บุหลันเคียงรัก - บทที่ 115 เทพสงครามรบห่วย
เสวียนอี่มองอยู่ที่เดิมอยู่นาน สถานการณ์ชักจะไม่ดีเสียแล้วสิ คนกว่าสามร้อยคนกลับสู้คนเพียงสี่คนไม่ได้ นี่จะขายหน้าเกินไปหน่อยแล้ว
นางโยนหิมะในมือทิ้งไปแล้วเป่าลมออกมาอย่างแรง พริบตาเดียวป่าทั้งป่าพลันมืดลงทันที เกล็ดหิมะมากมายโปรยปรายลงมาจากฟ้า นักรบเผ่ามารที่เดิมยังสู้อย่างคึกคะนองก็มีท่าทีช้าลงไปมาก ทั้งยังถูกแช่แข็งด้วยท่าทางน่าขันอยู่กลางอากาศ ขยับไม่ได้กระทั่งนิ้วมือ
มีตระกูลจู๋อินอยู่! นักรบทั้งหมดจิตใจฮึกเหิมขึ้นมาในพริบตา วิชาที่เมื่อครู่นี้ลืมไปหมดแล้วพลันนึกขึ้นมาได้อีกครั้ง แต่ละคนต่างลงมืออย่างหนักหน่วงและแม่นยำ อาวุธเทพแทงใส่นักรบเผ่ามารทั้งสี่จนพรุนเหมือนเม่น ถึงแม้ว่าเวลาเพียงเล็กน้อยจะฆ่าพวกเขาไม่ได้ทั้งหมด แต่ว่าการจะทำให้พวกเขามีสภาพจนตรอกเยี่ยงสุนัขได้ก็ไม่ใช่ปัญหาอะไร
เสวียนอี่ดีดปลายนิ้ว มังกรน้ำแข็งขนาดใหญ่ตัวหนึ่งก็ร้องเสียงดังแล้วม้วนเอาร่างของนักรบเผ่ามารทั้งสี่เข้าไปรัดแน่นขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งได้ยินเสียงกระดูกแตกหักเป็นระลอกร แต่เพราะพวกเขามีความสามารถฟื้นสภาพได้ กระดูกที่หักไปจึงฟื้นกลับมาใหม่ได้อย่างรวดเร็ว แต่เมื่อหายดีแล้วก็ถูกหักใหม่อีกครั้ง ความเจ็บปวดนั้นแค่คิดก็จินตนาการได้แล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็ขยับร่างไม่ได้ ร้องเสียจนเสียงแหบเสียงแห้ง
เทพดาราไคหยางตวัดแส้รัดร่างของนักรบหนึ่งในนั้น ดูแล้วเหมือนเขาจะทนบาดเจ็บอย่างนี้ไม่ไหวอีกแล้ว ร่างพลันสั่นเทาแล้วสลายกลายเป็นหมอกสีเทา ถูกลมพัดหายไป
ดับสูญไปหนึ่งแล้ว! เหล่าเทพยิ่งดีใจและมีความหวัง วิชาเวทและอาวุธดังขึ้นอึกทึก ที่เหลืออีกสามตนในที่สุดก็ทนไม่ไหวดับสูญไป สลายกลายเป็นหมอกสีเทาอย่างไม่เต็มใจ
ในที่สุดใบหน้าเคร่งขรึมของเทพดาราไคหยางก็ปรากฏรอยยิ้มออกมา แม้แต่น้ำเสียงของเขายังนุ่มนวลลงมาก “ดีมาก จัดแถวแล้วนับจำนวนผู้บาดเจ็บและดับสูญ รวมถึงนักรบที่สัมผัสถูกไอขุ่นมัวด้วย”
พอกล่าวจบ ทันใดนั้นก็มีเสียงเยือกเย็นดังขึ้นมาแต่ไกลว่า “เจ้าพวกนกกา! บังอาจมาฆ่านักรบที่อยู่ใต้บัญชาของข้า!”
หมอกปีศาจสีแดงโลหิตปกคลุมทั่วทั้งขอบฟ้าในบัดดล ลมพัดโหมกระหน่ำ ต้นไม้ใต้ฝ่าเท้าของเหล่าเทพทั้งหลายราวกับจะถูกลมพัดจนปลิวไป ต้นไม้และพวกเศษหินดินทรายต่างถูกพัดเข้าไปในพายุ หมอกปีศาจสีแดงโลหิตลดระดับต่ำลงมา เหล่าเทพทั้งหลายถูกมันกดไว้จนแทบจะล้มกันระเนระนาด
เทพดาราไคหยางตกใจจนหน้าถอดสี เขากลับไม่รู้ว่ามีเผ่ามารที่ร้ายกาจเพียงนี้อยู่ใกล้ๆ ! หรือว่าวันนี้จะโชคร้ายมาเจอกับราชาเผ่ามารอย่างราชาซางเหม่าจริงๆ !
