บุตรแห่งโชคที่ว่า ไม่ใช่ข้าแน่นอน - บทที่ 192 ช่วยไม่ได้ ทนไม่ไหวแล้ว มันร้อนเกินไป
บทที่ 192 ช่วยไม่ได้ ทนไม่ไหวแล้ว มันร้อนเกินไป!
เสิ่นเทียนบอกลาชาวเมืองที่อาลัยอาวรณ์และเตรียมจะจากไป
สิ่งที่ควรค่าเอ่ยถึงคือ การช่วยชาวเมืองภูเขาดำครั้งนี้ยังได้บางสิ่งที่เหนือความคาดหมายมา
นั่นคือบุญคุณที่เสิ่นเทียนช่วยมารดาของเหลียงเฉิน เขาจึงตามเสิ่นเทียนมาจะเป็นวัวเป็นม้าทดแทนคุณ
นี่ทำให้เสิ่นเทียนปวดไข่มาก เจ้าจะเป็นวัวเป็นม้าอะไรให้ข้ากัน ข้าไม่มีหญ้าให้เจ้ากินสักหน่อย
ช่วยไม่ได้ เสิ่นเทียนเลยได้แต่แสร้งทำเป็นเย็นชาและสูงส่ง ให้เหลียงเฉินไปคารวะอาจารย์ที่แดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ หากเข้าแดนศักดิ์สิทธิ์ได้ นั่นหมายความว่ายังไม่สิ้นวาสนา
สำหรับผู้ฝึกบำเพ็ญระดับสร้างฐานอย่างเหลียงเฉินแล้ว การเดินทางจากเมืองภูเขาดำไปแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ไม่ถือว่าง่าย ทว่าด้วยดวงชะตาของเหลียงเฉิน หากตัดสินใจจะไปเทพสวรรค์จริงๆ แล้วก็อาจจะไม่ได้อันตรายอะไรมาก
หากเหลียงเฉินไปถึงแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์จริงๆ ก็จะเข้าฝ่ายได้ด้วยข้ออ้างของเสิ่นเทียน
ด้วยดวงชะตาเกือบสีแดงของเขา ถือว่าเป็นคนที่มีความสามารถสำหรับแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์เลย ถึงอย่างไรยุงตัวเล็กกว่านี้ก็ยังเป็นเนื้อ
ความรุ่งเรืองของแดนศักดิ์สิทธิ์หนีไม่พ้นโอรสสวรรค์ที่สุดแห่งยุคที่มีวงรัศมีสีทองอย่างจางอวิ๋นซีและจางอวิ๋นถิง แต่ก็หนีไม่พ้นเสาเอกวงรัศมีสีแดงเช่นกัน
ผักกุยช่ายดวงชะตาหรือ แน่นอนว่าจะมีแต่ประโยชน์เพิ่มขึ้น!
………
หลังออกจากเมืองภูเขาดำมา เสิ่นเทียนก็เหาะไปทางเหนือตามภาพโชคลิขิตในความทรงจำ
ขี่ปืนไปราวสามร้อยลี้ก็หาหุบเขาแห่งหนึ่งพบ นี่ทำให้เขายิ่งมั่นใจว่าที่ตนหลงทางจากเมืองศักดิ์สิทธิ์ดาวเหนือมาเมืองภูเขาดำเป็นเพราะแผนที่ไม่ชัดเจนพอ!
ไม่อย่างนั้นหากเปลี่ยนเป็นแผนที่ที่แม่นยำ ข้าคงหาเจอทุกอย่าง!
นี่เป็นภูเขาใหญ่ที่รกร้างมาก นอกจากหญ้าป่าเหี่ยวเฉาแล้ว แทบจะไม่เห็นสิ่งมีชีวิตใดๆ เลย ราวกับว่าสิ่งที่มีพลังชีวิตแฝงอยู่ถูกสูบจนแห้งไปหมด!
