บุตรแห่งโชคที่ว่า ไม่ใช่ข้าแน่นอน - บทที่ 329 เคยเห็นแก่นพลังทองใหญ่เท่าแตงโมหรือไม่
บทที่ 329 เคยเห็นแก่นพลังทองใหญ่เท่าแตงโมหรือไม่
ปราการสีเทาอมขาวพลันหุบลง เกาะเทพมังกรมหึมาจมหายไปในหมอกเบิกฟ้าอีกครั้ง
พวกเสิ่นเทียนมองหน้ากัน ก่อนเผยรอยยิ้มรู้ใจกัน
ถึงครั้งนี้จะเสียเวลาในเกาะเทพมังกรไปหกเดือน แต่เทียบกับสิ่งที่ทุกคนได้มาแล้ว ทุกอย่างคุ้มค่า
ไม่พูดถึงผลจุดกำเนิดมังกร ชาตระหนักรู้ ลำพังแค่มรดกคัมภีร์วสันต์อมตะนิรันดร์ก็ทำให้ศักยภาพแฝงของพวกเขาพุ่งขึ้นสูง กระทั่งสำนักที่อยู่เบื้องหลังยังได้ประโยชน์อย่างมาก
ต้องรู้ว่าบรรพจารย์ที่พอจะประคองชีวิตรอดไปวันๆ มากมายของแดนศักดิ์สิทธิ์เคหาสน์ม่วงกลับมามีชีวิตได้อีกครั้งเพราะฉีเซ่าเสวียนได้คัมภีร์จักรพรรดินิพพานอมตะมาครึ่งส่วน
อีกทั้งความสำคัญของคัมภีร์วสันต์อมตะนิรันดร์นี่ก็ไม่น้อยไปกว่าคัมภีร์จักรพรรดินิพพาน กระทั่งในระดับบางอย่างยังมีการใช้งานได้ดียิ่งกว่า
เพราะในโลกบำเพ็ญเซียน การเผาอายุขัยก็คือวิชาที่ระเบิดต้นกำเนิดชีวิตซึ่งมีอยู่มากมายจริงๆ
มีวิชานี้อยู่ ก็หาวิชาที่ระเบิดตับตัวเองสักสองสามวิชามา ยามเจอศัตรูแข็งแกร่งก็จะมีไพ่ตายเพิ่มมาอีกหนึ่งถึงสองวิชา
แน่นอน หลังจากหวังเสินซวีได้วิชานี้ไปแล้วก็ได้ประโยชน์ชัดเจนที่สุด
ถึงตอนนี้หวังเสินซวีจะดูอ่อนแอที่สุด แต่เสิ่นเทียนเชื่อว่าถ้าให้เวลาเขาพักฟื้นสักหน่อย ไม่นานก็จะกลับมาเป็นบุรุษผู้แข็งแกร่งดั่งมังกรและพยัคฆ์อีกครั้ง
ถึงอย่างไรการตัดชีวิตก็ไม่ใช่ศิลปะที่สืบทอดกันมา ไม่ได้เลิกยากขนาดนั้น
ขอแค่จากนี้เจ้านี่เรียนการตัดชีวิตให้น้อยลงตามตะพาบ อายุขัยที่เสียไปก็น่าจะฟื้นกลับมาได้เร็วมาก
ฉีเซ่าเสวียนเอ่ย “ในเมื่อสหายเสิ่นตัดสินใจจะกลับเมืองสุขาวดีไปพักผ่อนก่อน เช่นนั้นเราก็ตามกลับไปกับสหายเสิ่นแล้วกัน!”
ทุกคนอยู่ในเขตทะเลเบิกฟ้ามาแปดกว่าเดือน ได้อะไรมามากมาย
อีกทั้งตอนนี้ทุกคนยังเข้ามาในส่วนลึกเขตทะเลเบิกฟ้าแล้ว อยู่ในพื้นที่ที่อันตรายมาก
หากเจอกับอะไรที่เหนือความคาดหมาย ถูกขังในเขตทะเลขึ้นมา เวลาสองสามเดือนที่เหลืออาจจะไม่พอให้หนีออกไป
สู้รู้จักพอ กลับไปพักในเมืองสุขาวดีก่อนแล้วค่อยสำรวจรอบนอกเขตทะเลอีกดีกว่า ถึงอย่างไรโชคลิขิตดีกว่านี้ก็ต้องมีชีวิตใช้ด้วยถึงจะมีความหมาย
……..
