บุตรแห่งโชคที่ว่า ไม่ใช่ข้าแน่นอน - บทที่ 245 วิชาลับตำหนักเทพสงคราม เปลี่ยนเทพสงคราม
บทที่ 245 วิชาลับตำหนักเทพสงคราม เปลี่ยนเทพสงคราม
เมื่อได้ยินหลี่เหลียนเอ๋อร์บอกว่าจะไปแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ ผู้สูงศักดิ์จื่อหยางก็ตกใจรีบพาศิษย์แดนเทวาดาวประกายพรึกกลับ
ไม่ว่าอย่างไรก็พาแม่นางมันหวานร้อนมือนี่กลับไปก่อนค่อยว่ากัน
ถึงอย่างไรเมื่อกลับถึงแดนเทวา ตนจะหาข้ออ้างออกไปทำภารกิจทันที ออกห่างไปให้ไกล
ถ้ายัยหนูนี่หนีออกจากบ้านสำเร็จจริงๆ จะโทษอย่างไรก็มาไม่ถึงตัวเขาแล้ว!
ศิษย์แดนเทวาดาวประกายพรึกกลับแล้ว ผู้อาวุโสและศิษย์ฝ่ายเซียนอื่นๆ ก็ทยอยกันกลับ การฝึกครั้งนี้ถือว่าสิ้นสุดลง
“พี่เสิ่นเทียน ข้าจะหมั่นฝึกฝนเพื่อมีคุณสมบัติมายืนข้างกายพี่ให้เร็วที่สุด!”
เซียวหลิงสวมอาภรณ์สีเขียว ทุกย่างก้าวจะเกิดดอกบัว ทำให้ศิษย์ฝ่ายเซียนมากมายเคลิบเคลิ้ม ทว่าสายตานางกลับหยุดที่เสิ่นเทียนตลอด
ตอนนี้ในความคิดเซียวหลิงนึกถึงคำพูดของผู้สูงศักดิ์สวรรค์ตันอู่อีกครั้ง
ภายภาคหน้าโอรสสวรรค์เยี่ยงศิษย์พี่ฉู่เหอกับบุตรศักดิ์สิทธิ์เสิ่นเทียนจะต้องเหาะขึ้นเป็นเซียนอย่างแน่นอน หากไม่มีพรสวรรค์พอจะเป็นเซียนก็ไม่คู่ควรกับพวกเขา สายสัมพันธ์คู่ชีวิตเช่นนี้สร้างแต่ความเศร้าประหนึ่งหยินหยางแยกจากกันชั่วนิรันดร์
คำพูดนี้เล่าลือว่าเป็นคำกล่าวตอนที่ผู้สูงศักดิ์สวรรค์บัวมรกตฉู่หรงเหอใช้ชื่อปลอมว่าฉู่เหอพูดกับผู้สูงศักดิ์สวรรค์ตันอู่
ส่วนคำพูดเดิมเป็นอย่างไร ผ่านการเติมแต่งมาเองหรือไม่…
ไม่มีใครรู้มานานแล้ว
เซียวหลิงก็ตามผู้อาวุโสและศิษย์จากแดนศักดิ์สิทธิ์ธารหยกกลับไปเช่นกัน คนในเมืองเล็กเซียนมีน้อยลงเรื่อยๆ
“ทุกคนไปขึ้นเรือเหาะเทพสวรรค์ เราก็จะกลับกันแล้ว”
ผู้สูงศักดิ์สวรรค์บัวขาวยิ้มอ่อนๆ พลางกำกับศิษย์แดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ขึ้นเรือเหาะอย่างเป็นขั้นเป็นตอน
เมื่อเรือเหาะลอยขึ้นอีกครั้ง บนดาดฟ้าเรือเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะสนุกสนาน
“สนามรบบรรพกาลเร้าใจจริงๆ มีแต่สัตว์ประหลาดวิญญาณมรณะแกร่งๆ เต็มไปหมด แกร่งกว่าสัตว์อสูรปกติอีก”
“เถอะน่า! ถึงวิญญาณมรณะพวกนี้จะแข็งแกร่ง แต่สติปัญญาสู้สัตว์อสูรไม่ได้เลย ขอแค่ร่วมมือรู้ใจกัน ศิษย์พี่ศิษย์น้องสามถึงห้าคนร่วมมือกันก็สังหารสัตว์ประหลาดวิญญาณมรณะระดับแก่นพลังทองได้แล้ว”
“การฝึกครั้งนี้เราได้ของกันมาเยอะเลย พอจะฝึกฝนสิบกว่าปี หวังว่าการฝึกฝนครั้งหน้าจะมาเร็วๆ หน่อย”
“พูดเหมือนสบาย สัตว์ประหลาดในสนามรบมีไม่น้อย หากไม่ระวังได้ถูกปิดล้อมตายกันหมดแน่”
“ไม่ผิด เราบาดเจ็บในสนามรบ ถ้าไม่ได้ของเหลวศักดิ์สิทธิ์นิพพานที่ศิษย์พี่บุตรศักดิ์สิทธิ์ให้มา ครั้งนี้กลุ่มเล็กเราอาจจะไม่ได้ออกมาแล้ว”
“ใช่เลยๆ ของเหลวศักดิ์สิทธิ์นิพพานที่ศิษย์พี่ให้มามีฤทธิ์ยาสะเทือนฟ้า ถ้าไม่เช่นนั้นข้าก็อาจจะไม่ไหวเหมือนกัน!”
