บุหลันเคียงรัก - บทที่ 100 หนังสือสวรรค์ไร้อักษร
ฉีหนานรู้นิสัยไม่ดีขององค์หญิงเขาดี นางกล่าวว่าจะไปเดี๋ยวนี้ นั่นหมายความว่า ‘รอให้นางกินขนม อาบน้ำ จัดผม เลือกชุดอะไรเรียบร้อยก่อนจึงจะรีบไป’
รถเตรียมพร้อมรออยู่หน้าประตูเขานานแล้ว เขาเป็นผู้จุดกำยานและใส่เข้าไปในกระถางกำยานทองแดงใบเล็กด้วยตนเอง และนำบ๊วยเคลือบน้ำตาลอีกครึ่งถุงใส่ไปในกล่องหยกสีขาว ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งก็หยิบเอาหนังสือที่องค์หญิงยังอ่านไม่จบเมื่อหนึ่งพันห้าร้อยปีก่อนวางไว้ใต้เบาะ
ครั้งก่อนที่ได้จัดเตรียมของให้องค์หญิงออกจากบ้านอย่างนี้ ผ่านมาถึงสองหมื่นปีแล้ว
พอจัดเตรียมทุกอย่างเรียบร้อย ฉีหนานก็กระโดดลงมาจากรถ แต่กลับพบชิงเยี่ยนยืนอยู่บนศิลาเขียวกำลังทอดมองไปยังม่านกั้นเขาจงซาน เขานิ่งไปนานแล้วกล่าวเสียงเบาว่า “ม่านกั้นนี้ควรจะเอาออกได้แล้วสินะ”
ฉีหนานยิ้มแล้วกล่าว “มหาเทพจงซานเป็นผู้ให้สร้างไว้ หากองค์หญิงยังอยู่ในเขาจงซานก็ต้องสร้างม่านกั้น ไม่ให้คนภายนอกมารบกวนความสงบของนาง หากต่อไปนางจะต้องไปอยู่ตำหนักอวี้หวา ม่านกั้นนี้ก็จะถูกเอาออกไปเอง”
ชิงเยี่ยนกล่าวเสียงเรียบ “ตัวเขาเก็บตัวอยู่ในตำหนักฉางเซิงมานานขนาดนั้น วันนี้ยังคิดอยากจะกักตัวอาอี่ไว้ในเขาจงซานอีก นี่มันเหลวไหลสิ้นดี”
เขายกมือแล้วสะบัดออก ม่านกั้นก็ปริแตกกลายเป็นจุดแสงนับหมื่นนับพันทันใด พวกมันร่วงพรูลงมาราวกับเกล็ดหิมะ พริบตาเดียวกลบรถหายไปถึงครึ่งคัน เขากวาดตามองอย่างรวดเร็วแล้วกล่าวอย่างแปลกใจว่า “ทำไมยังมีจดหมายที่ยังไม่ได้รับตั้งแต่เมื่อสองหมื่นปีก่อนอีก”
เขากำลังคิดจะหยิบเอาจดหมายฉบับนั้นขึ้นมา ฉีหนานกลับเร็วกว่าเขาก้าวหนึ่ง เขาแย่งจดหมายไปก่อนและเก็บเข้าไปในแขนเสื้อ “คิดว่าน่าจะเป็นจดหมายขององค์หญิงกับสหายร่วมสำนักเมื่อก่อน ข้ากลับไม่ทันได้สังเกตเห็น ต้องรบกวนองค์ชายน้อยอีกแล้ว”
ชิงเยี่ยนขมวดคิ้วอย่างจนใจ “ฉีหนาน…มีเรื่องอะไรต้องปิดบังข้าอย่างนี้”
ฉีหนานฝืนยิ้ม พลันได้ยินเสียงองค์หญิงดังมาจากบนบันได “เอ๋ ทำไมมีแต่จดหมายเต็มพื้นไปหมด”
