บุหลันเคียงรัก - บทที่ 104 ความย่ามใจของราชาหนู (ตอนต้น)
จื่อซีลุกลี้ลุกลนและทำตัวไม่ถูก นี่คือช่วงเวลาที่แย่ที่สุดนับตั้งแต่นางเกิดมาเลย เปลือกนอกที่แสนเยือกเย็นของนางหายไปหมด นางถอยหลังไปหลายก้าว รีบก้มหน้าลงพร้อมกล่าวเสียงสั่นว่า “ข้า…ขอโทษด้วย รบกวนแล้ว ข้าบังเอิญผ่านมา”
นางหมุนตัวแล้วเดินไปด้วยท่าทีรีบร้อนจนเกือบจะชนเข้ากับกำแพง ถ้ามีรูให้นาง นางคงมุดลงไปแล้วจริงๆ
เสียงของเซ่าอี๋ดังมาจากด้านหลังว่า “ศิษย์พี่หญิงมาหน่วยอู้เฉินแล้วหรือ”
จื่อซีพยักหน้าลวกๆ “เจ้า…เจ้าต่อเถิด ข้าไปแล้ว”
นางลืมทางที่นางมาไปนานแล้ว นางวนอยู่รอบกระโจมนักรบอยู่พักหนึ่ง ถึงได้หาประตูทางออกเจออย่างยากลำบาก นางรู้สึกที่หลังนางชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อเย็นจนชุดเปียกชุ่ม หัวใจในทรวงอกนางก็เต้นเร็วและแรงมาก
นางยืนอย่างวิญญาณหลุดออกจากร่างไปครู่หนึ่ง กำลังจะก้าวขึ้นไปบนเซี่ยจื้อ ด้านหลังพลันได้ยินเสียงฝีเท้าดังออกมาจากในกระโจม เสียงแฝงไปด้วยรอยยิ้มของเซ่าอี๋ดังขึ้นมา “ศิษย์พี่หญิง เฮ้อ ยังดีที่ตามมาทัน”
เขาตามออกมาแล้ว? จื่อซีหันไปมองเขา ผ่านมานานหลายปี ร่างของเขาดูสูงขึ้นอีกมาก ชุดคลุมยาวที่ดูสูงศักดิ์งดงามมันวาวบนร่างเขาไม่ได้ดูมีเสน่ห์แพรวพราวเหมือนกับแต่ก่อนอีก ใบหน้าที่หล่อเหลาเป็นผู้ใหญ่ราวกับสุราเข้มข้นและคมมีดที่แหลมคม
เซ่าอี๋หัวเราะแล้วเอนพิงร่างไปกับหินสลักหน้ากระโจม “ทำไมศิษย์พี่หญิงถึงได้มาที่หน่วยอู้เฉินได้ ที่นี่ไม่ใช่สถานที่สบายอะไร”
แต่นางรู้สึกว่าเขาใช้ชีวิตได้ผ่อนคลายดีนี่ ข้างกายมีเทพธิดาคอยหยอกล้ออยู่ตลอดเวลา
จื่อซีนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วกล่าวโกหกอย่างยากลำบาก “นักรบ…ตำแหน่งถูกย้าย ข้าถูกโยกมาที่นี่”
เซ่าอี๋ยิ้มน้อยๆ “ศิษย์พี่ศิษย์น้องทั้งหลายยังสบายดีหรือไม่”
จื่อซีพยักหน้าเงียบๆ
“ตอนนี้ปลาดุกอุยน้อยเป็นอย่างไรบ้าง” เซ่าอี๋ราวกับไม่เห็นท่าทีอึดอัดของนาง แต่ยังคงพูดคุยเรื่องทั่วไปเสียงเบา” อ้อ นางน่าจะยังมีอายุไม่ถึงสี่หมื่นปี ยังเป็นนักรบไม่ได้ ไม่รู้ว่าตั้งใจบำเพ็ญตบะและท่องตำราหรือไม่”
ปลาดุกอุยน้อย จื่อซีนิ่งไปนานถึงได้เข้าใจว่าเขาหมายถึงเสวียนอี่
“…ตอนนี้เสวียนอี่ถูกมหาเทพชิงหยวนรับมาที่ตำหนักอวี้หวา และเชิญนักรบมาช่วยสอนวิชาต่อสู้เพลงกระบี่และการบำเพ็ญตบะให้นาง”
เซ่าอี๋ถอนหายใจอย่างอดไม่ได้ “ชี้แนะวิชาต่อสู้ให้ปลาดุกอุยน้อย ฟังดูแล้วน่าสนใจกว่าเฝ้าอยู่ที่นี่มากนัก”