สถานการณ์เช่นนี้ จริงๆ พบเห็นได้ไม่น้อยในโลกบำเพ็ญเซียน ผู้ฝึกบำเพ็ญยากจนมากมายไม่มีศิลาวิญญาณก็จะวางค่ายกลรวมวิญญาณ ดูดพลังวิญญาณเบาบางจากพื้นที่กว้างรอบๆ หดมาเป็นพื้นที่เล็กให้ตนใช้ฝึกบำเพ็ญ
แน่นอน ค่ายกลเช่นนี้ใช้แล้วเป็นปัญหามาก อีกทั้งยังทำให้สภาพแวดล้อมรอบๆ ถูกทำลายอีก ขณะเดียวกันผลลัพธ์ยังไม่เท่าศิลาวิญญาณ ผู้ฝึกบำเพ็ญจากฝ่ายใหญ่ๆ ปกติจะไม่ทำเรื่องน่าขายหน้าเช่นนี้กัน เพราะหากแพร่งพรายออกไปก็น่าอายน่าดู
ทว่าผู้สูงศักดิ์ยุงโลหิตเป็นเผ่าปีศาจ ไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้
เขารวมพลังวิญญาณหลายสิบลี้รอบๆ ผ่านค่ายกลรวมวิญญาณมาให้ตนเองฝึกฝน แต่แม้จะเป็นเช่นนั้นก็ยังไม่พอให้เขากับร่างแยกเทพโลหิตที่สองใช้ฝึกบำเพ็ญ
ถ้าไม่อย่างนั้น ผู้สูงศักดิ์ยุงโลหิตคงไม่เสี่ยงเตรียมการฆ่าล้างเมืองภูเขาดำ ใช้โลหิตบริสุทธิ์ของมนุษย์ช่วยเสริมระดับพลังของร่างแยก
ภูเขารกร้างแห่งนี้กว้างใหญ่มาก แต่เสิ่นเทียนกลับไม่กังวล เพราะเขารู้ดีว่าผู้สูงศักดิ์ยุงโลหิตซ่อนคัมภีร์เทพโลหิตหน้าที่สองไว้ที่ใด
เสิ่นเทียนขี่ปืนบินไป ไม่นานก็มาหยุดตรงปากทางเข้าหุบเขาอันลึกลับ ดวงตาเร่าร้อน
ในหุบเขาแห่งนี้เต็มไปด้วยพลังวิญญาณ กลิ่นหอมดอกไม้สีเขียวเอ่อล้น ต่างกับสภาพแวดล้อมรอบๆ ภูเขารกร้างอย่างชัดเจน
เห็นได้ชัดมากว่านี่คือที่ปิดด่านบำเพ็ญของผู้สูงศักดิ์ยุงโลหิต
ทางเข้าหุบเขานี้ยังวางค่ายกลง่ายๆ ไว้ เปล่งแสงสีโลหิต
เสิ่นเทียนสูดลมหายใจเข้าลึก เกราะศักดิ์สิทธิ์หุบเหวมังกรลอยขึ้นมาทั่วร่างอีกครั้ง พลังงานสายฟ้าห้าชนิดรวมในมือเขา
“พลังเจ็ดส่วน!”
“กุม…อัสนี…กำ…เนิด…ฟ้า!”
บึ้ม!
ลูกกลมสายฟ้าสีทองลากผ่านฟ้า ข้างหลังยังมีลำแสงตามไป มันเหมือนกับทวนยาวสีทองพุ่งทะลวงเข้าไปในหุบเขาลับแห่งนี้
ปราการค่ายกลนั้นแม้จะแข็งแกร่งมาก แต่ก็ยังไม่โหดเท่าแรงทะลวงของทวนยาว
ประกายแสงสีโลหิตแตกกระเซ็น เสิ่นเทียนตามกุมอัสนีกำเนิดฟ้าผ่าเข้าไปกลางหุบเขาตรงๆ
ฟู่ว!
