บุตรแห่งโชคที่ว่า ไม่ใช่ข้าแน่นอน - บทที่ 100 ถ้าข้าสำนึกเสียใจ ข้าจะเป็นหลานเจ้าเลย
บทที่ 100 ถ้าข้าสำนึกเสียใจ ข้าจะเป็นหลานเจ้าเลย
เมื่อสัมผัสได้ถึงความจริงใจของหลี่อวิ๋นเฟิงแล้ว ทุกคนมองหน้ากัน
แต่เมื่อครู่ศิษย์พี่หลี่อวิ๋นเฟิงเล่าเรื่องแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์มาตั้งเยอะขนาดนั้น ไม่มีอะไรที่รู้แล้วไม่พูด ตอนนี้ศิษย์พี่อยากรู้ความสัมพันธ์ระหว่างท่านปรมาจารย์สวรรค์กับสตรีศักดิ์สิทธิ์ ทั้งยังบอกว่าจะไม่บอกบุคคลที่สามเป็นอันขาดอีก
หากเรื่องเล็กแค่นี้ไม่ยอมช่วยศิษย์พี่ จะไม่ค่อยมีคุณธรรมน้ำมิตรไปหน่อยหรือไม่
“ขอให้ศิษย์พี่อย่าใจร้อน พวกเราขอหารือกันสักเล็กน้อยแล้วค่อยให้คำตอบท่าน”
หลิวไท่อี่มองม้วนหยกที่กำไว้ในมือแวบหนึ่งก่อนกลอกตารอบหนึ่ง
เขาดึงทุกคนไปข้างๆ ก่อนเอ่ยเสียงเบา “ข้าว่าได้ ท่านปรมาจารย์สวรรค์เพิ่งเข้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ก็เป็นบุตรศักดิ์สิทธิ์แล้ว จะต้องมีหลายคนไม่ยอมรับด้วยความจริงใจแน่
ศิษย์พี่หลี่เป็นศิษย์สายตรงสูงสุดของยอดเขาโอฬาร ฐานะไม่ธรรมดา ทั้งยังไม่มีเจตนาร้ายต่อท่านปรมาจารย์สวรรค์ พวกเราบอกความชอบของท่านปรมาจารย์สวรรค์กับเขาไปบ้าง บางทีอาจจะช่วยให้พวกเขาปรองดองกันได้”
เถ้าแก่ซ่งขมวดคิ้วเล็กน้อย “แต่ว่าท่านปรมาจารย์สวรรค์จะพอใจหรือไม่”
หลิวไท่อี่ยิ้มลำพองใจ “สหายซ่ง แค่นี้เจ้าก็ไม่รู้รึ! ท่านปรมาจารย์สวรรค์ยอมรับตัวเองเป็นสวรรค์ กล้าหาญไม่ยอมใคร จะไปไม่พอใจกับเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ได้อย่างไร
ในมุมมองข้านะ ตอนนี้ศิษย์ส่วนใหญ่ในแดนศักดิ์สิทธิ์ยังไม่รู้จักท่านปรมาจารย์สวรรค์ บางทีอาจจะไม่พอใจก็ได้! ตอนนี้แหละ พวกเรายิ่งต้องพยายามช่วยท่านปรมาจารย์สวรรค์ป่าวประกาศตำนานอันยิ่งใหญ่ของท่าน เพิ่มอำนาจบารมีให้ท่าน”
เจินจื้อเจี่ยเหมือนมีความคิดบางอย่าง “สหายหลิวพูดมาก็มีเหตุผลอยู่บ้าง ข้าเห็นด้วยกับสหายหลิว”
สยงเหมิ่งมองหลี่อวิ๋นเฟิงแวบหนึ่ง “ข้าคิดว่าเขาไม่ใช่คนเลว ข้าก็เห็นด้วยเช่นกัน”
เถ้าแก่ซ่งพูดด้วยความจำใจ “สหายกุ้ยกับน้องเกา พวกเจ้าคิดว่าอย่างไร!”