หลังจากทุกคนหารือกันแล้วก็ตัดสินใจว่าจะตามเสิ่นเทียนกลับไปพักผ่อนที่เมืองสุขาวดี
แน่นอน บอกว่าหารือกัน แต่ความจริงเชื่อเสิ่นเทียนอย่างไม่มีเงื่อนไข เพราะอย่างไรผลงานของเสิ่นเทียนก็ทำให้สามพี่น้องยอมกันแล้ว
ตามสหายเสิ่นมีเนื้อกิน กลายเป็นสัญญาลับ ‘ที่รู้ใจกัน’ ของสามคนไปแล้ว
บุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ต่างหากคือบุคคลที่น่าชื่นชมที่สุดในห้าดินแดน!
ระดับพลังของสี่คนอยู่ในระดับผู้โดดเด่นในรุ่นเยาว์ การกลับมาจากส่วนลึกเขตทะเลเบิกฟ้าจึงใช้เวลาไม่นาน
หลายวันต่อมา ก็เห็นปราการยอดค่ายกลเบิกฟ้าใหญ่ที่ปกคลุมทั้งเขตทะเลเบิกฟ้าอยู่ไกลๆ แผ่กลิ่นอายพลังยิ่งใหญ่
ข้ามเยื่อบางของยอดค่ายกลเบิกฟ้าไปจะเห็นร่างเงาจำนวนมากกำลังรออยู่ตรงขอบรอยแยกรางๆ พวกนั้นส่วนใหญ่เป็นอสูรทะเลอายุเกินห้าร้อยปี
พวกเขามองส่วนในเขตทะเลเบิกฟ้าไกลๆ ท่าทีเงยหน้าเฝ้ารอนั้นเหมือนกับผู้ปกครองนอกลานสอบเข้ามหาวิทยาลัยเมื่อภพก่อนอย่างยิ่ง
“เพ่าเพ่า เสียวเหม่ย ย่าเป็นห่วงพวกเจ้าเหลือเกิน!”
“ไอ้ลูกตะพาบ ไฉนถึงออกมาเร็วเช่นนี้ เข้าไปสู้ต่ออีกหน่อยเถอะ!”
“ดูเร็ว องค์หญิงเงือกอวี้เผียนเซียนกลับมาแล้ว! นางเหมือนจะงดงามยิ่งกว่าก่อนการผจญภัยอีก”
“ไม่ใช่แค่นาง ยังมีองค์รัชทายาทมังกรลำดับเจ็ดด้วย การผจญภัยเขตทะเลเบิกฟ้าครั้งนี้ พวกอัจฉริยะเด่นๆ เหมือนจะไม่มีอะไรเหนือความคาดหมายเลย”
“ใครว่าไม่มีอะไรเหนือความคาดหมาย เจ้าลืมโอรสสวรรค์คุนหมิงแห่งเผ่าคุนสุญตาเมื่อครึ่งเดือนก่อนไปแล้วรึ”
“พรวด ก็ใช่ โอรสสวรรค์คุนหมิงอนาถมากเลย ผู้แข็งแกร่งที่สุดในรุ่นเยาว์ของทะเลอุดรผู้ยิ่งใหญ่กลับมีจุดจบเช่นนั้น”
“ได้ยินหรือไม่ เผ่าคุนสุญตาประกาศแล้วว่าหากมีใครช่วยคุนหมิงได้ เผ่าคุนยินดีจะมอบอาวุธอริยะให้”
……
นอกเขตทะเล เผ่าอสูรพากันพูดคุยกัน
พวกเสิ่นเทียนไม่ได้หยุดอยู่นานนัก แต่ออกจากเขตทะเลเบิกฟ้าไปเลย
“ขอคารวะองค์รัชทายาทลำดับเจ็ด บุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ บุตรศักดิ์สิทธิ์เคหาสน์ม่วง…เอ่อ ลุงท่านนี้มีนามว่าอะไรกัน”
องครักษ์เทพมังกรระดับหลอมรวมเทพเก้าคนเฝ้าอยู่รอบนอกเขตทะเลเบิกฟ้า ตอนนี้เห็นพวกเอ๋าอูโผล่มาก็เข้ามาต้อนรับทันที
เพียงแต่ทุกคนมองหวังเสินซวีด้วยแววตาแปลกประหลาดเป็นพิเศษ
เจ้านี่ผมขาวทั้งศีรษะ รอยย่นกับจุดด่างคนชราเต็มใบหน้า มองอย่างไรก็ไม่เหมือนโอรสสวรรค์อายุต่ำกว่าห้าร้อยปี
หรือจะเป็นพวกลักลอบ
แต่ไม่เคยได้ยินมาว่าเขตทะเลเบิกฟ้ามีผู้ลักลอบเข้าไปได้นี่!
ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้านี่อยู่กับองค์รัชทายาทลำดับเจ็ดกับบุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ละก็ องครักษ์เทพมังกรก็อยากจะจับเขา เอากลับไปสอบสวนและชำแหละวิจัย
ถึงอย่างไร ถ้าศึกษาได้วิธีที่ให้ตาแก่เข้าไปในเขตทะเลเบิกฟ้าได้จริงๆ นั่นก็จะทำให้รุ่งเรืองขึ้น
เมื่อสัมผัสได้ถึงแววตาเร่าร้อนขององครักษ์เทพมังกรทั้งเก้าแล้ว หวังเสินซวีถึงกับมุมปากกระตุก
ถ้าไม่ใช่เพราะสู้ไม่ได้ เขาล่ะอยากสับเจ้าพวกนี้ให้ตายจริงๆ
ตาลุงอะไรกัน นี่พวกเจ้าไม่เห็นช่วงวัยกำลังรุ่งโรจน์ของข้าหรอกรึ
เสิ่นเทียนจึงอธิบายด้วยรอยยิ้ม “ท่านนี้คือบุตรศักดิ์สิทธิ์ท้องนภาจากแดนศักดิ์สิทธิ์ท้องนภา ครั้งนี้สุ่มเคลื่อนย้ายเข้าไปในเขตทะเลเบิกฟ้าได้แบบเหนือความคาดหมาย จากนั้นก็เจอกับพวกเรา”
สุ่มเคลื่อนย้าย เข้าไปในแบบเหนือความคาดหมายรึ
เหอะๆ ให้สมองมังกรเรามีปัญหาก่อนเถอะถึงจะเชื่อเจ้า
ถ้าเข้าเขตทะเลเบิกฟ้าง่ายขนาดนั้น ทะเลอุดรคงถูกแทรกซึมเป็นตะแกรงไปแล้ว
แต่ในเมื่อบุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์รับรองให้บุตรศักดิ์สิทธิ์ท้องนภา องครักษ์มังกรก็ขี้เกียจจะไปเถียงกับเจ้านี่แล้ว
ถึงอย่างไรเสิ่นเทียนก็มีฐานะสูงส่งมากในเกาะมังกร เขาที่ได้รับการยืนยันจากเอ๋าปิงมีการแบ่งรุ่นที่สูงกว่าราชามังกรดำยุคนี้เสียอีก
ขอแค่เสิ่นเทียนไม่ทำเรื่องที่ร้ายแรงถึงขั้นทำลายผลประโยชน์ของเผ่ามังกร ไม่ว่าใครในเกาะมังกรก็ต้องเคารพเขาสามส่วน
เอ๋าอูพูดด้วยใบหน้าตื่นเต้น “พี่เสิ่นเทียน เราไปหาท่านพ่อเลยหรือว่ารอการผจญภัยในเขตทะเลเบิกฟ้าจบก่อนแล้วค่อยไปหาท่านพ่อดี”
เสิ่นเทียนยิ้ม “การผจญภัยครั้งนี้ทำให้แซ่เสิ่นได้ตระหนักรู้ในใจ ข้าว่าจะปิดด่านบำเพ็ญสักสองสามวัน จัดระเบียบสักหน่อย หากไม่มีอะไรผิดพลาด เจ็ดวันจากนี้เรามารวมกันที่หอเสียงสวรรค์ องค์หญิงเผียนเซียน ไม่น่ามีปัญหากระมัง!”
เสิ่นเทียนหมุนตัวกลับมา อวี้เผียนเซียนที่มองเขาตาปริบๆ อยู่ข้างกายหน้าแดงขึ้นมาทันที
ท่าทางเขินอายหน้าแดงนั้นเหมือนกับเพิ่งตักมาจากหม้อเลย
นางรีบพูด “ไม่มีปัญหาๆ ถ้าสหายเสิ่นยินดี จะเหมาทั้งปีก็ยังได้”
อืม อย่าว่าแต่เหมาทั้งปีเลย เหมาข้าไปด้วยก็ยังได้
…….