ในที่สุดก็เข้ามาแล้ว
เสิ่นเทียนอดหอบหายใจมิได้
กุมอัสนีพลังเจ็ดส่วนสบายกว่าพลังสิบส่วนครั้งนั้นมาก
‘ดวงจิตดรุณของผู้สูงศักดิ์ยุงโลหิตอ่อนจริงๆ ไม่อยากเชื่อว่าอานุภาพของค่ายกลจะเปราะบางเช่นนี้’
เสิ่นเทียนแบะปาก คนปกติวางค่ายกลจะวางให้สอดคล้องกับกำลังรบของตนเอง กระทั่งแกร่งกว่ากำลังรบของตน ถ้าไม่อย่างนั้นเจ้าลงมือเองก็จบแล้ว จะเสียแรงวางค่ายกลเพื่ออะไร
ทว่าผู้สูงศักดิ์ยุงโลหิตวางค่ายกลป้องกันหน้าบ้านมีอานุภาพอย่างมากสุดกันผู้ฝึกบำเพ็ญแก่นพลังทองรอบสามได้เท่านั้น
ต้องบอกว่า เผ่ามนุษย์ในวิถีรองอย่างหลอมโอสถหรือวางค่ายกลนั้น มีข้อได้เปรียบเรื่องพรสวรรค์กว่าจริงๆ
หลังจากแก้ค่ายกลหน้าหุบเขาแล้วเสิ่นเทียนก็เดินไปกลางหุบเขา บางทีอาจจะเพราะมั่นใจในค่ายกลของตนมากไป ผู้สูงศักดิ์ยุงโลหิตจึงไม่ได้วางอุบายอื่นๆ ไว้ในหุบเขา
แน่นอน นั่นอาจจะเป็นเพราะว่าในหุบเขานี้ไม่มีของมีค่าอะไรเลย เทียบกับถ้ำวารีสวรรค์อันอู้ฟู่แล้ว หุบเขาที่ผู้สูงศักดิ์ยุงโลหิตฝึกบำเพ็ญโกโรโกโสมาก
มีเพียงบ้านเล็กๆ กลางหุบเขา นั่นคือตำแหน่งใจกลางค่ายกลรวมวิญญาณ สามารถดูดพลังวิญญาณได้มากที่สุด
เสิ่นเทียนไม่ได้เดินไปทางบ้านเล็กนั้น แต่มุ่งหน้าไปยังหน้าผาข้างๆ มือขวายื่นเถากลืนกินเซียนออกมาก่อนจะแทงเข้าไปกลางผนังเหมือนกับแส้ยาวสีเขียวมรกต แล้วกวนไปมาอย่างบ้าคลั่ง
ไม่นาน เสิ่นเทียนก็ขูดออกเป็นร่องลึก แสงสีแดงขยับประกายออกมา
นั่นคือหน้าหนังสือสีแดงหน้าหนึ่ง เหมือนกับหน้าหนังสือคัมภีร์เทพโลหิตที่เสิ่นเทียนได้มาจากผู้สูงศักดิ์ยุงโลหิตทุกประการ
เสิ่นเทียนหยิบคัมภีร์เทพโลหิตแผ่นนี้ใส่มือ ก่อนจะอดใจโล่งอกมิได้
จากนั้นก็ขี่ปืนบินไปหลายร้อยลี้จนเกือบหาทิศเหนือไม่พบแล้ว ในที่สุดก็หยุดบนเขาลูกหนึ่ง
เขาใช้เถากลืนกินเซียนมุดดินไปขุดถ้ำแบบปิดตายแห่งหนึ่งลึกไปเกือบลี้ อย่าถามว่าไม่มีอากาศหายใจทำอย่างไร ผู้ฝึกบำเพ็ญเซียนดูดซับพลังวิญญาณได้!
รอบๆ ถ้ำแบบปิดตายวางค่ายกลเก็บกลิ่นอายพลังไว้ ตัวเสิ่นเทียนยังสวมหน้ากากขนหงส์ จนเมื่อมั่นใจว่าไม่มีอะไรผิดพลาดแล้ว เขาถึงหยิบคัมภีร์เทพโลหิตสองหน้าออกมาจากอกเสื้อ
กระดาษสีโลหิตสองหน้านี้วางตรงหน้าเสิ่นเทียน ดูเหมือนเบามาก แต่ความจริงไม่ใช่เช่นนั้น กระดาษสองแผ่นนี้หนักหลายร้อยชั่ง
