บุหลันเคียงรัก - บทที่ 102 ที่เรียกว่าเรียนกระบี่
เสวียนอี่หดตัวนิ่งอยู่ในผ้าห่ม ในหูมีเสียงหึ่งๆ ดังอึงอล
นอนต่อดีกว่า
นางบิดตัวเขยิบไปที่มุมแล้วขดเป็นก้อน ตีนางเถอะ ใช้วิชาเวทกระแทกนางมาเลย ตอนนี้เกล็ดมังกรขึ้นเต็มตัวนางแล้ว รู้สึกแค่คันๆ เท่านั้นแหละ วันนี้ใครก็อย่าคิดจะเรียกนางให้ลุกจากเตียงนี้ได้ ต่อให้เป็นจักรพรรดิสวรรค์ก็ไม่ได้
รออยู่นาน เขาก็ยังไม่ขยับ เสียงฝีเท้าค่อยๆ เดินออกไปนอกห้องนอน แล้วปิดประตูให้นางเบาๆ
เขาไปแล้ว
เสวียนอี่หลับตาลง พยายามฝืนให้ตัวเองหลับ รีบหลับสิ พอตื่นขึ้นมาแล้วนางต้องไปคุยกับมหาเทพชิงหยวนเสียหน่อยแล้ว นางมีเรื่องที่ต้องคุยมากมายเลยทีเดียว!
ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง แสงอาทิตย์นอกหน้าต่างสว่างจ้า คิดว่าน่าจะเป็นยามอู่[1]แล้ว เดิมเสวียนอี่ยังคิดอยากจะนอนต่อไปอีกสักครู่ แต่ว่านางหิวมาก หิวจนทนไม่ไหว จึงได้แต่ลุกขึ้นมาแต่งตัวและล้างหน้าล้างมือ
ในตำหนักเงียบสนิท ไม่มีเสียงพูดคุยและเสียงฝีเท้าอีกแล้ว เสวียนอี่แง้มประตูห้องนอนแล้วยื่นศีรษะออกไปมองอยู่ครู่หนึ่ง นางเห็นมหาเทพชิงหยวนกำลังนั่งก้มหน้าอ่านหนังสืออยู่บนเก้าอี้ไม้ด้านนอก นางถอนหายใจแล้วก้าวออกมาจากห้องนอนพร้อมคารวะอย่างสง่างาม แล้วกล่าวว่า “คารวะมหาเทพชิงหยวน ข้ามีเรื่องอยากจะขอร้อง นักรบที่มาสอนวิชาต่อสู้ช่วยเปลี่ยนเป็นคนอื่นให้ข้าได้หรือไม่”
มหาเทพชิงหยวนพลันมีสีหน้ากระอักกระอ่วนขึ้นมา เขาไม่ได้กล่าวอะไรแต่หันกลับไปมองทางชั้นหนังสือ เสวียนอี่มองตามสายตาเขาไปก็เห็นเทพชุดขาวยืนอยู่หน้าชั้นหนังสือ ในมือเขาเองก็กำลังถือหนังสืออยู่เล่มหนึ่งเหมือนกัน
ผมยาวของเขาไม่ได้ใช้แถบผ้าผูกเอาไว้อีกแล้ว แต่เปลี่ยนเป็นกวาน[2]หยก ดูเหมือนเขาจะสูงขึ้นอีกหน่อยแล้ว ร่างก็หนาขึ้นด้วย แต่ก่อนใบหน้าของเทพฝูชางที่จะเยือกเย็นบริสุทธิ์ราวกับเด็กหนุ่ม แต่วันนี้เขากลับกลายเป็นนักรบแดนเทพจริงๆ แล้ว แววตาของเขาเต็มไปด้วยความเย็นชาและยังนิ่งสุขุมกว่าแต่ก่อนมากหลายเท่า
แววตาราบเรียบและเย็นชาปรายตามองมาที่นางอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงกลับไปมองหนังสืออีกครั้งราวกับไม่ได้ยินที่นางกล่าว
เสวียนอี่สูดลมหายใจเข้า นางวู่วามไปแล้ว เขากลับยังอยู่ที่นี่