จื่อซีกล่าวออกมาด้วยความร้อนรนอย่างอดไม่อยู่ “เจ้า แต่ก่อนเจ้าไม่ใช่บอกว่าอยากจะเฝ้าทะเลหลีเฮิ่นหรือ ไม่ใช่ว่าอยากจะฟื้นฟูมันกลับมาดังเดิมหรือ”
เซ่าอี๋เอียงคอคิด “ข้าพูดเช่นนั้นหรือ”
เขาเห็นหน้าจื่อซีเขียวเข้าก็หัวเราะออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ แววตามองไปยังแสงสว่างจากค่ายกลใหญ่แล้วกล่าวเนิบนาบว่า “ล้อเล่นน่า ศิษย์พี่หญิง ข้าเคยพูดไว้จริงๆ ท่านกลับยังจำได้”
นางต้องจำได้อยู่แล้ว และเพราะจำได้ชัดเกินไป ถึงได้ยิ่งถลำลึกมากขึ้น และยังคงเชื่อว่าท่าทางเสเพลไม่จริงจังของเขาเป็นเพียงเปลือกนอกของเขาเท่านั้น แต่ภายในใจเขาจะต้องมีด้านที่จริงจังโอหังและถือดีอยู่แน่นอน
จื่อซีกำลังจะกล่าว พลันรู้สึกถึงลมรุนแรงพัดมาอย่างกะทันหัน หิมะที่โปรยปรายลงมายังดินแดนเหนือสุดถูกลมพัดลอยไปทั่ว ผมของนางถูกลมพัดจนยุ่งเหยิง นางรีบใช้มือจับเอาไว้
ลมประหลาดนี้รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ นางจึงหันกลับไปมองยังขอบฟ้าอย่างอดไม่อยู่ แล้วนางก็เห็นที่ขอบฟ้ามีหมอกสีม่วงประหลาดค่อยๆ ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า รวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อนทำให้เมฆสลายไป
เป็นหมอกปีศาจ!
เสียงระฆังประกาศิตดังสะท้อนไปมาบนท้องฟ้า เซ่าอี๋สะบัดแขนเสื้อราวกับปีกนก เขาขี่ลมเหาะขึ้นไป จื่อซีรีบขี่เซี่ยจื้อไล่ตามไปแล้วกล่าวอย่างตกใจว่า “ที่นี่มักจะมีเผ่าปีศาจมาลอบโจมตีบ่อยหรือ”
นางเพิ่งมาถึง คงไม่บังเอิญขนาดนี้หรอกกระมัง
เซ่าอี๋กล่าว “มีทุกวัน แต่ว่าวันนี้ดูเหมือนจะไม่ธรรมดา”
นับตั้งแต่รู้ว่าทะเลหลีเฮิ่นอยู่ที่ดินแดนเหนือสุด เผ่าปีศาจของโลกเบื้องล่างต่างก็อยากได้จนน้ำลายไหล พวกมันพุ่งเข้ามาทำลายค่ายกลใหญ่โดยไม่สนใจความเป็นความตายเพื่อให้ได้มาซึ่งพลังที่แข็งแกร่งขึ้นอยู่บ่อยครั้ง ดังนั้นหน่วยอู้เฉินจึงมีนักรบถูกส่งลงมาประจำอยู่ถึงสามพันคน ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในหกสิบหน่วยที่มีจำนวนนักรบมากที่สุด
เหล่านักรบคุ้นชินจนมองเรื่องนี้เป็นเรื่องธรรมดา แต่ละคนมีปฏิกิริยารวดเร็วมาก และสร้างม่านพลังป้องกันที่แข็งแกร่งขึ้น ห่างจากค่ายกลใหญ่ไปหนึ่งร้อยลี้ในพริบตา หมอกปีศาจม้วนตัวกระแทกไปบนนั้นจนเกิดวงสะท้อนมากมาย เหล่านักรบเป่าลมพายุออกไปทำให้หมอกปีศาจสลายไป เผยให้เห็นฟันขนาดใหญ่สี่ซี่ทับซ้อนกันสูงถึงพันจั้งจนสูงทะลุเมฆที่ซ่อนตัวอยู่ใต้หมอก
จื่อซีสูดลมหายใจเข้า “เป็นปีศาจที่ร่างใหญ่มาก!”