กุ้ยกงกงมองหลี่อวิ๋นเฟิงอย่างลึกซึ้งแวบหนึ่ง “จากประสบการณ์ที่ข้าอยู่ในวังมาหลายปี คนนี้ไม่เหมือนคนเจ้าเล่ห์ ทว่ามีใจทำร้ายคนไม่ได้ ก็จะไร้ใจป้องกันคนไม่ได้เช่นกัน พวกเขาจะเผยความลับของฝ่าบาทไม่ได้เด็ดขาด”
หลิวไท่อี่อึ้งไปเล็กน้อย “ความลับของท่านปรมาจารย์สวรรค์ ท่านปรมาจารย์สวรรค์มีความลับยิ่งใหญ่อะไรด้วยรึ”
คำพูดเขาทำให้กุ้ยกงกงอึ้งงันเล็กน้อย ซี้ด โดนจุดบอดพอดีเลย
เหมือนว่าทุกเรื่องที่ฝ่าบาททำตั้งแต่ออกจากวังมาจะเปิดเผยต่อหน้าทุกคนอยู่แล้ว ให้กล่าวแบบจริงจังก็เหมือนจะไม่มีความลับยิ่งใหญ่อะไรที่พูดไปจะกระทบถึงความปลอดภัยของฝ่าบาทจริงๆ
คิดได้ดังนั้นกุ้ยกงกงก็ถอนหายใจโล่งอกเช่นกัน ก่อนจะปล่อยให้พวกหลิวไท่อี่ไปคุยกับหลี่อวิ๋นเฟิง
……..
“อะไรนะ! บุตรศักดิ์สิทธิ์ชำนาญวิชาค้นวิญญาณประเมินแร่ แร่ที่เขาเลือกไม่เคยพลาดเลยรึ
อะไรนะ! เมล็ดน้ำเต้าเซียนที่น้องหญิงเปิดได้ก่อนหน้านี้ก็ได้บุตรศักดิ์สิทธิ์เป็นคนเลือกให้รึ
อะไรนะ! ก่อนหน้านี้บนเรือเหาะ บุตรศักดิ์สิทธิ์ฝึกคู่ประสานกับสตรีศักดิ์สิทธิ์รึ
บ้า แรงเกินไป ห้ามพูดเรื่องพวกนี้สุ่มสี่สุ่มห้าเด็ดขาดเลย โดยเฉพาะเรื่องบุตรศักดิ์สิทธิ์ฝึกคู่ประสานกับสตรีศักดิ์สิทธิ์ ห้ามแพร่งพรายออกไปเด็ดขาด ต้องรู้นะว่าศิษย์พี่ใหญ่ฟางฉางหลงรักศิษย์พี่หญิงอวิ๋นซีข้างเดียวมาตลอด! ถ้าเขาฝึกกับศิษย์พี่รองเสร็จออกด่านบำเพ็ญมาได้ยินข่าวนี้ต้องโมโหจนคลั่งแน่!
วางใจเถอะ ขอแค่พวกเจ้าไม่พูดสุ่มสี่สุ่มห้า ศิษย์พี่จะปิดปากเหมือนขวดแน่นอน
เอาล่ะๆๆ วันนี้คุยกับศิษย์น้องทุกท่านมีความสุขจริง ขอตัวก่อน จากนี้ยินดีต้อนรับศิษย์น้องทุกท่านมาเป็นแขกที่ยอดเขาโอราฬนะ ถ้าอยากรู้อะไรก็มาหาศิษย์พี่ได้เลย ศิษย์พี่ได้รับขนานนามว่าผู้รอบรู้เทพสวรรค์ ขอแค่ศิษย์น้องทุกท่านออกปาก ข้าจะบอกทุกอย่างที่รู้แน่นอน!”
เห็นหลี่อวิ๋นเฟยมีสีหน้าตื่นเต้นดีใจแล้ว กุ้ยกงกงมีสีหน้าเคร่งขรึมเล็กน้อย
เขามักจะรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ!
…………..
ขณะเดียวกัน ณ วิหารเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์อีกด้าน
ประตูใหญ่เปิดออกเนิบๆ เสิ่นเทียนเดินเข้าไปกลางวิหารทีละก้าว เขามองเสาอัสนีสัตว์เทพสองข้างทางวิหารใหญ่พลางรู้สึกมีความสุขไปทั้งตัว
เหมือนแก่นรากอัสนีเทพหยินหยางกำเนิดฟ้าปัญจธาตุในกายได้เจอลูกชายแท้ๆ
ก็ใช่ แก่นรากอัสนีเทพกำเนิดฟ้าเกิดขึ้นจากการหลอมรวมกันของอัสนีเทพปัญจธาตุหยินหยาง มีความเป็นรากฐานสูง
เสิ่นเทียนสูดลมหายใจเข้าลึกทีหนึ่ง ปรับความตึงเครียดในใจก่อนมองร่างสูงใหญ่กลางวิหาร บุรุษคนหนึ่งกำลังนั่งบนบัลลังก์ศักดิ์สิทธิ์ตรงกลางวิหารอย่างสงบเสงี่ยม สายฟ้าประกายเซียนพันรอบกายดูสงบนิ่งแต่น่าเกรงขาม
เสิ่นเทียนรู้ว่าท่านนี้คือจางหลงหยวนเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ เป็นผู้แข็งแกร่งระดับฝ่าด่านเคราะห์ที่เรียกว่าผู้อริยะในตำนาน
และที่สำคัญกว่านั้นคือเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์คนนี้มีวงรัศมีเหนือหัวสีทองบริสุทธิ์เช่นกัน