เสิ่นเทียนลาทุกคนด้วยรอยยิ้ม ก่อนเขย่าร่างกลายเป็นแสงทองสว่างจ้าพุ่งทะลวงฟ้าไปราวกับเผิงเทพ
ระดับความเร็วนี้ แม้แต่ผู้สูงศักดิ์สวรรค์ระดับหลอมรวมเทพมากมายยังรู้สึกละอายใจ
วิชาคุนเผิงผนวกกับทองคำเซียนปีกปักษาเหนือธรรมดามากจริงๆ บอกว่าเร็วสุดในใต้หล้าก็ไม่เกินจริงไปเลย
เสิ่นเทียนไม่รู้ว่าหลังจากเขาสำแดงวิชาคุนเผิงจากไปได้ไม่นาน มวลอากาศข้างเขตทะเลเบิกฟ้าก็เกิดคลื่นกระเพื่อมขึ้นช้าๆ
บุรุษสวมชุดคลุมยาวสีดำหลายคนปรากฏขึ้นกลางฟ้าดินช้าๆ
“ไม่ผิด เป็นวิชาคุนเผิง อีกทั้งยังเป็นวิชาคุนเผิงที่สมบูรณ์แบบ”
“ไม่นึกเลยว่าเขาจะนำหน้านายน้อยหนึ่งก้าวตระหนักวิชาคุนเผิงสมบูรณ์ได้ ครั้งนี้จัดการยากแล้ว”
“บุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์เป็นพันธมิตรกับเกาะมังกร ทั้งยังได้ยินว่าทำสัญญาเทพมังกรกับคนนั้น ลงมือกับเขาเสี่ยงเกินไป”
“ตามเจ้าหนูนี่ไปก่อนเถอะ! หากเจรจาแก้ปัญหาได้จะดีที่สุด ไม่เช่นนั้นคงได้แต่จับเขามา จากนั้นเค้นเอาวิชาคุนเผิง”
“วิชาคุนเผิงคือมรดกของบรรพบุรุษเผ่าเรา เดิมทีควรจะถ่ายทอดกลับมาเผ่าเรา หากเจ้าหนูนี่ยืนกรานไม่ยอมคืน ก็อย่าหาว่าพวกเราใช้กำลังแล้วกัน!”
“เจรจาอย่างสันติจะดีที่สุด ไม่เช่นนั้นระหว่างเรากับเผ่ามังกรคงเลี่ยงการปะทะซึ่งหน้าไม่ได้”
“ถ้าได้มรดกสูงสุดเผ่าเรากลับมาจริงๆ ทุกอย่างก็คุ้มค่า!”
หลังจากเจรจาอย่างง่ายแล้ว ร่างเงาหลายร่างก็ทะลวงมวลอากาศตามไปทางที่เสิ่นเทียนหายไป
เผ่าคุนสุญตาชำนาญการควบคุมมิติ แม้จะศึกษาวิชาคล้ายๆ กลืนกินเป็นหลัก แต่ความเร็วก็ไม่ด้อยเลย ในระดับเดียวกันเรียกได้ว่าเป็นเจ้า
เดิมทีพวกเขาคิดว่าต่อให้เสิ่นเทียนเร็วกว่านี้ก็ไม่มีทางเร็วกว่าผู้สูงศักดิ์สวรรค์อย่างพวกเขา แต่ไม่นานพวกเขาก็พบว่าตนคิดผิด
ถึงเจ้าเสิ่นเทียนนี่จะอยู่แค่ระดับกายทอง แต่มีความเร็วน่าตกใจ อีกทั้งไม่รู้ว่าเจ้าหนูนี่สัมผัสได้ว่ามีคนสะกดรอยตามหรือไม่ จู่ๆ ก็มุดเข้าไปในทะเล จากนั้นดำไปในทรายก้นทะเลหายไปเลย
ใช่ หายไปเลย ไม่เหลือแม้แต่กลิ่นอายพลัง
แปลกประหลาดอย่างยิ่ง
……..
“เหตุใดจู่ๆ ถึงหายไปแล้ว”
“กับอีแค่เด็กระดับกายทองคนเดียว ไม่อยากเชื่อว่าจะหลุดรอดผ่านหนังตาผู้สูงศักดิ์สวรรค์อย่างเราไปได้”
“เจ้าหนูนี่แปลกมาก ข้าเคยอ่านเรื่องของเขามาบ้าง เจ้านี่ประหลาดยิ่งกว่าบุตรศักดิ์สิทธิ์คนนั้นของแดนศักดิ์สิทธิ์เคหาสน์ม่วงอีก ได้ยินว่าแม้แต่ผู้อริยะยังเคยหัวทิ่มเพราะเขามาแล้ว”
“เราอาจจะถูกพบแล้ว ช่างเถอะ กลับไปรายงานเจ้าเผ่าก่อน ให้เขาออกหน้าเถอะ”
“ถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็ให้เจ้าเผ่าออกหน้ามากำราบแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์!”