มหาเทพชิงหยวนยิ้มอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เสียงเขากระอักกระอ่วนอย่างที่สุด “องค์หญิง เทพฝูชางคือนักรบเก่งกาจชั้นยอดของตำหนักอวี้หวา และพอดีกันกับที่เขาบาดเจ็บเพราะฆ่าราชาฟู่เฉวี่ยนได้ เกรงว่าคงจะลงไปโลกเบื้องล่างไม่ได้อีกสักระยะ เปิ่นจั้วถึงได้จัดการให้เขาเป็นคนมาสอน ไม่ทราบว่าองค์หญิงไม่พอใจตรงไหน”
เสวียนอี่กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ในเมื่อเทพฝูชางได้รับบาดเจ็บ ก็ควรจะรักษาตัวอย่างสงบถึงจะถูก ทำไมจะต้องไปเรียกเขาด้วย ข้าว่า ข้าที่ไม่เป็นวิชาต่อสู้แม้แต่น้อย ท่านไปเชิญนักรบที่เก่งกาจมาจะเป็นการใช้คนไม่เหมาะกับงานเท่าไหร่นัก สู้ท่านไปเชิญผู้ที่รู้วิชาต่อสู้เพียงตื้นเขินมาดีกว่า อย่างนั้นเวลาเรียนข้าก็จะเรียนได้ง่ายขึ้น”
มหาเทพชิงหยวนกล่าวอย่างลำบากใจว่า “องค์หญิง เรียนวิชาต่อสู้ไม่เหมือนกับวิชาเวท แต่ละตระกูลต่างก็มีไม่เหมือนกัน หากว่าท่านเริ่มเรียนจากความรู้ตื้นเขิน ภายหลังจะขัดเกลาให้ดีก็ยากแล้ว”
เขาอยากจะให้ฝูชางอยู่ขนาดไหนกัน เสวียนอี่สีหน้าเคร่งขรึมลง นางคิดจะกล่าวอะไรท้องพลันร้องขึ้นมาเสียงดัง คราวนี้ถึงคราวนางบ้างแล้วที่วางตัวไม่ถูก
มหาเทพชิงหยวนลุกขึ้นยืนแล้วกล่าว “องค์หญิงเชิญทานอาหารก่อนเถอะ”
เขาเรียกเทพธิดารับใช้ให้ส่งอาหารมา และอาศัยช่วงนี้รีบเดินไป องค์หญิงตระกูลจู๋อินคนนี้ช่างรับมือยากอย่างที่เคยได้ยินมาจริงๆ นักรบแดนเทพดูเหมือนมีมาก แต่จริงๆ แล้วกลับไม่เพียงพอ ยังจะมีให้นางเลือกนู่นนี่ได้อีกเสียที่ไหน หากไม่ใช่เพราะเทพฝูชางได้รับบาดเจ็บจนต้องอยู่ที่แดนเทพ เขาเองยังเสียดายที่ต้องจัดให้เขาเป็นผู้มาสอนองค์หญิงที่แสนดื้อรั้นคนนี้เลย
เสวียนอี่ยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง หางตาก็ปรายตามองฝูชางที่ยังคงอ่านหนังสืออยู่ นางคิดจะหลบฉากไปแต่ก็รู้สึกขัดใจ จึงสั่งการเทพธิดารับใช้ “เอาอาหารวางที่นี่แหละ”
บนโต๊ะเล็กไม่มีอาหารที่นางชอบสักอย่าง นางฝืนกินเนื้อปลาไปไม่กี่คำและอดถามออกมาไม่ได้ว่า “มีขนมไหม”
แววตาของเทพธิดารับใช้เอาแต่จ้องไปยังร่างของเทพบุตรชุดขาวหน้าชั้นหนังสือ นางกล่าวอย่างใจลอย “มีขนมแป้งข้าวเหนียวถั่วเขียว และชาซานหู องค์หญิงอยากได้อะไรเจ้าคะ”
เป็นตำหนักที่แย่เสียจริง ความรู้สึกดีๆ ต่อตำหนักอวี้หวาของเสวียนอี่ลดลงจนถึงขีดสุด แล้วกล่าวอย่างฝืนใจว่า “ถ้าอย่างนั้นก็เอาขนมแป้งข้าวเหนียวถั่วเขียวมา ชาซานหูเองก็เอามาชุดหนึ่งด้วย”
