บุหลันเคียงรัก - บทที่ 1 องค์หญิงเสวียนอี่
ในวสันตฤดูอันเจิดจ้าวันหนึ่งนั้น ปรากฏสองข่าวลือที่แพร่สะพัดออกไปอย่างกะทันหันจนทำให้ความสงบสุขในแดนเทพที่มีมาแสนนานพังทลาย
ข่าวแรก สวนดอกไม้หลังตำหนักของราชาบุปผา ดอกโบตั๋นเริงรำซึ่งเดิมทีนั้นสามหมื่นปีจะบานสะพรั่งสักครา ทว่าครานี้ยังไม่ถึงหนึ่งหมื่นปีก็ผลิดอกตูมแล้ว
ข่าวที่สอง มีข่าวลือว่าจักรพรรดิสวรรค์มีพระราชโองการจับคู่องค์หญิงน้อยธิดาเทพมังกรแห่งเขาจงซานตระกูลจู๋อินกับเทพฝูชางบุตรชายคนเดียวของเทพบูรพาตระกูลหวาซวี
ประจวบเหมาะกับดอกโบตั๋นเริงรำในสวนหลังตำหนักได้เบ่งบานสะพรั่งแล้วพอดี และตามความคิดที่ว่า ‘ไม่อยากพบหน้าครั้งแรกเพราะอึดอัดใจ’ นั้น จักรพรรดิสวรรค์จึงบัญชาให้การพบกันครั้งแรกของเทพสององค์นี้มีขึ้นที่สวนดอกไม้หลังตำหนัก ได้พบเหล่าทวยเทพทั้งหลายที่มาเที่ยวชมความงามของดอกไม้ เขาทั้งสองคนก็คงจะไม่ได้ทำแค่มองหน้ากันไปมาเท่านั้น
เมื่อข่าวนี้แพร่กระจายออกไป ทำให้หลายวันมานี้มีเหล่าทวยเทพแวะเวียนมาเยี่ยมชมดอกไม้กันอย่างไม่ขาดสาย ทำให้ธรณีประตูของสวนดอกไม้หลังตำหนักดูราวกับว่าโดนเหยียบจนเตี้ยลงไปหลายนิ้ว
ในปีที่เทพีชุ่ยเหอฮูหยินเทพมังกรแห่งเขาจงซานได้พลัดตกลงไปเสียชีวิต ณ ดินแดนอันเวิ้งว้าง เทพมังกรปิดกั้นเขาจงซานจากภายนอก แทบจะไม่ได้ไปมาหาสู่กับเทพองค์อื่นๆ จนถึงตอนนี้ก็ไม่มีผู้ใดเคยเห็นบุตรสาวบุตรชายของเทพมังกรเลยว่าหน้าตาเป็นอย่างไร
สำหรับองค์หญิงผู้นั้นแล้ว มีข่าวลือว่านางเป็น ‘องค์หญิงปลาดุกอุย’ น่าจะเป็นเพียงแค่เทพีที่แสนธรรมดาองค์หนึ่ง
ถึงแม้ว่านางจะดูธรรมดาเพียงไหน แต่ชาติกำเนิดยังคงสูงส่งไม่ธรรมดา
ขณะนี้องค์หญิงมีอายุได้เก้าพันเจ็ดร้อยปี เพิ่งจะถึงช่วงอายุที่จะมีคู่ได้ก็ได้รับการเลือกคู่ให้จากองค์จักรพรรดิสวรรค์ เทพบูรพาจึงได้แนะนำบุตรชายให้ดูท่าทีไปก่อน เหล่าทวยเทพทั้งหลายก็ได้แต่อิจฉาและชื่นชมยินดี
แต่ว่าการจับคู่ขององค์จักรพรรดินั้น เหตุใดจึงต้องเจาะจงแต่เทพฝูชางด้วยเล่า ทำให้เหล่าเทพีทั้งหลายในแดนเทพต่างก็ใจสลายไปตามๆ กัน
ยังจำได้ว่าในปีนั้นเทพฝูชางอายุได้เพียงสองหมื่นสองพันปี ธิดาขององค์จักรพรรดิสวรรค์ได้ออกเรือน มีการจัดเลี้ยงฉลองอย่างเต็มที่ยาวนานถึงห้าวันเต็ม เหล่าทวยเทพทั้งหลายต่างพากันสรรเสริญเยินยอ ครั้งนั้นเหล่ามังกรสตรีทั้งหลายพากันร้องเล่นเต้นระบำ เทพเซียงคอยบรรเลงเพลงขลุ่ยอย่างสนุกสนาน เทพไท่จื่อฉางฉินใช้เสียงพิณบรรเลงร่วมด้วย และเทพีซีเหอตีกลองประสาน