นางเดินลงมาจากบันไดทีละก้าว ชายกระโปรงสีขาวบริสุทธิ์ปักลวดลายมังกรหลับตาเอาไว้อย่างหรูหรางดงาม ผ้าคลุมขนจิ้งจอกสีแดงเพลิงคล้องอยู่บนแขน เรือนผมประดับด้วยวงแหวนสีทองอร่าม รองเท้าพื้นไม้เหยียบไปบนบันไดจนเกิดเสียงดังกังวาน
ฉีหนานถอนหายใจแล้วกล่าว “องค์หญิง ชุดของท่านชุดนี้…”
เสวียนอี่ลูบไปบนผ้าคลุมนุ่ม “ชุดของข้าไม่สวยหรือ”
“สวยก็สวยอยู่ แต่ว่า…องค์หญิงควรจะแต่งตัวให้เหมือนนักรบสักหน่อยถึงจะได้”
อย่างเช่น เอาวงแหวนทองที่ผมออก เปลี่ยนรองเท้าเป็นรองเท้าหุ้มข้อ แขนเสื้อก็อย่าเลือกที่กว้างขนาดนั้น ชายกระโปรงก็อย่าให้ยาวแบบนี้ หากทำได้ ก็ควรจะเอากระบี่ที่แขวนอยู่ตรงกำแพงมาแขวนไว้ที่เอวพอเป็นพิธี ถ้าทำอย่างนั้นได้ก็จะดี
“นี่คือชุดนักรบของข้า” นางไม่คล้อยตาม ตรงกันข้ามนางกลับกอดแขนของชิงเยี่ยนเอาไว้แล้วเงยหน้ายิ้มพร้อมกล่าวว่า “พี่ไปเป็นเพื่อนข้าได้หรือไม่”
ชิงเยี่ยนยิ้มบาง “หากเจ้าไม่เอาแต่ติดข้าอย่างนี้ เมื่อนั้นถึงจะเรียกว่าโตแล้วจริงๆ ไปเถอะ”
แววตาของฉีหนานมองส่งรถออกไปจากประตูเขาและหายเข้าไปในทะเลเมฆ เขาถึงได้เอาจดหมายฉบับนั้นออกมาจากแขนเสื้อช้าๆ เพราะแดนเทพมีไอบริสุทธิ์หล่อเลี้ยง ทำให้กระดาษสีขาวไม่เปื่อยยุ่ยแม้ผ่านมานับพันนับหมื่นปีแล้วก็ตาม มันยังคงใหม่ราวกับตอนแรก บนนั้นประทับสัญลักษณ์ลายเมฆของตระกูลหวาซวีไว้จริงๆ
ที่น่าแปลกก็คือ บนซองจดหมายนี้กลับไม่มีตัวอักษรสักตัวเดียว และยังไม่ปิดผนึกไว้ด้วย เขาดึงกระดาษด้านในออกมา กลับมีเพียงกระดาษขาวว่างเปล่าหนึ่งแผ่นที่ไม่มีร่องรอยน้ำหมึกเลย
หนังสือสวรรค์ไร้อักษร นี่หมายความอย่างไรกัน
ฉีหนานครุ่นคิดอย่างไม่เข้าใจ ได้แต่พับจดหมายเก็บไว้แล้วส่ายหัว พร้อมหมุนตัวกลับขึ้นไปบนบันไดช้าๆ
…
นับตั้งแต่เผ่าปีศาจทำร้ายเข่นฆ่าผู้อื่นตามอำเภอใจที่โลกเบื้องล่าง ตำหนักอวี้หวาในกลุ่มตำหนักหมื่นเทพก็เข้ามาแทนที่ตำหนักเหวินหวา กลายเป็นตำหนักที่ใหญ่ที่สุดในนั้น ช่วงเวลาที่ผ่อนคลายสบายเต็มไปด้วยความสุขผ่านไปแล้ว เหล่าองครักษ์ทั้งหลายต่างก็มีสีหน้าเคร่งเครียด ใกล้กับเขาหมื่นเทพมีเหล่าเทพผ่านไปมาอย่างเร่งรีบด้วยบรรยากาศกดดัน