……………
ศิษย์เทพสวรรค์คนหนึ่งท่ามกลางกลุ่มคนคุยโวโอ้อวดขึ้น “ข้าจางซานมีเรื่องต้องพูด การฝึกในสนามรบบรรพกาลครั้งนี้ พวกเราเจอศิษย์สาวกลัทธิวิญญาณร้ายในหุบเขามารโลหิต มันอันตรายมากจริงๆ!
ศิษย์สาวกลัทธิชั่วร้ายสมควรตายพวกนั้นไม่รู้ว่าใช้วิธีอะไร หามารโลหิตระดับดวงจิตดรุณบนสนามรบมาได้ แซ่จางพาพวกศิษย์พี่ศิษย์น้องสู้กับมารโลหิตนั้นสามร้อยกระบวนท่า ก็ยังสู้ไม่ไหว โดนมารโลหิตจับตัวไปต้องตกอยู่ในอันตราย
หากไม่ใช่เพราะศิษย์พี่เดินทางไกลมาพันลี้บุกหุบเขามารโลหิตด้วยความไม่หวั่นเกรง สังหารมารโลหิตระดับดวงจิตดรุณห้าตัวได้ด้วยตัวคนเดียว เกรงว่าพวกเราคงรอดยาก
สรุปคือ นับจากนี้ไปชีวิตนี้ของแซ่จางเป็นของศิษย์พี่บุตรศักดิ์สิทธิ์ ศิษย์พี่บุตรศักดิ์สิทธิ์ให้แซ่จางไปตะวันออก แซ่จางจะไม่ไปตะวันตกเด็ดขาด ศิษย์พี่บุตรศักดิ์สิทธิ์ให้แซ่จางตีสุนัข แซ่จางจะไม่จับนกเด็ดขาด!”
ใช้พลังบำเพ็ญระดับสร้างฐานสังหารมารโลหิตระดับดวงจิตดรุณได้ด้วยตัวคนเดียวรึ
แม้ศิษย์แดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์จะรู้ว่าบุตรศักดิ์สิทธิ์ของตนเก่งกาจ แต่คะแนนในสนามรบก็ฟังดูน่ากลัวเกินไปจริงๆ
“จริงรึ สนามรบบรรพกาลไม่ได้จำกัดพลังไว้ระดับสร้างฐานรึ เหตุใดศิษย์พี่บุตรศักดิ์สิทธิ์ถึงสังหารระดับดวงจิตดรุณได้ห้าตนด้วยตัวคนเดียว”
มีคนสงสัย แต่ไม่นานก็ถูกเสียงสนทนากลบไป
“เจ้านี่จริงๆ เลย ยังไม่เชื่ออีก ศิษย์พี่บุตรศักดิ์สิทธิ์เป็นคนระดับใด เทียบกับคนธรรมดาได้รึ”
“ใช่ บางทีแม้แต่กฎฟ้าดินก็อาจจะยังยอมให้กับเอกลักษณ์ของศิษย์พี่ อาจจะไม่ได้จำกัดศักยภาพของศิษย์พี่ไว้ก็ได้!”