จักรพรรดิสวรรค์ที่กำลังสนุกกับการดื่มด่ำสุราอยู่นั้น จู่ๆ ก็หันหน้าไปมองเทพหนุ่มผู้หนึ่งที่นั่งอยู่เพียงลำพัง ณ มุมทิศอาคเนย์ ยิ้มแล้วพูดว่า “ฝูชางเหตุใดเจ้าไม่ร่ายรำเพลงกระบี่เพิ่มความครื้นเครงสักหน่อยเล่า”
เทพเจ้าผู้หนุ่มแน่นสะบัดแขนเสื้อแล้วลุกขึ้น ท่วงท่าเยื้องย่างราวกับนกกระเรียน กระบี่เล่มยาวในมือของเขาถูกวาดลวดลายในการบรรเลงเพลงกระบี่ได้อย่างสง่างามและเป็นธรรมชาติ
เมื่อบทเพลงคืนเหมันต์จันทร์กระจ่างจบลง การร่ายรำเพลงกระบี่ของเขาก็สิ้นสุดลงด้วย กระบี่เล่มยาวสะท้อนแสงเป็นสีสวยเส้นหนึ่ง ใบหน้าที่หันข้างมาเพียงนิดหน่อยของเขา องศาของปลายจมูกและปลายคางรับกันอย่างลงตัวสมบูรณ์แบบ เขายกมือขึ้นยื่นกระบี่ยาวคืนให้เหล่ามังกรสตรี ขนตางอนค่อยๆ ยกขึ้น ดวงตาทั้งสองแวววาวราวกับแสงจันทร์
โดดเด่น ไร้เทียมทานเป็นที่สุด
การบรรเลงเพลงกระบี่ในครานั้นทำให้ชื่อเสียงของเทพฝูชางเลื่องลือไปทั่วทุกสารทิศ ทำให้เหล่าสตรีเทพจำนวนนับไม่ถ้วนหลงใหล เมื่อคิดถึงว่าในตอนนี้เขากลับร่วงหล่นลงสู่อุ้งมือมารขององค์หญิงน้อยตระกูลจู๋อิน ยิ่งพาให้หัวใจแตกสลาย
เป็นเวลาบ่ายกว่าๆ แล้ว จู่ๆ สายลมพลันพัดแรงขึ้นอย่างกะทันหัน ทะเลหมอกไหลเชี่ยวเป็นชั้นๆ ราวกับว่าถูกสองมือขนาดมหึมาฉีกออกอย่างฉับพลัน ปรากฏเป็นราชสีห์เก้าเศียรสีเขียวครามกำลังขี่ลมโผนทะยาน ในชั่วพริบตาก็ร่อนลงมายังพื้นที่มีดอกสาลี่กระจัดกระจายอยู่เต็มไปหมด
ทั่วทุกสารทิศล้วนเป็นสีขาวราวกับหิมะ เทพหนุ่มค่อยๆ กระโดดลงมาจากหลังราชสีห์ แขนเสื้อกว้างสะบัดไปมา ท่วงท่าสง่างาม ที่แท้ก็คือเทพฝูชางบุตรชายเพียงคนเดียวของเทพบูรพานั่นเอง
เขามาคนเดียว ไม่มีผู้ติดตาม และก็ไม่มีเทพธิดารับใช้ติดตามมาด้วยแม้แต่คนเดียว เขาจูงราชสีห์เก้าเศียรเดินไปยังลานตำหนักที่ประทับของราชาบุปผา เมื่อมาถึงหน้าลานตำหนักที่ประทับ เหล่าผู้รับใช้ใกล้ชิดของราชาบุปผาต่างออกมาต้อนรับอยู่ก่อนแล้ว ผู้รับใช้ยื่นมือไปรับเชือกจูงราชสีห์อย่างนอบน้อม
“ไม่ทราบว่าราชาบุปผาจะจัดการอย่างไร” ฝูชางถามเสียงต่ำ
น้ำเสียงอันน่าหลงใหลของเขานั้น ไม่เหมือนกับลักษณะภายนอกที่ดูเย็นชา เพียงแค่เอ่ยปากพูด น้ำเสียงทุ้มๆ แต่กลับเต็มไปด้วยความมีเสน่ห์คล้ายขนนกอันอ่อนนุ่มปัดผ่านห้องหัวใจ ทำให้คนหมดแรงอ่อนระทวยลงได้