คนชุดคลุมดำปรากฏในฟ้าดินอีกครั้ง เมื่อหารือกันชั่วครู่อย่างจนปัญญาแล้วก็พากันกระโดดลงทะเล มุ่งหน้าไปยังเผ่าคุนสุญตา
ทะเลยังคงเงียบสงบไร้คลื่น ไม่มีพลังใดเผยออกมา
หนึ่งนาที…สองนาที…สิบนาที…ครึ่งชั่วยาม…หนึ่งชั่วยาม…
สามชั่วยามต่อมา มวลอากาศเกิดคลื่นขึ้นอีกครั้ง
คนชุดคลุมดำพวกนั้นปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง ใบหน้าดูกระหืดกระหอบ “เจ้าจิ้งจอกนี่ ไม่อยากเชื่อว่าจะยังไม่ออกมา”
สวรรค์เป็นพยาน พวกเขาไม่ได้จะสังหารเจ้าหนูนี่สักหน่อย
หากสังหารเจ้าหนูนี่จริงๆ ต่อให้เป็นเผ่าคุนสุญตาพวกเขาก็ยังรับผลที่ตามมาไม่ไหว
พวกเขาแค่อยาก ‘เชิญ’ เจ้าหนูนี่กลับเผ่าคุน จากนั้น ‘ขอ’ เจ้าหนูนี่คืนมรดกของเผ่าคุนพวกเขามา!
ไม่นึกเลยว่าเจ้าหนูนี่จะไม่ใช่แค่พบว่าพวกเขาสะกดรอยตาม แต่ขณะที่พวกเขาค้นหาอย่างละเอียดยังซ่อนตัวได้ลึกขนาดนี้
และที่สำคัญกว่านั้นคือพวกเขาบอกว่า ‘จะไป’ แล้ว แต่เจ้าหนูนี่ก็ยังไม่ออกมา!
มั่นใจนะว่านี่คือโอรสสวรรค์เผ่ามนุษย์จริงๆ ไม่ใช่โอรสสวรรค์เผ่าจิ้งจอกน่ะ
ความรู้สึกด้านลบของผู้อาวุโสเผ่าคุน +999
……
ขณะเดียวกัน ในเขตทะเลรกร้างบางแห่งห่างไปเก้าพันลี้
ร่างเงาหนึ่งมุดขึ้นมาจากใต้ดินอย่างเงียบเชียบ จากนั้นลงบนเกาะรกร้างแห่งหนึ่ง
รอบเกาะร้างแห่งนี้วางค่ายกลอำพรางไว้หลายชั้น เหมือนไม่มีอยู่ในมวลอากาศแห่งนี้
บุรุษชุดผ้าแพรมังกรขาวเผยรอยยิ้มเหมือนยกภูเขาออกจากอก เดินบนชายหาดช้าๆ ก่อนตะโกนเสียงเบา “ราชาสวรรค์บดบังพยัคฆ์ดิน”
มีเสียงดังตอบจากในฟ้าดิน “หอคอยล้ำค่าปราบอสูรธารน้ำ!”
มวลอากาศเกิดคลื่นเบาบาง ก่อนจะมีบุรุษคนหนึ่งเดินออกมาจากบนชายหาด
เขาสวมเกราะศักดิ์สิทธิ์หุบเหวมังกรองอาจห้าวหาญ ทั่วร่างแผ่กลิ่นอายพลังแก่กล้า
เขาสวมหน้ากากขนหงส์ นอกเกราะศักดิ์สิทธิ์คลุมด้วยหมวกคลุมสีดำ อำพรางกลิ่นอายพลังได้ทั้งหมด!
