นปัดเสียก่อน
“……..”ไม่ใช่แค่อวิ๋นฉาง แม้แต่สือหลงกับเจียนหู่ยังตกใจ แม้จะไม่ใช่ความเร็วสูงสุดของอวิ๋นฉางแต่มือที่มันเอื้อมออกไปก็เร็วมาก คนธรรมดาไม่มีทางปัดทันแน่ๆ แถมกำลังของอวิ๋นฉางไม่มีทางเลยที่จะโดนแขนผอมๆของชิวซุยหยุดได้หากนางไม่มีพลังวิญญาณอะไรเลย
กึด…
แม้จะโดนหยุดเอาไว้ แต่มือของอวิ๋นฉางก็อยู่ห่างจากเป้าหมายไม่มาก มันขยับปลายนิ้วนิดหน่อยก็มากพอจะดึงเอาผ้าปิดหน้าของชิวซุยออกมาด้วยก่อนจะโดนปัดมือทิ้งได้พอดิบพอดี
“ว่าแล้วเจ้าไม่ใช่แม่ค้าแน่ๆ อย่างน้อยก็ไม่ใช่แม่ค้าขนของข้ามชายแดนล่ะ”อวิ๋นฉางยิ้มออกมาเมื่อเห็นใบหน้าชิวซุยชัดตา ผิวของนางละเอียดอ่อนและขาวนวลจนน่าอิจฉา ไม่มีทางเลยที่แม่ค้าขายของข้ามชายแดนที่ต้องเดินข้ามภูเขาเป็นลูกๆประจำจะมีผิวเช่นนี้ได้
“เจ้าเป็นใครกันแน่”สือหลงถามพลางมองมือที่ชิวซุยยกขึ้นมาปัดฝ่ามือของอวิ๋นฉาง นางต้องมีพลังวิญญาณอย่างไม่ต้องสงสัย และการที่มันสัมผัสพลังวิญญาณของนางไม่ได้ก็หมายความว่านางปกปิดพลังวิญญาณเอาไว้ แล้วบังเอิญเสียเหลือเกินที่วิชาปกปิดพลังวิญญาณเป็นวิชาติดตัวของพวกโจรที่หลี่เซียนเข้าไปจัดการพอดี
“ข้าเป็นใครทำไมพวกท่านต้องสนใจด้วยล่ะ”ชิวซุยอดประหลาดใจไม่ได้ที่ตนเองโดนปลดผ้าปิดหน้าง่ายๆเช่นนี้ แสดงว่าอวิ๋นฉางผู้นี้มีฝีมือไม่เลวเลย
“ต้องเกี่ยวสิ หลี่เซียนเป็นสหายของข้า หากเจ้าคิดจะหลอกลวงมันก็ถือเป็นธุระของข้าที่ต้องจัดการเจ้า”เจียนหู่ตอบด้วยท่าทีจริงจังอย่างมาก หลี่เซียนเป็นคนอย่าที่เห็น ทำให้มันมักจะช่วยเหลือคนรอบกายเสมอโดยเฉพาะเหล่ารองแม่ทัพอีก 3 คนที่เหลือแทบจะได้หลี่เซียนช่วยเอาไว้หลายต่อหลายเรื่อง พวกมันเองก็ไม่ใช่คนแล้งน้ำใจ เมื่อมีคุณก็ต้องทดแทนเป็นธรรมดา
“ก็ได้ ข้าไม่ใช่แม่ค้าแต่ข้าคงบอกไม่ได้ว่าข้าเป็นใครกันแน่ แต่พวกท่านไม่ต้องห่วงหรอกข้าไม่คิดจะทำร้ายสหายของพวกท่านแน่นอน”ชิวซุยตอบพลางถอนหายใจออกมา นางเข้าใจความรู้สึกของพวกมันอยู่หรอก แต่จะให้นางบอกว่านางเป็นคนตระกูลไป๋ในสถานการณ์ที่หลิวซีพึ่งประกาศล้มล้างตระกูลไป๋แบบนี้มีหวังวุ่นวายยกใหญ่แน่ๆ
“แล้วคนสำคัญจนไม่อาจบอกได้ว่าเป็นใครอย่างเจ้ามาทำอะไรกับหลี่เซียนกันแน่ เจ้าชอบมันหรือยังไง”สือหลงถามพลางจ้องมองชิวซุยอย่างเอาจริงเอาจัง
“ก็…ใช่ ข้าสนใจตัวท่านหลี่เซียนอยู่”ชิวซุยตอบด้วยใบหน้าเขินอาย นางไม่เหมือนพี่ชายนางเสียหน่อยที่ไม่รู้หัวใจตนเอง
“ข้าไม่เชื่อหรอก งั้นเจ้าบอกข้ามาว่าเจ้าสนใจมันตรงไหน หากเจ้าตอบไม่ได้ข้าจะไม่เชื่อเจ้า”อวิ๋นฉางได้ยินว่ามีสาวงามมาชอบหลี่เซียนก็อดสงสัยไม่ได้ มันไม่ได้ดูถูกสหายหรอก แต่สาวๆที่ตาถึงพอจะชมชอบหลี่เซียนมันหายากเท่านั้นเอง
“ก็….ท่านหลี่เซียนเป็นคนดีมากๆ”ชิวซุยตอบด้วยใบหน้าเขินอาย แต่คำตอบที่ออกมากลับเป็นคำตอบพื้นๆที่เหมือนเป็นคำตอบขอไปทีเสียอย่างนั้น แบบนี้จะใช้เป็นข้อพิสูจน์ได้งั้นหรือ
“ใช่ หมอนั่นเป็นคนดีสุดๆเลย”อวิ๋นฉางได้ยินคำตอบกลับพยักหน้าอย่างเห็นด้วยเสียอย่างนั้น เสน่ห์ของหลี่เซียนคือความเป็นคนดีสุดๆนี่ล่ะ
“ก็..ไม่เถียงหรอกนะ”เจียนหู่เบือนหน้าไปทางอื่นเหมือนไม่ทราบจะหาอะไรมาโต้แย้งดี แน่นอนว่าเจียนหู่เองก็เช่นกัน
“ไม่นึกเลยว่าเจ้าจะตาถึงขนาดนี้ ข้าจะยอมเชื่อเจ้าก็ได้”อวิ๋นฉางว่าพลางคืนผ้าปิดหน้าให้ชิวซุยก่อนพยักหน้าด้วยท่าทียอมรับ เจ้าบ้านี่เป็นคนตรงไปตรงมา ได้รับคำตอบถูกใจก็เชื่อเสียอย่างนั้นเล่นเอาสือหลงได้แต่ถอนหายใจออกมา แต่ที่ชิวซุยตอบมาก็ถูกของนาง ท่านแม่ทัพดูจะรู้จักนางแน่ๆ และการที่ท่านแม่ทัพให้นางอยู่ต่อโดยไม่ต่อว่าอะไรก็แสดงว่าท่านไว้ใจนาง เช่นนั้นก็ได้แต่ไปเค้นเอาจากท่านแม่ทัพว่านางเป็นใครเท่านั้น เพราะหากเสียมารยาทไปถามกับนางหลี่เซียนคงโกรธเอาแน่ๆ