บุหลันเคียงรัก - บทที่ 107 ห่างกันไม่ไกล
ฝูชางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ไม่ว่าเมื่อไหร่ นางก็มักจะมีวิธีการมากมายมาทำให้เขาคิดอยากจะทุบนางสักทีเสมอ
สองหมื่นสามพันปีแล้ว แต่จุดนี้ก็ยังไม่ได้เปลี่ยนไป
แววตาดำสนิทลึกล้ำสบกับดวงตาระแวดระวังลังเลของนาง แววตานางเลี่ยงหลบไปแทบจะทันที ซ่อนความลำบากใจและจิตใจอันสับสนวุ่นวายของนางไว้อย่างระวัง องค์หญิงมังกรของเขาก็ไม่ได้เปลี่ยนไปมากเท่าไหร่
เขาเอาหัวสุนัขหิมะวางลงบนมือพลางกล่าวเสียงเรียบว่า “ลุกขึ้น มาฝึกกระบี่ดีๆ”
เสวียนอี่รีบพลิกตัวหันหลังให้เขาทันที “ข้าทำไม่ได้”
ตลอดทั้งเช้า นางเอาแต่เฉไฉอยู่อย่างนี้ ทำตัวเป็นขนมหนิวผีถัง[1]เหนียวติดอยู่บนพื้นหญ้า ผมยาวสยายมีใบไม้ติดอยู่หลายใบ กระโปรงสีขาวเองก็มีหญ้าสีเขียวมรกตติดเป็นหย่อมๆ ทั้งหมดก็เพื่อไม่ต้องไปฝึกกระบี่
ฝูชางหยิบเอาใบไม้ที่ติดอยู่บนผมของนางออก นางก็รีบเอาผมทั้งหมดยัดลงไปในชุดทันที ขาดก็แต่ยังไม่ได้กล่าวออกไปว่า “อย่ามาแตะข้า” เท่านั้น
เขาเป่าลมหายใจเบาๆ ลมบริสุทธิ์ที่นุ่มนวลพัดไปจนทำให้เศษใบไม้และหญ้าที่ติดอยู่บนผมและชุดของนางลอยออกไปหมด นางจึงใช้แขนเสื้อปิดหัวและใบหน้าจนมิด ทำท่าทางเหมือนกำลังจะนอนอย่างนั้น
เสวียนอี่นอนอยู่นาน รู้สึกว่าด้านหลังไร้สุ้มเสียงใดๆแล้ว จึงแอบหันหัวมองลอดผ่านรอยแยกของแขนเสื้อไป แต่ฝูชางกลับยังคงนั่งอยู่ด้านหลัง เล่นหัวสุนัขหิมะบนฝ่ามืออยู่ ราวกับรู้สึกตัวว่านางกำลังแอบมองอยู่ เขาจึงกล่าวออกมาเสียงเบาว่า “ไม่คิดจะลุกขึ้นมาเลย?”