“เจ้าได้มาเยอะมาก”
“เป็นเพราะเจ้าควบคุมทางไกลได้อย่างสวยงาม”
“ไม่ได้พบกันครึ่งปี เจ้าเหมือนจะหล่อขึ้นกว่าเดิมอีก”
“ใช่ที่ไหนกัน นี่เป็นเพราะยีนของเจ้าดี เจ้าหล่อกว่า”
เสิ่นเทียนถอดแหวนเก็บของในมือออกและส่งให้ชายชุดคลุมดำตรงหน้า “จะรวมร่างหรือไม่”
บุรุษชุดคลุมดำพยักหน้าช้าๆ “ไอเบิกฟ้าในกายเจ้าเป็นภัยแฝง ตอนนี้อย่าเพิ่งรวมจะดีที่สุด”
ชั่วขณะที่สองคนกำลังคุยกันก็มีเงาลอยล่องร่างหนึ่งโผล่ขึ้นมาช้าๆ
เขาสวมชุดคลุมยาวสีม่วง ไว้เครายาว ดูเหนือธรรมดาราวกับเซียนแท้จริง ทรงดูเหมือนมาก
ชายชรามองเสิ่นเทียนกับบุรุษชุดคลุมดำด้วยความจำใจ ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “คุยกับตัวเองมันสนุกนักรึ เจ้านี่ไปเอารสนิยมแย่ๆ เช่นนี้มาจากที่ใดกัน แล้วก็ ค่ายกลอำพรางพลังนี่ข้าเป็นคนวางเองกับมือ ต่อให้เป็นผู้อริยะก็ไม่พบเจ้าหรอก แล้วจะสวมหน้ากากนี่เพื่อ ไม่อบอ้าวรึ”
บุรุษชุดคลุมดำถึงถอดหน้ากากขนหงส์ออกช้าๆ ก่อนจะหัวเราะเหอะๆ “ก็บอกให้เร็วกว่านี้หน่อยสิ!”
เมื่อถอดหน้ากากแล้วก็เผยใบหน้าที่หล่อเหลาอย่างยิ่ง
ไม่ใช่เสิ่นเทียนแล้วจะเป็นใครไปได้
………
ซ่า~
คลื่นกระทบชายฝั่ง เสิ่นเทียนนั่งขัดสมาธิบนหินยักษ์ก้อนหนึ่ง
ข้างหลังเขาเป็นชายชราชุดคลุมม่วงเยี่ยฉิงชางที่ลอยอยู่กลางอากาศ ตอนนี้ใบหน้าเต็มไปด้วยความตกใจ
“ไม่อยากเชื่อว่าใบชาตระหนักรู้บริสุทธิ์เช่นนี้จะปรากฏโลกข้างล่าง น่าเหลือเชื่อมาก เขตทะเลเบิกฟ้านั่นไม่ธรรมดาเลย!”
เยี่ยฉิงชางลูบใบชาเหมือนถาดหยกขาวเบาๆ เหมือนลูบของรัก “นี่ถ้าอยู่โลกเซียน เดาว่าคงมีค่ามหาศาล”
เสิ่นเทียนถาม “มีค่าเท่าไร”
เยี่ยฉิงชางมองค้อนเสิ่นเทียน “บอกเจ้าไปก็ไม่เข้าใจหรอก เป็นเซียนแล้วค่อยว่ากัน!”
เยี่ยฉิงชางพูดพลางสูดลมหายใจเข้าลึกทีหนึ่ง “เจ้านี่เป็นของดี แต่ต้องชงให้ถูกวิธีถึงจะแสดงสรรพคุณยาออกมาได้อย่างเต็มที่”
เขาชำเลืองตามองเสิ่นเทียนทีหนึ่งก่อนพูดเย้ยเยาะ “เหมือนที่เจ้าเอาของเหลวศักดิ์สิทธิ์นิพพานมาต้มชาตระหนักรู้ เสียของชะมัด”
เสิ่นเทียนงุนงง
เหตุใดถึงรู้สึกว่าตาแก่นี่กำลังเยาะเย้ยข้าอยู่ล่ะ
เยี่ยฉิงชางยื่นมือมา “ให้ใบชาข้าสิบใบ ไม่เช่นนั้นข้าจะใช้พลังวิญญาณจำนวนมากกระตุ้นฤทธิ์ยาของชาตระหนักรู้ให้เจ้าไม่ได้”
เสิ่นเทียนงุนงง
เหตุใดถึงรู้สึกว่าตาแก่นี่กำลังรีดไถข้าอยู่
ช่างเถอะ ถึงอย่างไรก็มาจากโลกเซียน อาจจะรู้วิธีลับในการกระตุ้นสรรพคุณชาจริงๆ ก็ได้!
“สิบใบไม่มีทาง ข้าเก็บมาได้ทั้งหมดยี่สิบกว่าใบ ให้ได้มากสุดห้าใบ”
“ห้าใบรึ เจ้าคิดว่าแซ่เยี่ยมีนามว่าขอทานรึ ตอนนั้นที่แซ่เยี่ยอยู่โลกเซียน ยังเคยเอาชาตระหนักรู้มาต้มไข่เลยด้วยซ้ำ”
“หกใบ มากสุดแล้ว ราคานี้คือขีดจำกัดของข้าแล้ว!”
“เก้าใบ ถ้าไม่มีข้า เจ้าจะทำเสียสรรพคุณยาของใบชาตระหนักรู้นี่ไปมากกว่าครึ่ง”
“เจ็ดใบ ถ้าไม่เช่นนั้นข้าก็ต้มเองดีกว่า!”