เพื่อรักษาพลังเทพเอาไว้ มหาเทพไป๋เจ๋อจึงไม่ได้ใช้ประกาศมหาเทพเรียกรวมเหล่ากลุ่มตำหนักหมื่นเทพ กลุ่มตำหนักหมื่นเทพกระจายกันไปตามเขาหมื่นเทพและเขาอวิ๋นไห่ ทุกวันนี้ตำหนักอวี้หวาตั้งอยู่บนยอดเขาที่สูงที่สุดของเขาหมื่นเทพ
จื่อซีเดินขึ้นบันไดที่ทอดยาวขึ้นมาทีละขั้น ด้านหน้านางเห็นตำหนักอวี้หวาเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ ในใจนางกลับยิ่งไม่สงบ
หลายปีนี้นางตามหาร่องรอยของเซ่าอี๋มาตลอด กระทั่งเมื่อประมาณหนึ่งเดือนก่อน นางถึงได้ข่าวว่าเซ่าอี๋ของตระกูลชิงหยางนั้น ถูกเหล่ามหาเทพของตำหนักอวี้หวาส่งเข้าไปในหน่วยอู้เฉินและไปรับหน้าที่คอยตรวจดูทะเลหลีเฮิ่นนานแล้ว
ทุกวันนี้นักรบแดนเทพแบ่งออกเป็นหกสิบหน่วยและอยู่ในการดูแลของตำหนักอวี้หวาทั้งหมด นางอยู่ในหน่วยซินโหย่ว ทำหน้าที่กวาดล้างเผ่าปีศาจที่กระจัดกระจายไปทั่ว ไม่ได้เกี่ยวโยงกับหน่วยอู้เฉินแม้แต่น้อย หากเป็นอย่างนี้ต่อไป เกรงว่านางคงจะไม่ได้พบเขาตลอดไปแน่
นางจำได้ว่าปีนั้นที่เขาและนางลงไปโลกเบื้องล่างด้วยกัน ตอนที่เขามองทะเลหลีเฮิ่นจากที่ไกลๆ เขาได้พูดว่า เขาจะเป็นนักรบ และทำให้ทะเลหลีเฮิ่นกลับสู่สภาพเดิมในสักวัน ตอนนี้เขากำลังก้าวเดินไปตามจุดมุ่งหมายของตัวเองอย่างมุ่งมั่น แล้ว…จะให้นางแอบตามหลังเขาไปจะได้หรือไม่ นางจะไม่ไปรบกวนเขา และไม่ไปพัวพันเขาด้วย นางแค่อยากเห็นหน้าเขาทุกวันเท่านั้นเอง
ดังนั้น นางจึงเขียนขอย้ายไปหน่วยอู้เฉินด้วยตนเองและยื่นเรื่องให้กับตำหนักอวี้หวาไปเมื่อห้าวันก่อน วันนี้คือวันที่นางจะรู้ผล
ในใจของจื่อซีทั้งหวาดกลัวทั้งรอคอย ตอนนี้เซ่าอี๋จะมีท่าทางเปลี่ยนไปอย่างไรบ้างแล้ว เขาน่าจะกลายเป็นนักรบที่เก่งกาจมากสินะ ไม่รู้ว่าเขาจะสง่างามขนาดไหน
นางคิดไปก็รู้สึกลำคอร้อนขึ้นมา หลายปีนี้ข้างกายนางก็มีเทพหนุ่มตามเกี้ยวไม่น้อย แต่ว่าในใจนางมีเงาหนึ่งอยู่ตั้งแต่นางยังอายุน้อยทำให้นางไม่สามารถรับคนอื่นเข้ามาในใจได้อีก ต่อให้รู้ว่าความหลงใหลอย่างนี้มันช่างเหลวไหลและไม่มีทางมีจุดจบ แต่นางก็ทำอะไรไม่ได้
เพิ่งจะก้าวเข้าไปในตำหนักอวี้หวา พลันได้ยินเสียงนุ่มนวลที่คุ้นเคยเรียกนางจากด้านหน้า “ศิษย์พี่หญิงจื่อซี?”