เทียบกับนักพรตชราที่มีสีขาวลายจุดดำข้างๆ แล้ว เปรียบเทียบกันไม่ได้เลย
ไม่ว่าจะแข่งเรื่องฐานะ เรื่องรูปร่าง ทรัพย์สินครอบครัว ดวงชะตาหรือบุตรสาว…
เจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์ชนะนักพรตชราได้ในพริบตาอย่างสมบูรณ์แบบ
นักพรตชรายืนอยู่หน้าเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์ ทำปากเบ้แล้วพูดว่า “ศิษย์น้องรอง ศิษย์พี่พาเขามาหาเจ้าแล้ว”
……
คนกลางสายฟ้าประกายเซียนพยักหน้าช้าๆ ก่อนเบนสายตาที่ทำให้คนรู้สึกอบอุ่นดั่งแสงตะวันใบไม้ผลิมองเสิ่นเทียน
กลยุทธ์นี้ทำให้นักพรตเต๋าอดอึ้งไปมิได้ วิชาเนตรเทพเพลิงบริสุทธิ์ก็ใช้แบบนี้ได้ด้วยหรือ
เจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์พยักหน้าแล้วเอ่ยนิ่งๆ “เจ้าหนุ่ม คนหนุ่มมีพลังน่ากลัวพร้อมแซงหน้าคนมีอายุได้จริงๆ!”
เสิ่นเทียนงุนงงเล็กน้อย เขาเหมือนเคยได้ยินน้ำเสียงแบบนี้ในทีวีเลย
“ข้าขอขอบคุณแทนแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ด้วยที่เจ้าสร้างคุณูปการให้ฝ่ายเรา เจ้าต้องการสิ่งใดก็บอกกับข้ามาได้เลย ข้าจะตอบตกลงทุกอย่าง”
เสิ่นเทียนตาเปล่งประกาย “ขออะไรก็ได้รึ”
เจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เอ่ยอย่างเฉยชา “กระทั่งคารวะข้าเป็นอาจารย์ก็ย่อมได้”
เสิ่นเทียนรีบพูด “ถ้าอย่างนั้นไม่เป็นบุตรศักดิ์สิทธิ์ได้หรือไม่ อันนี้ภาระหนักไปหน่อย”
สายฟ้าประกายเซียนพลันสั่นสะเทือน ก่อนเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์จะพูดนิ่งๆ “อืม ตกลง ข้าได้ยินชัดแล้ว บุตรศักดิ์สิทธิ์คิดว่าการฝึกฝนวิชาอัสนีไม่ง่ายเลยหวังจะได้คารวะข้าเป็นอาจารย์ เงื่อนไขนี้ข้าอนุญาต”
เสิ่นเทียนมึนงง
ขณะจะอธิบายนั้น เสิ่นเทียนพลันรู้สึกถึงแรงกดดันมหึมายิ่งกดทับที่ตัว ทำให้เขาขยับตัวไม่ได้
จากนั้นเสียงเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์ดังขึ้นในวิหารอีกครั้ง “บุตรศักดิ์สิทธิ์มีปัญจธาตุธาตุน้ำ อาจารย์จะมอบเกราะเต่าดำสมบัติวิญญาณธาตุน้ำให้เจ้า”
เพิ่งกล่าวจบก็มีแสงสีดำลอยออกมาจากกลางสายฟ้าประกายเซียน รูปร่างเหมือนกับเต่าดำ
จนแสงสีดำมาตกตรงหน้าเสิ่นเทียน แสงสว่างก็ค่อยๆ หุบเข้าไป เกราะทรงกลมอันหนึ่งลอยขึ้นมาเนิบๆ
พบว่าเกราะป้องกันนี้มีเส้นผ่าศูนย์กลางราวสองฉื่อ สีดำทุกส่วน ประทับลายลึกลับ
เมื่อเพ่งสมาธิพิจารณาดู ถึงขั้นเห็นเงามายาเต่าดำร่างหนึ่งรางๆ กำลังไหลเวียนอยู่บนเกราะ
“เกราะนี้คือสมบัติวิญญาณระดับกลาง หลังส่งพลังวิญญาณไปแล้วจะรวมเป็นเกราะแห่งเต่าดำ ในระดับขั้นเดียวกันนั้นเรียกได้ว่ามีการป้องกันเหนือชั้น ขณะเดียวกันถ้าสวมมันที่ตัวจะยกระดับความใกล้ชิดของพลังวิญญาณธาตุน้ำได้ มีส่วนช่วยในการฝึกบำเพ็ญ”
เสิ่นเทียนกล่าว “ท่านเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์ ท่านฟังผิดไปหรือไม่…”
“บุตรศักดิ์สิทธิ์เดินทางมาเหนื่อยๆ วันนี้คงล้าแล้ว กลับไปพักผ่อนเถอะ!”