หลายปีนี้นางอยู่ที่หน่วยซินโหย่ว เผ่ามารที่ฆ่าส่วนมากมีแต่เผ่ามารที่กระจัดกระจาย ร่างปีศาจที่เห็นยังมีขนาดใหญ่เท่ากับร่างปีศาจปลาดุกของเทพีอูเจียงในตอนนั้นไม่ได้เลย วันนี้ได้มาเห็นร่างปีศาจใหญ่โตอย่างนี้ตก จึงตกใจจนหน้าเปลี่ยนสี
เห็นได้ชัดว่า คนที่ตกใจไม่ได้มีเพียงนางเท่านั้น เหล่านักรบหน่วยอู้เฉินเองที่มีประสบการณ์มากสีหน้าก็เปลี่ยนไปตามๆ กัน มหาเทพโกวเฉินที่รีบร้อนออกมาจากกระโจมนักรบเห็นสถานการณ์อย่างนี้เข้าก็มีสีหน้าเคร่งเครียดแล้วกล่าวเสียงเกรี้ยวว่า “ราชาหนูเฒ่า! เจ้าเองก็ต้องการมาก่อกวนด้วยหรือ?!”
เขาบันดาลโทสะออกมา พูดแล้วก็ลงมือทันที เขายกมือทั้งสองขึ้น แสงสีทองกว่าหมื่นสายปะทะเข้ากับฟันทั้งสี่ซี่ เหล่านักรบเองก็รีบสะกดกลั้นความกลัว แล้วใช้เวทออกมาทันที สายฟ้าและสายลมม้วนตัวพัดจนดินทรายกระจายคลุ้งไปทั่ว แทบจะทำให้ผืนดินแถบนี้ทลายลงไป
หลังจากการโจมตีที่รุนแรงจนน่าตกใจ ทำให้ฟันทั้งสี่ซี่กลายเป็นฝุ่นผง เหล่าเทพยังไม่ทันได้ดีใจ พวกเขากลับต้องไปรวมกันอยู่ที่เดียว
มหาเทพโกวเฉินกัดฟันกรอด “เจ้ากลับกล้ามาล้อเล่นกับแดนเทพ!”
เดิมราชาเผ่าปีศาจโบราณที่โลกเบื้องล่างก็มีอยู่มากมาย แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกตนจะมาก่อกวนที่ทะเลหลีเฮิ่นหมด ราชาหนูกับแดนเทพมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน และยังเคยกล่าวอย่างชัดเจนว่าจะไม่มีทางตกต่ำไปเป็นเผ่ามารแน่ แต่สถานการณ์ตรงหน้านี้คืออะไร ความสามารถสมานแผลนั่น มีขึ้นได้ก็เพราะได้ดูดกลืนเอาเศษทะเลหลีเฮิ่นเข้าไป เหล่าเผ่าปีศาจพวกนี้นึกไม่ถึงว่าต่อหน้าอย่างลับหลังอย่าง ช่างน่ารังเกียจนัก!
เสียงทุ้มต่ำแหบแห้งของราชาหนูดังมาจากหมอกปีศาจ “ถึงข้าจะมีใจอยากหลีกเลี่ยง แต่ข้ากลับไม่มีทางเลือก ภัยพิบัตินี้เกิดขึ้นจากสาเหตุอันชั่วร้ายของแดนเทพอย่างพวกเจ้าเอง ข้าถูกบีบอยู่ตรงกลางระหว่างเผ่าปีศาจด้วยกันและแดนเทพ ช่างยากจะรับได้ จึงคิดจะมาเพิ่มผลอันเลวร้ายให้พวกเจ้าอีกส่วน หากพวกเจ้าแบ่งทะเลหลีเฮิ่นให้ข้าครึ่งหนึ่ง ข้าจะไม่ให้วิญญาณเทพของพวกเจ้าต้องดับสูญ”
กล่าวจบ ฟันทั้งสี่ก็งอกขึ้นจากพื้นดิน ปากสีดำขนาดใหญ่พ่นหมอกสีดำออกมาไม่ขาดสายราวกับน้ำตก พอกระทบพื้นก็กลายเป็นหนูสีขาวตัวเล็กประมาณฝ่ามือกรูเข้ามายังม่านพลังอย่างมืดฟ้ามัวดิน
มหาเทพโกวเฉินสีหน้าดำคล้ำและท่องคาถาออกมา แสงสีทองหนาแน่นวาดไปยังท้องฟ้าที่มืดครึ้มของดินแดนเหนือสุด พวกมันกลายเป็นเข็มสีทองเล่มเล็กจำนวนนับไม่ถ้วน และทิ่มแทงลงไปยังเหล่าหนูสีขาวบนพื้นพวกนั้น ได้ยินเสียงร้องดังอึกทึก หนูสีขาวที่ถูกเข็มสีทองทิ่มแทงต่างกลายเป็นกลุ่มหมอกสีดำกลิ้งไปบนพื้น แต่ก็รวมกลับมาเป็นร่างใหม่และพุ่งชนม่านพลังอีกครั้ง จนตอนนี้ม่านพลังกำลังจะทะลุแล้ว
มหาเทพโกวเฉินโมโห กล่าวอย่างไม่ทันคิดออกมาว่า “นี่มันเพราะตระกูลจู๋อินและตระกูลชิงหยางก่อขึ้นทั้งนั้น! จนถึงตอนนี้ตระกูลจู๋อินยังไม่เคยมาเลยสักครั้ง ส่วนตระกูลชิงหยางก็ส่งมาแค่เทพอายุน้อยหนึ่งคน! แล้วโยนเรื่องวุ่นวายเหล่านี้มาให้พวกเรา!”