อีกทั้งคุณภาพยังเหนือชั้นยิ่ง ไม่อย่างนั้นไม่มีทางต้านการโจมตีสุดกำลังของป้ายคำสั่งเจ้ากระบี่ไหวแน่นอน
เสิ่นเทียนรู้สึกว่าถ้าตนแนบกระดาษสองแผ่นนี้ที่หน้าอก ก็จะใช้เป็นกระจกกันหัวใจได้
……
เสิ่นเทียนโคจรวิชาก่อนจะบีบโลหิตบริสุทธิ์มาจากนิ้วชี้มือขวาสองหยด
โลหิตบริสุทธิ์สองหยดแบ่งกันหยดบนกระดาษสีแดงสองแผ่น ก่อนจะโดนกระดาษสีแดงดูดเข้าไปทันที
ทันใดนั้นเสิ่นเทียนรู้สึกว่าฟ้าดินหมุน ภาพตรงหน้ากลายเป็นทะเลโลหิตไร้พรมแดน ตรงกลางทะเลโลหิตนั้นเขาเหมือนเห็นสิ่งมีชีวิตมากมายกำลังลอยอยู่
ขณะเดียวกันมนตร์วิชาอันลี้ลับและคลุมเครือได้หลั่งไหลเข้ามาในความคิดและประทับตราลงในความทรงจำลึกๆ
นั่นคืองวิชาลับสองแขนง แบ่งจากคัมภีร์เทพโลหิตสองหน้า
คัมภีร์เทพโลหิตหน้าแรกบันทึกยอดวิชากำเนิดโลหิตบริสุทธิ์ มีชื่อย่อว่าวิชาก่อโลหิต
เมื่อใช้วิชาลับนี้จะใช้โลหิตบริสุทธิ์ของตัวเองสร้างร่างที่สอดคล้องกับตนอย่างสมบูรณ์แบบได้ กลิ่นอายพลังและต้นกำเนิดทุกอย่างของร่างกายนี้จะเหมือนกับตัวเองทุกประการ เพียงแค่ไม่มีจิตสำนึก
และระดับพลังจะแข็งแกร่งหรืออ่อนแอก็ขึ้นอยู่กับว่าผู้สำแดงวิชาใช้โลหิตบริสุทธิ์เท่าไร ยิ่งใช้โลหิตบริสุทธิ์มากก็ยิ่งมีพลังบำเพ็ญแกร่งมากเท่านั้น
อย่างมากสุด กระทั่งถึงเจ็ดส่วนของผู้สำแดงวิชา!
แน่นอนว่าหากทำใจเสียโลหิตบริสุทธิ์ไม่ได้ก็ต้องรวมเป็นร่างแยกที่ค่อนข้างอ่อนแอก่อน จากนั้นใช้โลหิตคนอื่นมาหล่อหลอมร่างแยกนี้ ทำให้มันแข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็ว
ข้อเสียคือร่างแยกที่ดูดโลหิตบริสุทธิ์ของคนอื่นเติบโตจะไม่สอดคล้องกันอย่างสมบูรณ์ อย่างมากสุดก็มีกำลังรบราวๆ สามส่วนของผู้สำแดงวิชา
ผู้สูงศักดิ์ยุงโลหิตรวมร่างแยกเสวี่ยเหวินเค่อออกมาก็คิดจะให้ร่างแยกเซ่นไหว้โลหิตเมืองภูเขาดำเพื่อยกระดับขึ้น ถ้าไม่อย่างนั้นโลหิตบริสุทธิ์ของเขาคงไม่พอใช้จริงๆ!
ส่วนหน้าที่สองของคัมภีร์เทพโลหิตบันทึกยอดวิชาแยกดวงจิต ชื่อย่อวิชาแยกจิต
เมื่อสำแดงวิชานี้จะตัดพลังจิตของผู้ฝึกบำเพ็ญออกมาส่วนเล็กๆ ได้ แล้วนำไปใส่ในร่างแยกที่รวมขึ้นจากยอดวิชาก่อโลหิต
ดังนั้นแล้ว ผู้สำแดงวิชาก็จะควบคุมร่างแยกให้ต่อสู้ผ่านเศษเสี้ยวพลังจิตของตนได้
นิสัยของร่างแยกจะคล้ายกับหุ่นกระบอกนิดๆ ถูกเรียกว่า…บุตรเทพโลหิต!