“ตอนนั้นข้าอยู่ด้วย ข้าเป็นพยานได้ว่าตอนนั้นศิษย์พี่บุตรศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้มีกำลังรบที่ระดับสร้างฐานจะมีได้เลย พลังนั่นยิ่งใหญ่ค้ำฟ้า ปีกเทพสีทองคู่นั้นเร็วจนคนมองไม่ทัน ฆ่ามารโลหิตเหมือนกับเชือดสุนัข”
“ใช่ๆ พวกเจ้าไม่รู้หรอก! บุตรศักดิ์สิทธิ์ซ่อนแส้เทพที่ทั้งหนาและแข็งเอาไว้ในตัว สามารถยืดได้หดได้ ยาวได้สั้นได้ ทะลวงการป้องกันได้ทุกอย่าง
ถึงมารโลหิตระดับดวงจิตดรุณพวกนั้นจะแข็งแกร่ง แต่ไข่มุกแก่นโลหิตตรงหน้าอกก็เป็นจุดยุทธศาสตร์ของพวกมัน จึงใช้เกราะโลหิตป้องกัน
แต่แส้เทพของบุตรศักดิ์สิทธิ์ยืดหดได้ตามใจ โค้งงอได้ตามใจ อ้อมเกราะโลหิตนั้นทะลวงหัวใจมารโลหิตแล้วก็เอาไข่มุกมารโลหิตออกมา นี่ก็เลยเอาชนะห้าตัวได้ด้วยตัวคนเดียวราวกับเทพสวรรค์ลงมาเยือน เรียกได้ว่าทั้งน่าตกใจและงดงาม!”
“ตอนนั้นข้าก็อยู่ด้วยนะ ยืนยันได้ว่าศิษย์พี่หมิงไม่ได้พูดเกินจริงไปเลยสักนิด บุตรศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่คน แต่เป็นเทพ!”
……..
พอได้ฟังคำสนทนาของพวกจางซาน พวกซ่งฟู้กุ้ยและหลิวไท่อี่ยังแอบตกใจกัน
ท่านปรมาจารย์สวรรค์สมกับเป็นท่านปรมาจารย์สวรรค์จริงๆ
ในการฝึกฝนหนึ่งเดือนสั้นๆ ก็ดึงดูดผู้คลั่งไคล้มานับไม่ถ้วน
ศิษย์พวกนี้จากแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ไม่เท่าไร แต่ยังมีศิษย์ฝ่ายอื่นที่ถูกมารโลหิตจับตัวไปด้วย!
หากคนพวกนี้กลับสำนักก็คงจะกลายเป็นผู้เลื่อมใสของเสิ่นเทียน มีผลดีต่อการประกาศชื่อเสียงของท่านปรมาจารย์สวรรค์
พวกซ่งฟู้กุ้ยและหลิวไท่อี่กำลังคิดว่าควรจะติดต่อหลี่อวิ๋นเฟิงเรื่อง ‘มหาสงครามหุบเขามารโลหิต’ ดีหรือไม่ จากนั้นค่อยป่าวประกาศออกไป
ถึงอย่างไรก็มีส่วนช่วยในการสร้างภาพลักษณ์อันโชติช่วงของเสิ่นเทียนอย่างมาก
ทุกคนบนดาดฟ้าเรือกำลังคุยกันเรื่องเสิ่นเทียน แต่ตัวเสิ่นเทียนเองตอนนี้กำลังฝึกบำเพ็ญในห้องอย่างจริงจัง
เขากำลังฝึกฝนคัมภีร์เทพสงครามคบเพลิงที่เยี่ยฉิงชางถ่ายทอดให้ นี่เป็นมรดกฉบับปรับปรุงที่ลึกซึ้งยิ่งกว่าคัมภีร์คบเพลิง
คัมภีร์คบเพลิงที่เสิ่นเทียนใช้เงินห้าตำลึงเงินซื้อมาเป็นเพียงบทพื้นฐานคัมภีร์คบเพลิงที่แพร่หลายในห้าดินแดนเท่านั้น อย่างมากสุดก็ฝึกได้ถึงระดับกายทอง