จิตใจของเทพธิดารับใช้ลอยไปยังร่างของเทพบุตรชุดขาวแล้ว “องค์หญิงอยากได้ตอนนี้หรือไม่ เทพฝูชาง ไม่ทราบว่าท่านอยากกินขนมเหล่านั้นไหมเจ้าคะ มีขนมเกาลัดชุบน้ำผึ้งกับขนมโมราเคลือบแป้งน้ำตาล และชาคืนกำเนิด”
เสวียนอี่เงยหน้ามองนางแล้วถามอย่างนุ่มนวลว่า “ของด้านหลังพวกเจ้าเสกออกมาหรือ”
เทพธิดาสาวรู้สึกตัวว่าหลุดปากพูดออกมาก็อายจนหน้าแดง พร้อมรีบก้มหน้าแล้วกล่าวว่า “ข้าน้อยผิดไปแล้ว องค์หญิงอย่าลงโทษข้าเลย”
เสวียนอี่กล่าวเสียงเรียบ “ข้าต้องลงโทษเจ้าอยู่แล้ว ลงโทษเจ้าให้ไปเอาขนมและชาที่เมื่อครู่นี้เจ้าเสกออกมา ข้าเองก็อยากได้ชุดหนึ่งด้วย”
เทพธิดารับใช้หน้าแดงก่ำแล้วถอยออกไป ไม่นานก็เอาขนมมาส่งให้พร้อมชาคืนกำเนิดอีกกา ทั้งยังไม่ลืมกล่าวทักฝูชางเสียงหวาน “เทพฝูชาง ท่านมาทานขนมเหล่านี้เถิดเจ้าค่ะ”
ไม่รู้จริงๆ ว่าใครเป็นองค์หญิงใครเป็นเทพธิดารับใช้ เสวียนอี่ขมวดคิ้ว พลางเห็นเทพชุดขาวข้างชั้นหนังสือขยับตัวพร้อมเดินมาข้างโต๊ะ ลากเก้าอี้ออกและนั่งลงช้าๆ เขารินชาหนึ่งถ้วยแต่กลับไม่ดื่ม
ครั้นรู้สึกว่าสายตาของเขามองมาที่ร่างตน นางก็อดที่จะเบนหน้ามองไปยังสนามหญ้านอกหน้าต่างไม่ได้ นิ่งไปนานก็ได้ยินเขาเอ่ยปากว่า “อีกสักครู่ค่อยฝึกกระบี่ เจ้าต้องไปเปลี่ยนชุดและเปลี่ยนเป็นรองเท้าหุ้มข้อเสีย”
เสวียนอี่กล่าวช้าๆ “ข้ารีบร้อนมา ไม่ได้นำเสื้อผ้ากับรองเท้าอย่างอื่นมาด้วย”
ฝูชางกล่าวว่า “ในเมื่อเป็นอย่างนี้ วันนี้คงได้แต่ฝึกท่าหม่าปู้[3]แล้ว”
เสวียนอี่รู้สึกว่าขนมค้างอยู่ที่คอกลืนไม่ลง เขากลับให้นางฝึกท่าหม่าปู้ นางกรอกชาลงไปครึ่งถ้วย ดันให้ขนมที่ติดคออยู่ลงไป พลางนวดขมับแล้วทำท่าอ่อนแอ “เมื่อคืนนี้ข้านอนไม่ค่อยหลับ เกรงว่าจะไม่มีกำลังพอ เปลี่ยนวันดีหรือไม่”
ไม่มีทางมีวันอื่นแน่ นางจะรีบกลับเขาจงซานเดี๋ยวนี้
ฝูชางถอนหายใจแล้วพลันลุกขึ้นเดินเข้ามา เขาคว้าแขนนางเอาไว้ “หากว่าไม่ยอมฝึกกระทั่งท่าหม่าปู้ ก็มาทำท่ากระบี่แล้วกัน มานี่”
เสวียนอี่ขมวดคิ้วมองไปที่มือของเขา แต่กลับไม่ได้ดิ้นรน ปล่อยให้เขาลากนางไปยังสนามหญ้านอกตำหนัก นางตาลาย กระบี่ไม้เล่มหนึ่งถูกโยนมา นางไม่รับและปล่อยให้มันตกลงไปข้างเท้า
ฝูชางเห็นนางไม่มีท่าจะหยิบขึ้นมา จึงก้มตัวลงไปหยิบให้นางแล้วยัดใส่มือนาง
“ยกแขนขึ้นมา กางขาออก งอเข่าลง” เขาปลดกระบี่ฉุนจวินที่เอวลงมา ถอยไปสองก้าวแล้วทำท่าพื้นฐานที่สุด เขาหันกลับมามองนางและใช้แววตาบีบบังคับให้นางทำตาม