ร่างแยกที่สร้างขึ้นด้วยวิชาลับคัมภีร์เทพโลหิตเช่นนี้มีความต่างในด้านเนื้อแท้กับการหลอมรวมกายนอกร่างของระดับหลอมรวมเทพ
ข้อแรก การหลอมรวมกายนอกร่างของระดับหลอมรวมเทพไม่ใช่ร่างแยกบริสุทธิ์ แต่เหมือนการหลอมรวมกายของมรรค เจ้าตระหนักมรรคเท่าไรก็สร้างร่างแยกมรรคออกมาได้เท่านั้น
แต่บุตรเทพโลหิตที่แยกออกมาด้วยคัมภีร์เทพโลหิตกลับไม่มีขีดจำกัดเรื่องปริมาณ ขอแค่เจ้าไม่กลัวสิ้นโลหิตบริสุทธิ์และวิญญาณโรยรา ตามทฤษฎีแล้วจะสามารถสร้างบุตรเทพโลหิตได้ตลอด
ข้อสอง ผู้ฝึกบำเพ็ญระดับหลอมรวมเทพเดินไปถึงช่วงปลายแล้วจะต้องหลอมรวมร่างแยกทั้งหมดกับร่างจริงเป็นหนึ่งเดียว
แบบนี้ถึงจะยกระดับได้ถึงจุดสูงสุด ทะลวงไประดับฝ่าด่านเคราะห์ได้
ทว่าร่างแยกบุตรเทพโลหิตกลับไม่มีข้อจำกัดตรงนี้ มันหลอมรวมหรือแยกกับร่างหลักได้ตลอด ต่อให้ฝ่าด่านเคราะห์เป็นผู้อริยะแล้วก็ยังสำแดงวิชาลับนี้ได้
ข้อสาม ร่างแยกของผู้ฝึกบำเพ็ญระดับหลอมรวมเทพจะมีความเป็นมรรคชัดเจน สำคัญกับร่างหลักมาก หากถูกสังหาร กำลังรบของผู้ฝึกบำเพ็ญระดับหลอมรวมเทพจะลดลงอย่างมาก กระทั่งการตระหนักมรรคยังพังทลายลง
แต่หลังแยกบุตรเทพโลหิตออกมาแล้ว โลหิตบริสุทธิ์กับพลังจิตของร่างหลักจะเสียหายและกำลังรบลดลงในเวลาสั้นๆ แต่เมื่อฝึกบำเพ็ญฟื้นโลหิตบริสุทธิ์กับพลังจิตที่เสียไปกลับมาแล้ว กำลังรบของร่างหลักก็จะฟื้นกลับมา จากนี้ต่อให้บุตรเทพโลหิตถูกสังหาร ก็ไม่ได้ส่งผลกับกำลังรบของร่างหลักมากนัก
มองจากทุกด้านแล้ว บุตรเทพโลหิตเหมือนเครื่องมือมนุษย์มากกว่า
ข้อสี่ ร่างแยกของผู้ฝึกบำเพ็ญระดับหลอมรวมเทพกับร่างจริงมีกลิ่นอายพลังต่างกันชัดเจน มีแค่กลิ่นอายพลังส่วนหนึ่งของร่างจริงจึงโดนผู้แข็งแกร่งระดับเดียวกันแยกออกได้ง่ายมาก
หลังจากถูกสังหารก็จะหลอมละลายหายไปเอง ไม่ทิ้งซากศพเอาไว้
แต่บุตรเทพโลหิตต่างกัน เขาคือร่างที่เกิดจากโลหิตบริสุทธิ์ของร่างหลัก เมื่อถูกสังหารก็จะเหลือซากศพไว้เหมือนกับร่างจริง
ด้วยเหตุนี้เวลาเจออันตรายถูกล่าสังหาร ก็โยนร่างแยกบุตรเทพโลหิตออกไปล่อเป้าได้
จะระเบิดตัวเองก็ดี สู้สุดชีวิตก็ดี จะสกัดไว้ให้สหายก็ดี มีความองอาจห้าวหาญเท่าไรก็เท่านั้น
บางทียังได้รับคำชมจากศัตรูว่า ‘นับถือบุรุษเช่นเจ้า’ ด้วยซ้ำ
เพราะร่างจริงไปซ่อนตัวแล้ว รับประกันจนไม่รู้จะรับประกันอย่างไรแล้ว
นอกจากร่างจริง ก็ไม่มีใครรู้ว่าคนที่ตายไปใช่เจ้าหรือไม่!
มั่นคงจริงๆ!
…..
มหาผู้อริยะธารโลหิตเมื่อหมื่นปีก่อนก็ใช้วิชาลับสองวิชานี้บุกไปทั่วแดนบูรพา สร้างบุตรเทพโลหิตขึ้นอย่างบ้าคลั่ง อาศัยบุตรเทพโลหิตที่ไม่กลัวตายพวกนี้ยั่วยุแดนศักดิ์สิทธิ์หยอกเย้าเซียน โอหังอย่างยิ่ง!