เมื่อถึงระดับกายทองแล้ว จะไม่มีบทเกี่ยวกับการหลอมกายทองเทพมารเก้ารอบเลย
แต่คัมภีร์เทพสงครามคบเพลิงเป็นมรดกของตำหนักเทพสงครามจากโลกเบื้องบน ทำให้เสิ่นเทียนฝึกถึงฝ่าด่านเคราะห์เป็นเทพได้
ไม่ใช่แค่นั้น ในคัมภีร์เทพสงครามคบเพลิงยังบันทึกทักษะโบราณที่มีอานุภาพแข็งแกร่งไว้อีกมากมาย สามารถแสดงกำลังรบทางกายได้ถึงจุดสูงสุด
ซึ่งเยี่ยฉิงชางไม่ได้เก็บวิธีการฝึกฝนของทักษะยุทธ์โบราณพวกนี้ไว้เอง แต่แทบจะถ่ายทอดให้เสิ่นเทียนทั้งหมด
ในนั้นมีมรดกสองวิชาที่เหมาะกับเสิ่นเทียนที่สุด แทบจะสร้างมาเพื่อเขา
วิชาแรกมีชื่อว่าหัตถ์กำเนิดทะลวงฟ้า บันทึกการใช้ฝ่ามือที่แกร่งที่สุด ‘หนึ่งพลังทะลวงหมื่นวิชา’
วิชาที่ผู้สูงศักดิ์สวรรค์บัวมรกตใช้จับผู้อาวุโสเผ่าเผิงเป็นเพียงฉบับตัดตอนของวิชาหัตถ์นี้ แต่ก็มีอานุภาพไร้ขีดจำกัดแล้ว
มรดกนี้ไม่ได้เน้นที่การใช้วิชา แต่เน้นการรวมพลังสิ่งมหัศจรรย์ฟ้าดินไว้ในฝ่ามือ จนมีอานุภาพหนึ่งฝ่ามือทะลวงฟ้า
เยี่ยฉิงชางใช้กายวิญญาณควบคุมไอม่วงเบิกฟ้าใช้วิชาหัตถ์นี้ ก็มีกำลังรบแก่กล้าคีบกระบี่ฟ้าสังหารได้
เสิ่นเทียนมีสิ่งมหัศจรรย์ปัญจธาตุสัมพันธ์กัน หากฝึกวิชาหัตถ์นี้สำเร็จจะเพิ่มศักยภาพขึ้นอย่างมาก
และมรดกที่สองมีชื่อว่า ‘เปลี่ยนเทพสงคราม’
วิชาลับหัวใจสำคัญของตำหนักเทพสงครามโลกเซียน เน้นการใช้สิ่งมหัศจรรย์ฟ้าดินหรือสายเลือดสัตว์เทพโบราณเป็นหัวใจสำคัญ เพิ่มศักยภาพของตนเอง
หลักการพื้นฐานมีความคล้ายกับผู้ฝึกศาสตร์หลอมกายเทพมารระเบิดพลังเลือดลมในกายเพิ่มศักยภาพ แต่นี่มีความลึกล้ำยิ่งกว่า
ผู้ฝึกศาสตร์หลอมกายเทพมารที่ฝึกวิชาลับเปลี่ยนเทพสงครามจะหลอมสายเลือดสัตว์เทพเข้าสู่ในกายได้
เมื่อใช้เปลี่ยนเทพสงครามในยามจำเป็น ถึงขั้นกลายร่างเป็นสัตว์เทพทรงพลัง มีพลังน่าสะพรึงของสัตว์เทพที่สอดคล้องกัน
แต่หากมีสิ่งมหัศจรรย์ฟ้าดินก็ใช้เปลี่ยนเทพสงครามได้เช่นกัน จะเป็นการหลอมรวมพลังของสิ่งมหัศจรรย์ฟ้าดินเข้าไปในกายอย่างสมบูรณ์และสำแดงพลังออกมา
ในยุคโบราณ เผ่ามนุษย์บางสายเลือดอาศัยวิชาลับนี้เคยรุ่งเรืองสุดขีดมาก่อน
ตอนนั้น วิชาลับนี้คือสัญลักษณ์ของความรุ่งโรจน์และสูงศักดิ์!