…ที่แท้เขาก็นิสัยไม่ดีจริงๆ
จื่อซีรู้สึกขัน และทำลายเหล่าหนูสีขาวนอกม่านพลังเหล่านั้นไปด้วย นางได้ยินเสียงของเซ่าอี๋เรียกจากด้านหลังว่า “ศิษย์พี่หญิง ถอยออกมา”
คลื่นลมร้อนและเปลวเพลิงพัดเข้ามา ด้านล่างม่านพลังพลันเกิดเปลวเพลิงสีน้ำเงินสูงหลายจั้งขึ้นเงียบๆ หนูสีขาวพุ่งเข้ามาและปะทะกับเพลิง พวกมันต่างก็ถูกเพลิงแผดเผาจนร้องระงม ก่อนจะกลายเป็นหมอกสีเขียวสลายไปในอากาศทั้งยังไม่สามารถกลับมารวมตัวใหม่ได้อีก
เซ่าอี๋สะบัดแขนเสื้อ เพลิงสีน้ำเงินก็สูงขึ้นอีกหลายจั้ง พริบตาเดียวก็ห่อหุ้มม่านพลังเอาไว้ชั้นหนึ่ง เปลวไฟพลิ้วไหวท่ามกลางสายลมอันเยือกเย็น
นี่คือ…เพลิงหงส์อมตะที่ใช้รับมือกับปีศาจไหวในตอนนั้น? จื่อซีรู้สึกทั้งประหลาดใจระคนนับถือ ตอนนั้นเขาเรียกมาได้แค่เล็กน้อยเท่านั้นเอง! นางหันกลับไปมองเซ่าอี๋อย่างอดใจไม่อยู่ ใบหน้าของเขายังคงมีท่าทีสบายๆ ราวกับไม่ได้เสียแรงอะไรแม้แต่น้อย
“นอกจากตระกูลชิงหยางผู้นี้ คนอื่นขึ้นไปสู้เสีย! จัดการให้หนักๆ!”
มหาเทพโกวเฉินระเบิดโทสะออกมาแล้วตะคอกเสียงดัง เขาอดรนทนไม่ไหวพุ่งขึ้นไปเป็นคนแรก เหล่านักรบและเผ่ามารที่ราชาหนูพามาสู้กันพัลวัน ท้องฟ้ากว่าครึ่งต่างก็เต็มไปด้วยแสงรัศมีเทพสว่างไสว
เซ่าอี๋จัดการสร้างเพลิงหงส์อมตะชั้นที่สามขึ้น พลันได้ยินเสียงหัวเราะราวกับกระดิ่งเงินดังมาไม่ไกล จากนั้นเสียงหญิงสาวที่งดงามอ่อนหวานก็ดังขึ้น “เซ่าอี๋ เจ้าคนไร้น้ำใจ พูดแล้วว่าจะลงมาหาข้าที่โลกเบื้องล่างบ่อยๆ ผ่านไปตั้งนานกว่าจะมาหาข้า”
และแล้ว หนูขาวมากมายบนพื้นพลันรวมกันเป็นเงาร่างหนึ่งขึ้น นางสวมชุดสวยวิจิตร ดูแล้วงดงามมาก
เซ่าอี๋หรี่ตาลง พลันรู้สึกมีแสงพุ่งวาบผ่านหน้าไป เงาที่งดงามนั่นถือมีดสีดำสนิทไว้ในมือพร้อมกับแทงเข้ามาที่เขา
เขาเบี่ยงศีรษะหลบ หางตาเหลือบไปเห็นกระบี่อ่อนราวกับมังกรสีเงิน ปกคลุมไปด้วยกลิ่นอายสายฟ้าและพายุม้วนเข้ามา ห่างไปไม่ไกล จื่อซีสะบัดแขนเสื้อและใช้กระบี่อ่อนรัดปีศาจสาวตนนี้ไว้อย่างแน่นหนา