นางพูดออกมาเพียงสี่คำ “ข้าทำไม่ได้”
เขายอมคล้อยตามนาง “ได้”
พระอาทิตย์ขึ้นสูงมากแล้ว เทพีรับใช้นำอาหารมาส่งให้ตรงตามเวลา เพราะรู้ดีว่าองค์หญิงตระกูลจู๋อินคนนี้มีนิสัยเลือกกินอย่างประหลาด นางไม่ชอบทานอาหารจานหลัก กลับชอบขนมและน้ำชา วันนี้จึงได้ตระเตรียมขนมดอกท้อชุบแป้งเคลือบน้ำตาลหนึ่งกล่องและชาสุริยันจรัสแสงหนึ่งกาเพื่อนางเป็นพิเศษ
ครั้นได้กลิ่นหอม เสวียนอี่ผุดลุกขึ้นนั่งทันที แต่บ่ากลับถูกกดไว้เบาๆ ร่างนางพลันลงไปนั่งบนพื้นหญ้าใหม่อีกครั้ง นางเบิกตากว้างแล้วถลึงตาใส่ฝูชาง เขามีท่าทีเรียบเฉย “นอนต่อ”
เสวียนอี่ขมวดคิ้ว “ข้าหิวแล้ว จะกิน”
มือของเขากดลงไปบนบ่านาง “ไม่ได้หรอก”
นางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ นางรู้สึกราวกับร่างนางถูกแขวนอยู่บนเส้นผมเส้นหนึ่ง บนยังมีหินใหญ่หนักกว่าพันชั่งแขวนอยู่อีก ส่วนด้านล่างของนางคือทะเลสุราพิษ และตอนนี้ร่างของนางกำลังโงนเงนพร้อมจะตกลงไปได้ทุกเมื่อ
เทพีรับใช้รอในห้องอยู่นานแต่กลับไม่เห็นพวกเขาเข้ามา จึงกล่าวถามไปอย่างระวังว่า “องค์หญิง เทพฝูชาง ถึงเวลาอาหารแล้วเจ้าค่ะ”
ฝูชางพยักหน้า “รบกวนยกส่วนของข้าเข้ามาได้เลย”
เทพีรับใช้ใจเต้นรัว แต่สุดท้ายก็ไม่กล้าลืมส่วนขององค์หญิงอีก “แต่ว่าองค์หญิง…”
“ของนางไม่ต้อง”
เสวียนอี่จ้องไปที่ฝูชางเขม็ง เทพีรับใช้เอาโต๊ะเล็กมาวางบนพื้นหญ้าตรงหน้าเขา เขาใช้มือข้างหนึ่งกดนางไว้ อีกมือจับตะเกียบแล้วเริ่มทานข้าว เขากินไม่ช้าไม่เร็ว กำลังพอเหมาะพอดี
ผมเส้นนั้นเห็นอยู่ว่ากำลังจะขาดแล้ว นางยื่นมือออกไปผลักโต๊ะเล็กของเขา แต่ก็ต้องจนใจ ตอนนี้เขาคือนักรบที่ผ่านประสบการณ์มามาก ยามนี้การกระทำใดๆก็ไม่อาจรอดพ้นสายตาเขาไปได้ เขากดโต๊ะเล็กนั่นไว้ทันที ดวงตาสีดำสนิทคู่นั่นปรายตามองมาที่นาง “วันนี้ภารกิจของเจ้าก็คือการนอนอยู่ที่นี่หนึ่งวัน”
ไม่รู้เสวียนอี่โมโหหรืออัดอั้น นางจ้องมาที่เขาด้วยน้ำตาคลอเบ้า แล้วกล่าวเสียงอ่อนหวานว่า “ข้าหิวแล้วจริงๆ”
คิดว่าประสบการณ์ต่อสู้คงจะฝึกให้หัวใจของเขาแข็งแกร่งขึ้น เขาจึงไม่รู้สึกหวั่นไหวแม้แต่น้อย “เจ้าไม่หิวหรอก”
เสวียนอี่กุมหัวเอาไว้อย่างทรมาน เจ้านี่จะต้องทำให้นางเป็นบ้าแน่ๆ นางพลันปล่อยแขนเสื้อแล้วกล่าวออกมาด้วยเสียงเด็ดขาดว่า “ข้าฝึก”
มือของฝูชางผละออกไปจากบ่าของนางอย่างว่องไว เทพีรับใช้ยกอาหารเข้ามาอย่างรู้ความ เสวียนอี่กินขนมไปจิบชาไป นางรู้สึกว่าในท้องเต็มไปด้วยน้ำตาที่ขมปร่ายิ่งกว่าหิมะจู๋อินตอนนั้นเป็นพันเท่า
กล่องอาหารกล่องหนึ่งถูกดันเข้ามา ภายในมีขนมดอกท้อชุบแป้งเคลือบน้ำตาลอยู่สามชิ้น เสวียนอี่หยิบมันมาใส่ในกล่องของตนทั้งหมดอย่างไม่เกรงใจ ถือว่ายังพอมีน้ำใจอยู่บ้าง!