ทุกครั้งจะมีผู้แข็งแกร่งเผ่ามนุษย์ออกมือ คิดว่าตนฆ่ามหาผู้อริยะธารโลหิตแล้ว แต่ผ่านไปไม่กี่วันมหาผู้อริยะธารโลหิตคนใหม่ก็โผล่ออกมาอีก
ช่วงที่ยิ่งใหญ่ที่สุด เขาถึงขนาดกล้าแฝงตัวเข้าไปในแดนศักดิ์สิทธิ์เสียงอัสนีเพื่อขโมยบัวทองคำคุณธรรมระดับสิบสองอันเป็นสมบัติสุดยอดของฝ่ายพุทธมา
แม้สุดท้ายร่างแยกจะล้มเหลว ทว่าก็ดูดซับต้นกำเนิดบัวทองคำคุณธรรมมาได้มาก
บัวทองคำคุณธรรมระดับสิบสองลดเหลือระดับเก้า หลายพันปีผ่านไปถึงฟื้นพลังปราณเดิมกลับมา แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น ร่างจริงของมหาผู้อริยะธารโลหิตก็ยังลอยนวลเหนือกฎเกณฑ์
สุดท้ายไปล่วงเกินแดนพุทธศาสนาแห่งดินแดนทะเลทรายประจิม!
นักบวชทุกท่านเชิญนักบวชศักดิ์สิทธิ์สูงสุดผู้ ‘พิสูจน์มรรคด้วยเหตุและผล’ ออกด่านบำเพ็ญ เขายอมเสียต้นกำเนิดพลังอย่างไม่เสียดายจนคาดการณ์ที่ซ่อนตัวของร่างจริงมหาผู้อริยะได้จากบุตรเทพโลหิต
วันนั้น ต้นโพธิ์หลั่งน้ำตา พระพุทธก็บันดาลโทสะเช่นกัน
พระพุทธโบราณเก้าองค์ปิดผนึกสิบดินแดนเก้าวัน ขังมหาผู้อริยะธารโลหิตไว้ในการควบคุมของแดนพุทธศาสนาอย่างแน่นหนา กระทั่งไม่พูดว่า ‘วางดาบลงจะสำเร็จอรหันต์ทันที’ พามหาผู้อริยะธารโลหิตข้ามฟากด้วยซ้ำ
แต่ตบคนละฝ่ามือ ตบจนมหาผู้อริยะธารโลหิตกลายเป็นเศษเนื้อ
จากนั้นมาตำนานของมหาผู้อริยะธารโลหิตก็สิ้นสุดลง
มหาผู้อริยะคนนี้ทิ้งหมายเหตุเอาไว้อย่างสมบูรณ์ว่าอะไรคือ ‘ไม่รนหาที่ตายก็จะไม่ตาย!’
……
สรุปได้ว่ามรดกวิชานี้แข็งแกร่งมาก
ขอแค่ไม่ล่วงเกินขุมอำนาจระดับสุดยอดพวกนั้น ปกติจะใช้บุตรเทพโลหิตเที่ยวเล่นได้อย่างไม่มีขีดจำกัด กระทั่งตามคำแนะนำของคัมภีร์เทพโลหิตยังบอกว่าคัมภีร์เทพโลหิตไม่ได้มีเพียงสองหน้า
หากได้บทอื่นๆ ของคัมภีร์เทพโลหิตมาและฝึกฝนวิชาลับที่เหลือ เช่นนั้นวิญญาณร่างหลักจะต้องเปลี่ยนไปมาระหว่างบุตรเทพโลหิตกับร่างหลักได้อย่างอิสระแน่นอน
ดังนั้น แม้ร่างหลักจะถูกสังหาร วิญญาณแท้ของผู้ฝึกฝนก็จะฟื้นกลับมาในร่างบุตรเทพโลหิตได้
ฉะนั้น การเอาตัวรอดก็จะเพิ่มขึ้นอีกครั้ง!
น่าเสียดายก็แต่ตอนนั้นมหาผู้อริยะธารโลหิตได้มาเพียงสองหน้า บทคัมภีร์เทพโลหิตที่เหลือ แม้แต่เขายังไม่ได้มา ถ้าไม่อย่างนั้นต่อให้แดนพุทธศาสนาแห่งดินแดนทะเลทรายประจิมออกมือ มหาผู้อริยะธารโลหิตก็อาจจะไม่ตาย
“เฮ้อ น่าเสียดายนิดๆ นะ!”