เหลวไหลเกินไปแล้ว ทำไมนางต้องมาเรียนกระบี่กับเขาด้วย เสวียนอี่นิ่งอยู่นาน คิดว่าเพราะสองหมื่นกว่าปีนี้เอาแต่อยู่ในวิมานม่วงมาตลอด นางอยู่แต่ในนั้นด้วยมองว่างเปล่าจนโง่งมไปแล้ว นางกลับไม่รู้ว่าตัวเองควรจะทิ้งกระบี่ไม้แล้วหมุนตัวจากไปหรือไม่ นางเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าหรืออะไร
ราวกับผีเข้า นางกลับทำท่าทางตามจริงๆ นางยื่นแขนข้างที่กุมกระบี่ออกไป ผ้าคลุมหนังจิ้งจอกสีแดงเพลิงที่คล้องแขนอยู่ก็ไหลตกลงมา
ฝูชางเข้ามาใกล้แล้วจัดท่าทางให้นาง พร้อมทั้งเอาผ้าคลุมผืนนั้นออกไปแขวนไว้บนต้นกุ้ยฮวาเบาๆ
“ออกกระบี่เล็งไปที่ผ้าคลุม ทำให้มันตกลงมา แล้ววันนี้ก็ถือว่าจบ” เห็นท่าทางนางเอียงอีกแล้ว เขาก็ใช้เข่ากระทุ้งไปที่ข้อเข่าของนางเบาๆ มือก็ประคองไปที่ข้อศอกแล้วยกขึ้น อีกข้างก็ตบที่เอวของนาง “ก้มลงไป ยกสูง เอวเหยียดตรง”
เสวียนอี่หยุดนิ่งอยู่นาน พลันกล่าวว่า “อย่าแตะข้า”
กล่าวจบ นางก็ออกแรงขว้างกระบี่ไม้ออกไป กระบี่ไม้ที่น่าสงสารเล่มนั่นวาดเป็นเส้นประหลาดในอากาศ มันพุ่งออกไปแล้วไปตกอยู่ใต้ต้นกุ้ยฮวา กระทั่งใบไม้ยังไม่มีตกลงมาสักใบ
ฝูชางหยิบกระบี่ไม้ขึ้นมาให้นางอีกครั้งแล้ววางลงในมือนาง “อีกรอบ ไม่ต้องเปลี่ยนท่า”
เห็นขานางตรงแล้ว เขาก็มิได้สนใจคำเตือนของนางเมื่อครู่อย่างไม่เกรงใจแม้แต่น้อย แล้วใช้เข่ากระแทกไปอีกครั้ง ร่างนางเอนลง เขาก็ประคองไหล่นางเอาไว้อย่างรู้จังหวะ พร้อมจัดท่าทางร่างนางให้ถูกแล้วรีบปล่อยมือทันที
เสวียนอี่หรี่ตาลงแล้วเม้มริมฝีปากน้อยๆ นางนิ่งเงียบแล้วโยนกระบี่ไม้ออกไปอีกครั้ง ครั้งนี้มันลอยออกไปนอกลาน
นางก้มหน้าลงด้วยท่าทีน่าสงสาร “ข้าทำไม่ได้” ดังนั้น ไม่ต้องสอนแล้ว
ฝูชางไม่กล่าวอะไร เขากวักมือไป กระบี่ไม้เล่มนั้นก็ลอยกลับมาในมือ เขายัดกระบี่เข้าไปในมือนางเป็นครั้งที่สามแล้วกล่าวเสียงเรียบว่า “ดังนั้นข้าถึงได้มีหน้าที่มาสอนเจ้าให้เป็นอย่างไรเล่า”
—
[1]ยามอู่ : ช่วงเวลาตั้งแต่ 11.00 น. ถึง 12.59 น.
[2]กวาน : เป็นเครื่องสวมประดับบนศีรษะเหมือนหมวกแต่ต่างกับหมวก กวานเปรียบได้กับรัดเกล้าที่จะสวมครอบรัดมวยผม แต่หมวกจะสวมครอบผมบนศีรษะทั้งหมด นอกจากนี้ยังถือเป็นสัญลักษณ์บอกสถานะด้วย
[3]หม่าปู้ : หรือท่านั่งม้า เป็นท่าที่เป็นหัวใจสำคัญในการฝึกวิชาต่อสู้