จื่อซีรีบเงยหน้าขึ้น มองไปยังเทพธิดาตัวน้อยที่กำลังก้าวเท้าเข้ามาภายในตำหนัก คุ้นตายิ่งนัก เหมือนปีศาจน้อยบางคนที่นานมาแล้วเคยทำให้ตำหนักหมิงซิ่งวุ่นวายไปหมดจะโตขึ้นมาบ้างแล้ว ใบหน้าของนางยังคงอิ่มเอิบสดใส รูปร่างเพรียวบางราวกับกิ่งหลิว ใบหน้าที่เคยอ่อนเยาว์ยังไม่โตเต็มที่ยามนี้เปลี่ยนไปมาก ความอ่อนเยาว์ลดลงไปและมีความเป็นหญิงมากขึ้น
“…เสวียนอี่” นางเรียกอย่างตกใจแล้วรีบก้าวเข้าไป “เจ้า…ทำไมภายหลังถึงได้ไม่ยอมมาฟังบรรยายอีก เจ้ายังสบายดีหรือไม่ ข้าเขียนจดหมายไปทำไมเจ้าไม่ตอบกลับ! เจ้า…”
ยังกล่าวไม่จบ เทพธิดาตัวน้อยที่งดงามตรงหน้าก็เข้ามากอดแขนนางไว้อย่างสนิทสนม มองพิจารณานางตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า “ศิษย์พี่หญิง ท่านไม่แต่งตัวอีกแล้ว แต่ว่าก็ยังสวยอยู่ดี”
จื่อซีถูกคำหวานที่หายไปนานของนางพูดเสียจนใบหน้าเห่อร้อน พลันเห็นชิงเยี่ยนเดินตามมาจากด้านหลัง นางจึงรีบคารวะแล้วกล่าวไปว่า “คารวะองค์ชายน้อย”
หากนางจำไม่ผิด พี่น้องสองคนนี้ยังมีอายุไม่ถึงสี่หมื่นปีเลยสินะ แล้วไฉนถึงมาตำหนักอวี้หวาได้
ชิงเยี่ยนมักมีท่าทางเย็นชาไร้อารมณ์ต่อหน้าเทพสาวเสมอ เขาแค่รับการคารวะน้อยๆ แล้วยกมือลูบหัวของเสวียนอี่พลางกล่าวเสียงเบา “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็อยู่ที่นี่แล้วกัน หากว่ามีเรื่องอะไรยุ่งยากใจก็กลับไปเขาจงซาน ไม่ต้องสนใจอะไรทั้งนั้น เจ้ายังอายุไม่ถึงสี่หมื่นปี เดิมก็ไม่ต้องสนใจพวกเขาอยู่แล้ว”
เสวียนอี่พยักหน้าช้าๆ เกี่ยวแขนเสื้อเขาเอาไว้พลางกล่าวเสียงเบา “อย่าลืมบอกฉีหนานให้เอาชุดของข้ามาส่งด้วย ยังมีน้ำมันบุปผาทาเล็บที่ข้าทำขึ้น รองเท้าข้า และ…”
ชิงเยี่ยนฟังจนเวียนศีรษะ “หยุดเลย ฉีหนานรู้อยู่แล้วว่าต้องส่งอะไรมา ข้าไปแล้ว”
เขามักไม่มีการรีๆ รอๆ พูดไปก็ไป เสวียนอี่ยืนอยู่หน้าตำหนักแล้วมองไปยังรถที่ยังไม่เข้าไปในทะเลเมฆ นางยืนอยู่นานถึงได้หันกลับมายิ้มให้จื่อซีน้อยๆ “ศิษย์พี่หญิง พวกเราเข้าไปกันเถอะ ข้ายังมีเรื่องตั้งมากมายที่อยากจะพูดกับท่าน”