“ครั้งหน้าฝึกกระบี่จะต้องเปลี่ยนชุด และใส่รองเท้าหุ้มข้อให้เรียบร้อย” ฝูชางกล่าวเตือนนางอีกครั้ง
เสวียนอี่กล่าวเสียงเย็นชา “ไม่มีรองเท้าหุ้มข้อ ไม่มีชุด”
เขากลับไม่รู้สึกรู้สา “ข้าจะให้มหาเทพชิงหยวนตัดชุดนักรบให้เจ้าชุดหนึ่ง”
ตามสบายเลย เขาจะทำอะไรก็เชิญตามสบาย รอให้เขาหายดีแล้ว วันเวลาที่ทรมานของนางก็จะสิ้นสุด
กินขนมและชาเสร็จนางก็พักครู่หนึ่ง เสวียนอี่ลองยืนขึ้นจากพื้นหญ้าดู แต่น่าจะเพราะนางสวมรองเท้าพื้นไม้ นางรู้สึกฝ่าเท้าราวกับจะขาดอย่างนั้น เจ็บจนต้องขมวดคิ้วไว้
ร่างถูกกดลงอีกครั้ง ฝูชางค้อมตัวลงไปแล้วถอดรองเท้าพื้นไม้ของนางออก “ไม่ต้องใส่รองเท้าพื้นไม้อีก วันนี้ไม่ฝึกแล้ว”
เสวียนอี่พลันระแวงขึ้นมาทันที “…คืนนี้ข้าก็ยังหิวอีกอยู่ดี”
เขากล่าวเสียงเรียบ “เท้าเจ็บอย่างนี้ ฝึกไปก็ไม่ได้ดี”
แล้วเมื่อครู่นี้เขาทำไปทำไม จงใจทำให้นางขุ่นเคือง ยั่วให้นางทะเลาะกับเขาหรือ?! เจ้านี่ ทำไมตอนนี้ถึงได้อำมหิตอย่างนี้ จะอำมหิตเกินไปแล้ว! แม้ว่านางจะมีแผนการร้ายมากมายที่จะใช้จัดการเขา แต่ว่านางจะไม่ใช้อีก อย่าย้อนกลับไปอีกเลย ไม่ว่าจะเป็นการพัวพันกันหรือทะเลาะกันก็ตาม
เสวียนอี่พลิกตัวหันหลังให้เขา นางเกี่ยวลายปักมังกรหลับตาบนแขนเสื้อจนเส้นด้ายหลุดลุ่ยยุ่งเหยิง เส้นผมที่อยู่ในชุดของนางถูกมือคู่หนึ่งดึงออกมาอย่างนุ่มนวล ก่อนจะวางไว้บนฝ่ามือและสางเบาๆ นางคิดจะลองดึงกลับมาแต่เขากลับไม่ยอมปล่อยมือ นางจึงได้แต่ต้องยอมแพ้
ตำแหน่งของทั้งสองคนราวกับสลับกัน
เสวียนอี่นิ่งไปนาน แล้วจึงปั้นหิมะช้าๆ ปั้นเป็นรูปหัวหมู พลางใช้เล็บมือทำรูจมูกสองรูแล้วหันไปถามเขาว่า “ราชาจั้งไฮ่หน้าตาอย่างนี้หรือไม่”
จินตนาการที่น่ารักไร้เดียงสา ทำให้เหล่าราชาเผ่าปีศาจโบราณที่ดุร้ายอำมหิตของโลกเบื้องล่างดูไร้ซึ่งความน่ากลัวไป ฝูชางยิ้ม จะอย่างไรราชาจั้งไฮ่ก็ถูกฆ่าไปแล้ว เขาจึงพยักหน้าเป็นนัยยอมรับ
เสวียนอี่ลังเลแล้วกล่าวเสียงเบา “ท่าน…ถูกหมูตัวนี้ทำให้บาดเจ็บหรือ”
เขาพลันไม่รู้ว่าควรจะโมโหหรือว่าหัวเราะดี นิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วกล่าวช้าๆว่า “ทำไมถึงได้เอาแต่ถามเรื่องบาดเจ็บตลอด”