วินาทีต่อมา เสิ่นเทียนรู้สึกเหมือนควบคุมร่างกายตนเองไม่ได้ ก่อนจะลอยออกจากวิหารเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์ไปเลย
…..
ตึง ประตูวิหารเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์ปิดลงอีกครั้ง
นักพรตชราแสยะปากพูดหยอกเย้า “เจ้าไร้ความรู้สึกจริงๆ รึ”
เจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เอ่ยอย่างเย็นชา “จากการวิเคราะห์ด้วยสติปัญญาเลิศล้ำแล้ว ข้าควรจะให้เขาอยู่”
นักพรตชราหัวเราะเหอะๆ “ไม่นึกเลยนะว่าศิษย์น้องรองเจ้าจะมีช่วงเวลาที่หน้าด้านเช่นนี้อยู่ หาได้ยากจริงๆ”
เสียงเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์ไร้คลื่นอารมณ์ใดๆ “จากการใช้ดุลยพินิจด้วยสติปัญญา เทียบหนังหน้าข้ากับความรุ่งเรืองของแดนศักดิ์สิทธิ์แล้ว ข้าไม่เอาหน้าไว้ก็ได้”
นักพรตชราหยุดชะงักไปก่อนจะพูดด้วยความจนปัญญา “เจ้ามั่นใจว่าเขาคือบุตรแห่งโชคเช่นนี้ แต่ว่าเขาฝึกฝนคัมภีร์คบเพลิงนะ”
เจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์พูดอย่างเฉยชา “มันก็ไม่แน่ ทุกอย่างก็ไม่ถูกต้องเสมอไป มังกรซ่อนทะยานขึ้นฟ้า ลองดูหน่อยจะเป็นอะไรไป”
นักพรตชราเบ้ปาก “ก็ใช่ ถึงอย่างไรเจ้าก็ร่ำรวยมีอิทธิพลไม่ขาดเงินทองอยู่แล้ว”
เจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์พูดราบเรียบ “ศิษย์พี่ ข้าคิดว่าเดี๋ยวท่านจะต้องเสียใจภายหลัง”
นักพรตชราอึ้งไปเล็กน้อย “เสียใจภายหลัง เสียใจภายหลังอะไร”
เจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์กล่าว “เสียใจภายหลังที่วันนี้ท่านไม่ได้แย่งรับเขาเป็นศิษย์ในวิหารเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์”
นักพรตชราพูดด้วยความไม่ยอม “ถ้าข้าเสียใจภายหลัง ข้าจะเป็นหลานเจ้าเลย!”
พูดจบ นักพรตชราก็หมุนตัววางก้ามเดินไป
……
ตลก~!
นักพรตชราทำอะไรห่ามๆ มาทั้งชีวิต ปล้นคนรวยช่วยคนจนอยู่ลำพังเป็นหมื่นลี้ จะไปเสียใจที่ไม่ได้รับตัวถ่วงขามาได้อย่างไร
ตลกจริงๆ เจ้าหนูนี่ฝึกฝนคัมภีร์คบเพลิง จากนี้จะเป็นตัวกินบ้านกินเมืองแน่นอน
จะมาบุตรแห่งโชคอะไร ต่อให้คุกเข่าหน้าข้าขอให้ข้ารับเขาเป็นศิษย์ ข้าก็ไม่มีวันตอบตกลง ไม่มีทางเด็ดขาด!
สิ่งที่นักพรตชราไม่รู้คือหลังเขาออกจากวิหารเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์ไปได้ไม่นาน สายฟ้าประกายเซียนที่วนเวียนบัลลังก์ศักดิ์สิทธิ์ค่อยๆ หุบกลับมา เผยร่างคนหนึ่ง
“ดวงชะตาผิดพลาดเป็นดาวหายนะมาตั้งแต่เยาว์วัย ตอนนี้กลับมีมหาโชคอยู่กับตัว มังกรหลับทะยานขึ้นฟ้า คำรามจักรวาลอย่างโอหัง รูปแบบชะตานี้ล้ำค่าจนมิอาจกล่าว! ศิษย์พี่ ครั้งนี้ท่านมองพลาดไปอย่างจังเลย”
เจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์มองไปทางประตูวิหาร เสี้ยวใบหน้ากระตุกเล็กน้อย เค้นเป็นรอยยิ้มออกมาอย่างยากลำบาก เหมือนกำลังมองหลานชายเดินออกไป
……………………………………………….……..