“แปดใบ!”
“ตกลง”
เสิ่นเทียนส่งใบชาตระหนักรู้ออกไปแปดใบ ก่อนจะมองเยี่ยฉิงชางด้วยความเฝ้ารอคอย
เขาอยากดูว่าต้องทำอย่างไร ใบชาตระหนักรู้ถึงจะมีสรรพคุณยาทั้งหมด
…….
“ดูให้ดีๆ เริ่มแล้ว”
เยี่ยฉิงชางใช้สองมือประสานมุทรา เปล่งแสงสีเงินอ่อนๆ แฝงไว้ด้วยความหมายลึกลับอย่างยิ่ง
เขาส่งมุทราเข้าไปในใบชาสูงสุดพวกนั้น ทันใดนั้นใบชาสูงสุดนั้นก็เปล่งแสงสว่างหมื่นจั้ง
ต่อมาก็เก็บกลับไปในวินาทีสั้นๆ เหมือนไม่เคยเปล่งแสงมาก่อน
ฟู่~
เยี่ยฉิงชางพ่นลมหายใจขุ่นเบาๆ ก่อนจะรูดแขนเสื้อช้าๆ
เสิ่นเทียนมีสมาธิอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน “เยี่ยเหล่า จะเริ่มแล้วรึ”
เยี่ยฉิงชางส่ายหน้าช้าๆ “เสร็จแล้วต่างหาก”
เสิ่นเทียนมึนงง
แค่นี้หรือ
ถ้าไม่ใช่เพราะสู้ตาแก่นี่ไม่ได้ เสิ่นเทียนอยากจะดึงเคราตาแก่นี่มาถามจริงๆ
ก็แค่มุทราวินาทีเดียว จะทำให้เจ้าเสียพลังวิญญาณไปเท่าไรกัน!
เหตุใดถึงรู้สึกว่าตาแก่ที่ตามติดอยู่ข้างกายถึงดูพึ่งพาไม่ค่อยได้ล่ะ
เสิ่นเทียนมองเยี่ยฉิงชางด้วยความคับแค้นใจ ก่อนจะรับใบสูงสุดมา “ท่านมั่นใจนะว่าเสร็จแล้ว”
เยี่ยฉิงชางพยักหน้าอย่างมั่นใจ “ใช่ ข้ากระตุ้นฤทธิ์ยาของใบสูงสุดนี่แล้ว ตอนนี้เจ้าแค่เคี้ยวมันและกลืนลงไปก็พอ”
เคี้ยว และกลืนลงไปรึ
เจ้ามั่นใจนะว่านี่คือวิธีการดื่มชาของโลกเซียน
เสิ่นเทียนมุมปากกระตุกอย่างบ้าคลั่ง กระบี่ฟ้าสังหารในกลีบปอดสั่นไหวระรัว
เยี่ยฉิงชางหัวเราะเหอะๆ “เหลือบมองอะไร อย่าคิดว่าข้ากำลังล้อเจ้าเล่นอยู่เชียว ใบชาตระหนักรู้อื่นในมือเจ้ามีคุณภาพธรรมดา ถ้าใช้น้ำแร่วิญญาณระดับสูงสุดก็จะกระตุ้นท่วงทำนองมรรคได้ แต่ใบชาสูงสุดเป็นของล้ำค่าที่สุดแห่งยุค ห้าดินแดนโลกข้างล่างแทบจะหาน้ำแร่วิญญาณที่คู่ควรกับมันไม่ได้ ใช้น้ำอะไรต้มก็สิ้นเปลืองหมด
ในสถานการณ์เช่นนี้ ไม่ว่าจะต้มอย่างไรก็มีแต่ทำให้ท่วงทำนองมรรคหายไป สู้เคี้ยวไปเลยจะได้ผลดีกว่า ถึงอย่างไรเจ้าก็มีร่างกายแปลกมาก เหมือนจะย่อยได้ทุกอย่าง วางใจลองดูหน่อยเถอะ! ปู่บุญธรรมไม่ทำร้ายเจ้าอยู่แล้ว”
เสิ่นเทียนมองเยี่ยฉิงชางด้วยความสงสัยอยู่พักหนึ่ง สุดท้ายถึงกอบใบชาสูงสุดนั้นด้วยความจำใจ ก่อนจะเคี้ยวไปช้าๆ
…..