เสวียนอี่ก้มหน้าแล้วใช้ปลายนิ้วสั่นหัวหมูไปมา “แค่ถามไปอย่างนั้น”
ฝูชางมองนางอยู่ครู่หนึ่ง ค่อยๆม้วนแขนเสื้อขึ้นจนเผยให้เห็นท่อนแขนกำยำ ตั้งแต่ช่วงข้อศอกจนถึงหลังมือ มีรอยแผลลึกยาวลงมาหนึ่งรอย ไอขุ่นมัวดำสนิทลอยวนเวียนอยู่บนนั้น
“ถูกราชาฟู่เฉวี่ยนตะปบจนได้แผลมา ไม่ถึงตาย” เขาตอบคำถามที่นางไม่ได้ถามออกมา
เสวียนอี่อยากจะยื่นมือไปลูบดูอย่างไม่รู้ตัว แต่กลับถูกเขาขวางไว้ “อย่าแตะมัน”
เสวียนอี่หดมือเข้าไป นางจ้องไปที่รอยแผลอยู่นานแล้วถามเสียงเบา “เจ็บหรือไม่”
“ไม่เจ็บ”
เมื่อปล่อยแขนเสื้อลงมา ฝูชางก้มหน้ามองตานางอย่างสงสัย นางจึงหดไปด้านหลังและหลบเลี่ยงอย่างไม่รู้ตัว เขายื่นมือออกไปหานาง นางกลับกลิ้งม้วนตัวไปข้างหลัง เขาก้าวประชิดเข้ามาใกล้อีกก้าว นางกลิ้งต่อ เขาก้าวมาอีก นางก็กลิ้งต่อไป สุดท้ายหัวของนางไปกระแทกเข้ากับกระบี่ไม้ที่เปลี่ยนกลับมาเป็นขาเก้าอี้เข้า นางร้อง “โอ๊ย” ออกมา แล้วตรงที่ถูกกระแทกพลันมีมือข้างหนึ่งมากุมเอาไว้ ร่างของนางเองก็ถูกแขนข้างหนึ่งดึงขึ้นมาอย่างไม่ยอมให้นางดิ้นได้แล้วดึงเข้าไปในอ้อมอก
นางใช้มือทั้งสองและศีรษะออกแรงดันเขาไว้เพื่อไม่ให้เขาเข้ามาใกล้
ฝูชางก้มหน้าลงไปมองลำคอด้านหลังที่โผล่ออกมาจากผมยาวของนาง ตรงนั้นแดงก่ำเป็นปื้น แต่ทว่านางกลับยังคงเอาแต่แสดงท่าทีต่อต้าน ยังคงเหมือนเดิม
“ข้า…กลับมาแดนเทพแล้ว ไปหาเจ้าที่เขาจงซาน” น้ำเสียงของฝูชางเบามาก “ฉีหนานบอกข้าว่า เจ้าไม่พบใครทั้งนั้น”
เขามองเห็นความเสียดาย ความเสียใจ และความคับแค้นใจอย่างสุดซึ้งในแววตาของอำมาตย์ผู้นี้ได้ เขารออยู่นอกเขาจงซานนานถึงห้าสิบปี สุดท้ายเวลาของการหลับใหลพันปีกลับมาถึง เขาไม่สามารถฝืนได้อีก จึงได้แต่หลับใหลไป เขากลัวว่าผ่านไปนานหลายปี องค์หญิงมังกรที่ดูเข้มแข็งทว่าอ่อนแอผู้นี้จะจิตตกหดหู่ จึงส่งจดหมายเปล่าที่ไม่ได้ใส่ซองให้นางฉบับหนึ่ง
นางจะต้องเข้าใจแน่
แต่ว่าเขาคิดไม่ถึงว่า การจากกันครั้งนั้นกลับนานถึงสองหมื่นสามพันปี เขาวนเวียนอยู่นอกม่านพลังของเขาจงซานอยู่หลายครั้ง คิดว่านางกำลังคิดอะไร กำลังทำอะไรอยู่ในนั้น และลืมเขาไปหมดแล้วหรือไม่