เสิ่นเทียนชั่งน้ำหนักกระดาษสองแผ่นในมือ พลันรู้สึกว่าพวกมันไม่น่าสนใจแล้ว
ของที่ไม่ได้มา เหตุใดต้องให้ข้ารู้ด้วยนะ!
แถมยังจงใจอธิบายทิ้งท้ายไว้ในหน้าสองอีก
การกระทำเช่นนี้เหมือนกับพวกนักเขียนสุนัขที่ขุดหลุมล่อไว้เมื่อภพก่อนเลย!
ไร้ศักดิ์ศรี!
…..
ช่างเถอะ รู้จักพอดีกว่า!
ขอแค่เพิ่มดวงชะตาให้สูงขึ้นถึงวงรัศมีสีทองขึ้นไป ข้าไม่เชื่อว่าคัมภีร์เทพโลหิตที่เหลือจะไม่มาอยู่ในมือข้าอย่างว่านอนสอนง่าย!
เสิ่นเทียนเก็บความคิดว้าวุ่นในใจไว้แล้วเริ่มศึกษาคัมภีร์เทพโลหิต
สิ่งที่ควรค่าแก่การเอ่ยถึงคือ เสิ่นเทียนพบว่าทักษะการตระหนักรู้ของตนก็ไม่เลวเหมือนกัน ตระหนักคัมภีร์เทพโลหิตได้ค่อนข้างราบรื่นเลย
ไม่นานเขาก็ใช้โลหิตบริสุทธิ์หยดหนึ่งผสมกับพลังวิญญาณ ปั้นเป็นคนเล็กสีแดงขนาดเท่าฝ่ามือ แต่ร่างนี้ไม่ใช่แค่เล็ก กลิ่นอายพลังที่กระจายออกมายังอ่อนแอจนน่าสงสาร
เสิ่นเทียนคาดการณ์ว่าต่อให้เขาใส่พลังจิตลงไปในคนเล็กสีแดงนี่ อย่างมากก็ควบคุมให้มันตบพวกแมลงสาบได้
‘ดูท่าหนนี้คงได้เป็นโรคโลหิตจางแน่ๆ ล่ะ’
เสิ่นเทียนหยิบของเหลวศักดิ์สิทธิ์นิพพานขวดหนึ่งมาจากแหวนเวหาก่อนสูดลมหายใจเข้าลึก
มาก็มาสิ ในแหวนเวหาข้ายังมีของเหลวศักดิ์สิทธิ์นิพพานอีกยี่สิบกว่าตัน ไม่เชื่อหรอกว่าจะฟื้นฟูกลับมาไม่ได้!
ไม่สนอะไรแล้ว เสิ่นเทียนกรอกของเหลวศักดิ์สิทธิ์นิพพานใส่ปากไปอึกใหญ่ก่อนเลย พลังชีวิตเปี่ยมล้นปะทุในร่างเขา ก่อนจะโดนเขาหลอมรวมดูดซับไปอย่างเต็มที่
อัคคีอรุณใต้ในใจลุกโชตช่วงขึ้นมาเหมือนได้เชื้อเพลิง
โลหิตบริสุทธิ์สร้างขึ้นตรงหัวใจเสิ่นเทียนอย่างรวดเร็วและไม่ขาดสาย
หากผู้สูงศักดิ์ยุงโลหิตเห็นความเร็วในการสร้างโลหิตบริสุทธิ์ คงจะต้องสงสัยในชีวิตแน่
ช่วยไม่ได้ นี่คือความต่างระหว่างผู้เล่นปกติกับผู้เล่นเทพทรู
เขาเร็วกว่าเจ้าไม่ว่าด้านใดก็ตาม!
……
เมื่อสัมผัสได้ถึงพลังเลือดลมที่เอ่อล้นขึ้นเรื่อยๆ ร่างเสิ่นเทียนก็ร้อนขึ้นมาก ราวกับมีเปลวไฟแผดเผาอยู่
ลูกประคำเก้าโอรสตรงอกยังสั่นไหวเบาๆ รับกลิ่นอายเร่าร้อนเช่นนี้ไม่ไหวแล้วเช่นกัน
ร่างวิญญาณของจิ่วเอ๋อร์ควบคุมลูกประคำให้ลอยไปอยู่ข้างๆ อย่างเชื่องช้า
ช่วยไม่ได้ ทนไม่ไหวแล้ว มันร้อนเกินไป!
………………….