วิชาลับนี้ เยี่ยฉิงชางถึงกับเน้นย้ำสามรอบว่าควรให้เสิ่นเทียนตั้งใจฝึกฝนอย่างเต็มที่ เพราะมันเหมาะสมกับคุณสมบัติกายของเสิ่นเทียนมาก
ตอนนี้เสิ่นเทียนกำลังฝึกฝนเปลี่ยนเทพสงคราม หลอมรวมน้ำมวลหนักปฐมกาลอย่างสมบูรณ์
เมื่อโคจรวิชาไปเรื่อยๆ กลิ่นอายพลังของเสิ่นเทียนก็แข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็ว
เขารู้สึกได้ว่าน้ำมวลหนักปฐมกาลบางส่วนในไตกำลังแผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย เปล่งแสงสว่างแวววาว
ทว่าภายนอกเสิ่นเทียนไม่ได้แผ่พลังแข็งแกร่งออกมา ในทางตรงข้ามกลับยิ่งอ่อนแอลงเรื่อยๆ
นี่ไม่ใช่เพราะศักยภาพของเสิ่นเทียนลดลง แต่เป็นเพราะเขาเก็บพลังทั้งหมดไว้ข้างใน เพื่อหลีกเลี่ยงความเสียหาย
การต่อสู้ของผู้แข็งแกร่งศาสตร์หลอมกายเทพมารที่แท้จริง ความจริงแล้วจะไม่เกิดภูเขาถล่มแผ่นดินแยกเสมอไป เพราะนั่นหมายความว่าพลังในกายกำลังไหลออก ไม่ควบแน่นพอ จนเกิดการส่งพลังออกมากเกินไปอย่างไร้ประโยชน์
ก็เหมือนกับที่เสิ่นเทียนเผาพลังเลือดลมไปก่อนหน้านี้ เขาเผาอัสนีเทพกำเนิดฟ้าเพื่อเพิ่มพลังให้ตัวเอง ดูเหมือนมีไฟสีทองลุกท่วมตัว ดูโอ้อวดเกินจริง
แต่ความจริงคือเขาใช้พลังเลือดลมและอัสนีเทพมากเกินไปจนสิ้นเปลืองพลัง
หากเขาคุมการเผาพลังเลือดลมและอัสนีเทพได้อย่างสมบูรณ์ เช่นนั้นก็ควรจะคืนสู่สภาพเดิม
ตอนนี้เสิ่นเทียนกำลังลองเดินก้าวนี้อยู่
…..
พลังที่แผ่มาจากเสิ่นเทียนอ่อนแอลงเรื่อยๆ อ่อนแอลงเรื่อยๆ
หากตอนนี้มีผู้ฝึกบำเพ็ญคนหนึ่งยืนอยู่ข้างกายเขา ก็ถึงขั้นอาจจะคิดว่าเป็นผู้ฝึกบำเพ็ญระดับหลอมปราณธรรมดา
‘ถึงขีดจำกัดแล้วรึ’
เสิ่นเทียนยื่นมือขวาออกมาเหมือนมีความคิดบางอย่าง เขาเห็นกำปั้นของตนออกเป็นสีเงินอ่อนๆ
แหวนเวหาขยับประกายแสง ก่อนปรากฏกระดูกสีทองอันหนึ่งขึ้นในมือซ้ายเขา
กระดูกสีทองนี้เป็นกระดูกมารกระดูกระดับแก่นพลังทอง ระดับความแข็งแรงเทียบเท่ากับอาวุธวิเศษ
สาเหตุที่ฉินอวิ๋นตี๋ล่าวิญญาณมรณะในสนามรบบรรพกาลอย่างบ้าคลั่ง สาเหตุส่วนใหญ่เป็นเพราะอยากจะได้กระดูกพวกนี้มาศึกษาปรับแก้ด้ามปืน
และตอนนี้เสิ่นเทียนตัดสินใจว่าจะใช้มันลองวิชาใหม่ของตน
มือซ้ายกำกระดูกไว้แน่น มือขวางอนิ้วเบาๆ แสงสีเงินแผ่คลุมอย่างหนาทึบ
แก๊ง~!