เหล่าผู้รับใช้ต่างหน้าแดงด้วยเขินอายโดยไม่รู้ตัว นิ่งเงียบพูดไม่ออกอยู่เนิ่นนาน
ทันใดนั้น ภายในทะเลเมฆพลันมีเสียงดังอึกทึกลอยมาอีกระลอกหนึ่ง มวลเมฆาที่ทับซ้อนกันเป็นชั้นๆ ถูกแหวกออกอย่างไร้ความปรานี ราชยานสีทองอร่ามเคลื่อนตัวออกมาจากกลางเมฆา บนราชยานมีตราสัญลักษณ์ของเทพเจ้าแห่งเขาจงซานประทับอยู่ รัศมีทั่วบริเวณราชยานแวววาวสาดส่องไปไกลหมื่นลี้ มีข้าราชบริพารผู้ติดตามตามมามากมายไม่น้อยกว่าร้อยชีวิต
ระหว่างที่รอให้กลุ่มคนเหล่านั้นแล่นลงมาสู่ดงดอกสาลี่ ดอกไม้ดอกเล็กๆ พลันเบ่งบานเบียดเสียดกันขึ้นมาทันที ทำให้บรรดาเหล่าทวยเทพทั้งหลายต่างต้องคอยหลีกทาง
มองเห็นผู้ติดตามที่อยู่ด้านหน้าสามสิบองค์ถือโถเครื่องสำริด คอยใช้ช้อนหยกตักน้ำราดรดไปตามสองข้างทาง เหล่าเทพธิดาอีกสามสิบองค์ตรงกลางคอยประคองกระถางธูปสีม่วงทอง ควันธูปล่องลอยไปตามลม กลิ่นหอมสดชื่นของควันธูปเกือบจะกลบกลิ่นของดอกสาลี่จนสิ้น
ถัดไปมีผู้ติดตามอีกสามสิบองค์คอยใช้พรมปุยเมฆที่มีสีขาวดุจหิมะปูลาดไปตามทาง พรมผืนนี้ทอโดยเหล่าสาวทอผ้าที่ช่วยกันเก็บก้อนเมฆจากทางช้างเผือกมาถักทอ และยิ่งไปกว่านั้นพรมผืนนี้ยังประดับประดาไปด้วยหยกเม็ดงามแห่งทางช้างเผือก ทุกๆ ตารางนิ้วของพรมปุยเมฆล้วนเต็มไปด้วยความหรูหรา นึกไม่ถึงว่าองค์หญิงจะใช้มันปูทาง ช่างฟุ้งเฟ้อเสียจริง
ด้านหลังราชยานมีเหล่าเทพธิดาอีกสามสิบคนสุดท้ายติดตามอยู่ ในมือถือแส้ขนจามรี พัดขนนก ผอบหยก และยังมีผู้ที่คอยกางร่มที่ทำจากผ้าแพรคันใหญ่อีกสองคน แม้ว่าจะมีผู้ติดตามอย่างหนาแน่น ทว่าทุกอย่างกลับดำเนินไปด้วยความเงียบสงบ สร้างความตื่นตะลึงให้กับเหล่าทวยเทพตลอดเส้นทางจนถึงลานหน้าตำหนัก ผู้ติดตามจึงได้แยกตัวไปยืนอยู่สองฝั่งทาง ราชยานค่อยๆ เคลื่อนมาหยุดตรงหน้าเทพฝูชางพอดี
“ธิดาขององค์จักรพรรดิสวรรค์ยังไม่โอ้อวดถึงเพียงนี้เลย…”
เหล่าทวยเทพต่างพากันกระซิบกระซาบด้วยความไม่พอใจ แม้จะเป็นองค์หญิงของเทพเจ้ามังกรแห่งเขาจงซาน เพียงเพิ่งปรากฏตัวครั้งแรกก็วางอำนาจบาตรใหญ่ให้เหล่าผู้ติดตามตามมานับร้อยคน คิดอยากจะประกาศว่าฐานะของตนเองสูงส่งจนผู้อื่นเอื้อมไม่ถึงอย่างนั้นหรือ