จื่อซียิ้มแล้วมองพินิจนาง แต่ก่อนนางร่างไม่สูง สูงเพียงแค่หูของนางเท่านั้น แต่ตอนนี้มายืนด้วยกันกลับมีความสูงพอๆ กัน นางคล้องแขนนางแล้วกล่าวว่า “ไยเจ้าถึงมาที่นี่ได้”
เสวียนอี่กล่าวเนิบนาบ “ดูเหมือนเทพีวั่งซูจะบาดเจ็บหนัก นางเรียกข้าให้มารับตำแหน่งวั่งซูก่อนล่วงหน้า”
แต่นางเพิ่งจะพบเทพีวั่งซูยังดีๆ อยู่ที่หอไป๋จย่าชัดๆ นางไม่ได้มีท่าทางเหมือนบาดเจ็บหนักเลยสักนิด ดูแล้วข่าวน่าจะเชื่อถือไม่ได้
มหาเทพชิงหยวน ผู้ที่ส่งจดหมายนับไม่ถ้วนให้นางเป็นพวกไม่ยอมทั้งอ่อนแข็ง เขาเรียกให้นางมาเรียนรู้วิชาต่อสู้อะไรพวกนั้นที่นี่ สุดท้ายก็ให้เหตุผลออกมาว่า ‘ทุกวันนี้เผ่ามารของโลกเบื้องล่างทำร้ายเข่นฆ่าผู้คนตามอำเภอใจ ไม่เหมือนกับแต่ก่อนอีกแล้ว องค์หญิงอายุครบสี่หมื่นปีก็ต้องมาเป็นนักรบ ในเมื่อเป็นอย่างนั้น ไยถึงไม่อยู่เรียนวิชาต่อสู้เสียที่ตำหนักอวี้หวา เปิ่นจั้วรู้ว่าองค์หญิงคือศิษย์ของมหาเทพไป๋เจ๋อ แต่เกรงว่ามหาเทพจะหาเวลาว่างมาสอนวิชาต่อสู้ให้องค์หญิงไม่ได้ องค์ชายน้อยต้องไปติดตามมหาเทพเสวียนหมิง มหาเทพจงซานกวาดล้างเผ่าปีศาจอยู่ที่โลกเบื้องล่าง คงจะมาชี้แนะองค์หญิงไม่ได้ แต่ว่าที่ตำหนักอวี้หวามีนักรบมากมาย เวลาเจ็ดแปดปีก็เพียงพอจะให้องค์หญิงสามารถคุ้มครองตนเองได้แล้ว’
ดังนั้น ฉีหนานพูดได้ถูกต้องจริงๆ ตำหนักอวี้หวาฝืนบังคับนางให้ออกมาจากเขาจงซานก็เพราะขัดเคืองที่นางไม่ยอมเรียนวิชาต่อสู้ และคิดบังคับให้นางเรียน อย่างไรตอนนี้แดนเทพก็กำลังอบรมนักรบอย่างเต็มที่ เผ่าเทพที่ยังมีอายุไม่ถึงสี่หมื่นปีทุกคนล้วนแต่ถูกบีบให้ฝึกอย่างยากลำบากกว่าแต่ก่อนนับร้อยเท่า และไม่ยอมให้นางได้มีอิสระอีก
ยิ่งไปกว่านั้นนางยังเป็นตระกูลจู๋อิน
ตระกูลจู๋อินที่ต่อสู้ไม่เป็นก็จะทำให้พรสวรรค์เสียไปเปล่าๆ นางไม่ได้เสียดาย แต่กลับมีมหาเทพมากมายของแดนเทพเสียดายแทนนาง