นิ้วชี้ดีดที่กระดูกเบาๆ พลันเกิดรอยแตกหักชัดเจน กระดูกหักครึ่งกระเด็นออกไปทันที ปักลึกเข้ากับผนัง
“พลังทำลายล้างแกร่งมาก นี่ใช้แค่น้ำมวลหนักปฐมกาลจริงๆ รึ”
เสิ่นเทียนตาเป็นประกาย ยังอดพึมพำกับตัวเองไม่ได้
เยี่ยฉิงชางลอยขึ้นมาช้าๆ ก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้ม “น้ำมวลหนักปฐมกาลถูกเรียกว่า ‘น้ำที่หนักที่สุด’ ถือเป็นอาวุธในโลกเซียนเช่นกัน มีอานุภาพเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องปกติหรอกรึ เจ้าไม่เข้าใจถึงความอัศจรรย์ที่แท้จริงของสิ่งมหัศจรรย์ฟ้าดินห้าชนิดในตัวเจ้าเลย
ถ้าจะมุ่งแต่ตามหาโชคลิขิต สู้ใช้วิชาย่อยโชคลิขิตที่ได้มาแล้วเยอะๆ จะดีกว่า กลับแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์เมื่อไร ข้าขอแนะนำให้เจ้าฝึกฝนในหอคอยเทพสงครามสักสองสามเดือน
เอาชนะโอรสสวรรค์ในหอคอยเทพสงครามทุกคนได้เมื่อไร ตอนนั้นมองไปทั้งโลกเซียนและโลกมนุษย์สองโลก เจ้าก็ยังถือว่าเป็นโอรสสวรรค์ระดับสุดยอด!”
เอาชนะโอรสสววรรค์ในหอคอยเทพสงครามทุกคนรอบหนึ่งอย่างนั้นหรือ
เหอะๆ ตาแก่นี่พูดเหมือนง่าย
ตอนนี้ข้าเป็นโอรสสวรรค์เจ็ดดาวเพียงคนเดียว ก็ต้องกังวลว่าจะถูกขุมอำนาจศัตรูหวั่นเกรงและมาลอบสังหารอยู่แล้ว ถ้าเอาชนะร่างเงาโอรสสวรรค์แปดดาวที่เยี่ยฉิงชางซ่อนไว้พวกนั้นอีก จะไม่สั่นสะเทือนไปทั้งห้าดินแดนเลยรึ
ไม่ได้ ต้องพูดกับตาแก่นี่ให้รู้เรื่อง ลบอันดับข้าในศิลาเทพสงครามออก
โอรสสวรรค์ที่แท้จริงก็ควรจะมีจิตใจที่กว้างเหมือนหุบเขา จะมีชื่อเสียงจอมปลอมพวกนี้ไปเพื่ออะไร
ชั่วขณะที่เสิ่นเทียนกำลังคิดอะไรเรื่อยเปื่อยนั้น เรือเหาะเทพสวรรค์เกิดเสียงระฆังดังขึ้น นั่นหมายความว่าเรือเหาะเทพสวรรค์จะถึงแดนศักดิ์สิทธิ์แล้ว ศิษย์ทุกคนต้องเตรียมลงเรือ
ในเวลาเดียวกัน เยี่ยฉิงชางมองไปทางตะวันออกนอกเรือเหาะด้วยแววตามืดหม่น ใบหน้ามีรอยยิ้มบางๆ
“โอ้ว ดวงดีใช้ได้! เพิ่งมาถึงแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์พวกเจ้าก็เจอสตรีฝ่าด่านเคราะห์เป็นผู้อริยะแล้วรึ
เจ้าหนูศาสตร์หลอมปราณแก่นพลังทองเจ้าฝึกวิชาอัสนีเป็นหลักไม่ใช่รึ อาศัยโอกาสนี้เพิ่มสายฟ้าไปอีกหน่อย! อีกทั้งอัสนีเทพเคราะห์สวรรค์ยังเป็นของดี มีประสิทธิผลการขัดเกลากายทองดีมาก!
อย่าพลาดโอกาสนี้ ไม่อย่างนั้นเจ้าจะต้องเสียใจภายหลัง”
เมื่อได้ฟังคำพูดของเยี่ยฉิงชาง เสิ่นเทียนถึงกับผงะไป
แดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์มีคนกำลังฝ่าด่านเคราะห์รึ
ไม่รู้ว่าเป็นผู้อาวุโสท่านใด
……………………