เสียงแอ๊ดดังขึ้นคราหนึ่ง ประตูราชยานถูกเปิดออก ผู้ติดตามที่กางร่มรีบกางร่มผ้าแพรออกพร้อมยืนรออยู่สองฝั่งทาง เทพธิดาผู้รับใช้ยกแขนขึ้นด้วยความนอบน้อม มือเรียวยาวจับอยู่ด้านบน เล็บมือทั้งห้าถูกแต่งแต้มด้วยสีแดงสด ตัดกับสีแขนเสื้อสีเหลืองที่เทพธิดาสวมใส่อยู่ ยิ่งไปกว่านั้นผิวพรรณช่างขาวผ่องราวกับหิมะแรกตก
สายตาของเหล่าทวยเทพต่างจับจ้องไปที่มืออันเรียวยาวนั้น ออกมาเถิด องค์หญิงแห่งเขาจงซาน ดูสิว่าองค์หญิงจะมีรูปร่างหน้าตาเป็นเช่นไร เหตุใดจึงได้โอ้อวดถึงเพียงนี้
เงาคนร่างบอบบางค่อยๆ เยื้องย่างลงมาจากบนราชยานอย่างช้าๆ องค์หญิงน้อยสวมกระโปรงยาวสีขาว ปักลวดลายมังกรสีทองหลับตาอยู่ถี่ยิบ เส้นผมยาวสีดำขลับประดับด้วยเครื่องประดับที่ทำจากทองคำ นอกเหนือจากนี้ก็ไม่มีเครื่องประดับใดอีกเลย แลดูมีความสูงส่งและสุขุม
ใบหน้าของนางซ่อนอยู่ภายใต้เงาของร่มผ้าแพร บางคราวก็เผยให้เห็นองศาของใบหน้าที่เอิบอิ่มและอ่อนโยน มือของนางเกาะที่แขนผู้รับใช้ไว้ ค่อยๆ ก้าวไปข้างหน้าไม่ช้าและไม่เร็วนัก ทุกฝีก้าวช่างเหมาะเจาะและงดงาม
กระทั่งเดินมาถึงตรงหน้าเทพฝูชาง ผู้ที่ติดตามที่กางร่มและเทพธิดาผู้คอยประคองจึงถอยหลังไปสามก้าวแล้วคำนับด้วยความเคารพ บรรดาทวยเทพจึงได้เห็นโฉมลักษณ์ขององค์หญิงเทพมังกรแห่งเขาจงซานเป็นครั้งแรก เหล่าเทพีสาวล้วนสูญเสียกำลังใจในทันใด
ผิวพรรณขององค์หญิงขาวผ่อง ขับให้คิ้วดกดำเด่นชัด เพิ่มความอ่อนช้อยและน่ารักให้กับริมฝีปาก อาจจะเป็นเพราะว่านางเกิดมาในตระกูลที่สูงศักดิ์ หรืออาจจะเป็นเพราะการมาของนางนั้นยิ่งใหญ่ บนร่างของนางจึงมีกลิ่นอายบางอย่างที่มิอาจพรรณนา คล้ายกับใสซื่อไร้เดียงสา แต่ก็ดูเหมือนสงบเสงี่ยมอย่างผู้สูงศักดิ์ ทำให้นางดูแตกต่างไปจากเหล่าทวยเทพทั้งหลาย
ยิ่งไปกว่านั้น นางช่างมีท่วงท่าอ่อนช้อยงดงาม และสะอาดสะอ้านเหลือเกิน
ด้วยอายุเพียงเก้าพันกว่าปีทำให้ใบหน้าขององค์หญิงน้อยยังคงมีความอ่อนเยาว์ กิริยาท่าทางที่แสดงออกมากลับสงบนิ่งเป็นอย่างมาก มองไม่ออกถึงอารมณ์ใดๆ ข้างในจิตใจ สงบนิ่งต่อสายตาของเทพฝูชางที่ยืนอยู่ตรงหน้า ราวกับว่าเทพหนุ่มรูปงามที่ยืนอยู่ตรงหน้านี้เป็นเพียงแค่ท่อนไม้ไร้ชีวิตท่อนหนึ่งเท่านั้น
นางสะบัดแขนเสื้อพร้อมกับโค้งตัวคำนับ กลิ่นหอมละมุนปกคลุมไปทั่วเกาะสวรรค์ของราชาบุปผา
“ข้าน้อยเสวียนอี่เทพมังกรแห่งเขาจงซานตระกูลจู๋อิน คารวะท่านเทพฝูชาง”
น้ำเสียงของนางนุ่มนวลราวกับสายลมเย็นที่พัดมาในค่ำคืนแห่งคิมหันตฤดู