กรุบ~
ความรู้สึกหอมสดชื่นแผ่ซ่านในปากเสิ่นเทียน ใบชานี่มีรสปากที่กรอบมาก เหมือนกับแผ่นมันฝรั่ง
อีกทั้งเมื่อเสิ่นเทียนเคี้ยวใบชาสูงสุดละเอียดและกลืนลงท้องไป รอบตัวเขาก็เปล่งแสงสีเงินสว่างพร่างพราวอย่างยิ่ง
เขารู้สึกว่าทั้งตัวลอยล่องจะเป็นเซียน เข้าไปอยู่ในขอบเขตมหัศจรรย์ลึกลับอย่างหนึ่ง ทุกสรรพสิ่งในฟ้าดินเหมือนจะหายไปตรงหน้า
เขาเคี้ยวใบชาสูงสุดเหมือนหุ่นยนต์ ดวงตาเปล่งแสงสีเงินสว่างจ้า เหมือนจะเข้าใจกฎเกณฑ์ลึกลับทุกอย่างในฟ้าดิน
เกิดปรากฏการณ์มากมายลอยขึ้นข้างหลังเขา
สัตว์เทพสิบทิศควบสายฟ้าแยกเขี้ยวร่ายรำกรงเล็บ มีหมื่นกระบี่ทะลวงอากาศทำลายจักรวาล มีมังกรศักดิ์สิทธิ์เก้านภาเรียกลมเรียกฝน มีแสงเทพห้าสีทะลวงเบิกฟ้า มีเต่าดำยักษ์กำลังยืดหดคอร่ายรำกระบี่ยาว…
เมื่อเสิ่นเทียนเคี้ยวกินใบชาสูงสุดไปเรื่อยๆ ปรากฏการณ์ทั้งหมดก็ยิ่งใหญ่ขึ้นด้วยความเร็วระดับสายตามองทัน ชัดเจนขึ้น เหมือนกลายเป็นของจริง
เห็นได้ชัดว่านี่หมายความว่าเสิ่นเทียนกำลังพัฒนาความชำนาญในด้านเขตแดนกฎเกณฑ์มรรคอย่างพุ่งพรวด
เขาเข้าไปสู่เขตตระหนักรู้ลึกลับบางอย่าง อาศัยใบชาสูงสุดนี้ส่องความลี้ลับดั้งเดิมที่สุดของกฎเกณฑ์ฟ้าดิน
กระทั่งแม้แต่เสิ่นเทียนเองยังเหมือนกลายเป็นมรรค หลอมรวมเป็นหนึ่งกับกฎเกณฑ์ฟ้าดิน
“ตาดำเปล่งแสงเงินส่องมหามรรค ร่างกลายเป็นอากาศธาตุรวมกับกฎเกณฑ์ หรือว่าจะเป็นกายมรรคสวรรค์ประทาน”
เยี่ยฉิงชางมุมปากกระตุกเล็กน้อย “เจ้านี่มีคุณสมบัติกายใดกันแน่ กินผลใจกระบี่ไม่กี่ผลก็ปลุกตื่นกายเทพกระบี่ฟ้าได้ ตอนนี้กินใบชาตระหนักรู้ใบเดียว ไม่อยากเชื่อว่าจะปลุกตื่นกายมรรคสวรรค์ประทานได้ นี่จะให้คนอื่นเขามีที่ยืนกันบ้างไม่ได้รึ”
กายมรรคสวรรค์ประทาน ใกล้กับมรรคโดยธรรมชาติ ดวงตาสองข้างสามารถส่องหมื่นวิชาในโลก
นี่ คือคุณสมบัติกายที่หายากในโลกเซียน
มากพอจะสั่นสะเทือนทั้งยุคสมัย!
…….
ขณะที่เยี่ยฉิงชางกำลังมองด้วยความตื่นตกใจนั้น เสิ่นเทียนยัดใบชาสูงสุดชิ้นสุดท้ายเข้าปากไปแล้ว
บึ้ม~
แก่นพลังทองขนาดเท่าผลส้มโอก็ลอยขึ้นมาจากในตัวเสิ่นเทียนช้าๆ เปล่งแสงสีทองหมื่นจั้ง ทำให้ทั้งเกาะร้างสว่างพร่างพราวอย่างยิ่ง
ตอนนี้แก่นพลังทองนี้กำลังใหญ่ขึ้น อีกทั้งยังใหญ่ขึ้นเร็วมาก เหมือนกับสูบลม
อู้~
เจ้าเคยเห็นแก่นพลังทองใหญ่เท่าแตงโมหรือไม่
นั่นใหญ่เท่าลูกฟักเขียวเลย!
……………………