ตัวเขาไม่ใช่เทพที่ยังไม่โต เอาแต่ทำร้ายตัวเองและคนอื่นเช่นในตอนนั้นอีกแล้ว ในชั่วนาทีที่ได้พบนาง เขาก็เข้าใจแล้วว่า หลายปีที่ผ่านมา เขาที่ถูกม่านพลังพร่ามัวขวางกั้น มิได้โดดเดี่ยวเดียวดายอยู่เพียงลำพัง
“วิญญาณเทพกลับมายังน้ำพุเหลืองยมโลกต้องใช้เวลาหนึ่งวันของแดนเทพ กลับไปถึงแดนเทพต้องใช้เวลาสองวัน ตอนข้าลงไปโลกเบื้องล่าง เจ้าก็ไม่อยู่แล้ว” ฝูชางจัดการรวบผมเผ้าที่ยุ่งเหยิงของนางไปด้านหลัง “ราชสีห์เก้าเศียรตัวนั้นเจ้าปั้นสวยมาก เสี่ยวจิ่วชอบมาก”
เขาไม่มีทางลืมอารมณ์ความรู้สึกของเขาในยามที่ได้เห็นของเล่นปั้นจากหิมะซึ่งกองอยู่บนป้ายหินได้แน่นอน ความอ่อนแอและไม่รู้จักโตของเขาทำให้เขาพลาดอะไรไปมากมาย เดิมเขาสามารถอยู่เป็นเพื่อนนางได้นานมากแท้ๆ และไม่ต้องให้นางต้องมีเพียงความเงียบเหงาคอยเป็นเพื่อนอยู่ทุกคืนวัน
อย่าจากข้าไป เขาเข้าใจเสียงในใจนาง เขาเองก็พูดกับนางด้วยคำเดียวกันนี้ พวกเขาควรจะอยู่ด้วยกันและไม่แยกจากกันจริงๆ
เสวียนอี่หลับตาลง ไม่ได้กล่าวอะไรออกมาตั้งแต่ต้นจนจบ ราวกับว่าต้องการรักษาความเงียบเหงาที่กว่าจะคุ้นชินได้นั้นไว้
หิมะหน้าสุสานราชวงศ์วันนั้นราวกับมาอยู่ตรงหน้าอีกครั้ง ชายหนุ่มที่นางรักนอนอยู่ในหลุมศพที่เยือกเย็น นางปั้นของเล่นจากหิมะให้เขาอย่างประณีตในเมืองที่ปกคลุมไปด้วยหิมะกว่าครึ่งนั่น คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะยังฟื้นขึ้นมาได้อีก หรือบางที นางเองก็ไม่ได้หวังว่าเขาจะฟื้นขึ้นมาได้อีกครั้ง
คางของนางถูกเขาจับเชยขึ้นมา มองกันอยู่นาน นางหลับตาลงราวกับจะหลีกหนีทุกสิ่ง
หัวแม่มือลูบไปบนริมฝีปากอวบอิ่มชุ่มชื่นของนาง ฝูชางก้มหน้าลง ริมฝีปากทั้งสองกำลังจะประทับลงไป นิ้วที่เยือกเย็นของนางพลันมาขวางเอาไว้
ปล่อยข้า นางลืมตาขึ้น ในแววตามีคำนี้เขียนเอาไว้
เขาจับมือนางออก แล้วจูบลงไปที่ริมฝีปากของนางอย่างแรง พร้อมกับกัดอย่างหนักไปหนึ่งครั้ง
“ข้าจำได้ทุกอย่าง” เขาแนบไปกับริมฝีปากอิ่มชุ่มชื่นนั่น “ส่วนเจ้า…หลบตามสบาย”
—
[1]ขนมหนิวผีถัง : ขนมน้ำตาลแผ่นบางโรยด้วยงาขาวหรืองาดำ มีลักษณะเหนียวหนึบ