เขาเป่าลมออกไป ลมเทพทำให้หมอกปีศาจสลายส่วนหนึ่ง ดวงตากลมสีแดงเลือดคู่หนึ่งกะพริบอยู่ในหมอกอยู่อย่างเลือนราง ในดวงตาข้างซ้ายมีลูกตาดำอยู่สามลูก
“นักรบอันดับสองของราชาซางเหม่า!” เทพดาราไคหยางสูดหายใจเฮือก ที่แท้เผ่ามารทั้งสี่นั่นคือลูกน้องของเขา “หน่วยอี่อี่ไฮ่รีบสลายตัวเร็ว! รีบหนีเร็วเข้า!”
ยามนี้เหล่านักรบต่างไม่สนอะไรอีกแล้ว ต่างคนต่างหนีอย่างไม่คิดชีวิต ได้ยินเพียงเสียงเยือกเย็นอย่างหยิ่งยโสดังมาว่า “เจ้าพวกไร้ประโยชน์กลุ่มหนึ่ง เดิมข้ายังไม่คิดจะฆ่า แต่ว่าองค์ชายสามกำลังจะมา อีกทั้งพวกเจ้ายังฆ่านักรบของพวกเราอีก วันนี้ข้าจะใช้เลือดของพวกเจ้ามาล้างถนนเส้นนี้เสีย!”
ลมปีศาจราวกับคมมีดนับไม่ถ้วน ไล่ตามมาจากทุกทิศทาง เหล่าเทพนักรบที่ไม่ระวังก็จะถูกม้วนเข้าไปภายใน และถูกฉีกร่างกลายเป็นฝุ่นไป
ร้ายกาจอะไรอย่างนี้?! เสวียนอี่รีบหนีลมปีศาจที่ติดตามมาด้านหลังราวกับหางนั่นอย่างร้อนรน ทันใดนั้น ดวงตาสีเลือดขนาดใหญ่คู่หนึ่งพลันจับจ้องมาที่ร่างของนาง แล้วนักรบเผ่ามารที่ร้ายกาจมากตนนี้ก็กล่าวว่า “ตระกูลจู๋อินที่อายุไม่น้อยยากจะได้เจอ รูปโฉมไม่เลว องค์ชายสามจะต้องชอบเป็นแน่”
หมอกปีศาจรวมกันเป็นตาข่าย แล้วคลุมลงมาบนศีรษะของเสวียนอี่อย่างไม่ปรานี นางไม่ได้หลบ แต่ปล่อยให้หมอกปีศาจพุ่งผ่านร่างไป ขณะที่กำลังจะเป่าหิมะจู๋อินออกมา หางตาพลันเหลือบมองเห็นหน่วยอี่อี่ไฮ่คนอื่นต่างหนีไปหมดแล้ว กระทั่งเทพดาราไคหยางเองก็ไม่รู้หนีไปทางไหน นางโมโหทันที แต่ก่อนมีแต่นางทิ้งคนอื่นเพี่อเอาชีวิตรอด ไหนเลยจะเคยถูกคนอื่นทิ้งให้นางเป็นโล่เนื้อกำบังไว้!
นางไม่แม้แต่จะเป่าหิมะแล้ว นางกลายเป็นพายุคลั่งแล้วหนีไป หมอกสีแดงโลหิตนั่นยังคงตามติดมาด้านหลังไม่ช้าไม่เร็ว ราวกับรู้ว่านางนั้นไม่มีพลังจะทำอะไรได้ คาดว่าคงกำลังคิดว่าจะใช้วิธีอะไรจับนางไว้ดี
เสวียนอี่ท่องคาถา กำแพงน้ำแข็งที่มองไม่เห็นก็มาขวางด้านหลังไว้ นักรบเผ่ามารตนนั้นไม่ทันสังเกตเห็นจึงชนเข้าไปอย่างแรง กำแพงน้ำแข็งกลายเป็นมังกรน้ำแข็ง กัดลงไปยังดวงตาสีแดงกลมสีโลหิตนั่น เขารีบปัดป้องอย่างรีบร้อน เมื่อเขาลืมตาขึ้นอีกครั้ง ภาพตรงหน้าก็ดำมืดมองไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น เขาชะงักไปครู่หนึ่ง เมื่อมังกรน้ำแข็งและความมืดหายไปหมดแล้ว ตระกูลจู๋อินก็ไม่รู้หนีไปทางไหนแล้ว
…เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นตระกูลจู๋อินที่หนีได้เร็วขนาดนี้
เสวียนอี่บินหนีสะเปะสะปะไปครู่หนึ่งแล้วหันกลับไปมอง หมอกโลหิตปีศาจยังคงแผ่ขยายออกไปจนเกือบจะถึงพันลี้แล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถสลัดมันหลุดได้ นางขมวดคิ้วแล้วมองไปรอบๆ พลันเห็นไอบริสุทธิ์อยู่ไกลๆ ดูเหมือนกับเป็นฐานที่พักของนักรบแห่งหนึ่ง จึงมุดศีรษะลงทันที ครั้นพายุคลั่งลงมาถึงพื้น เมื่อยืนได้มั่นคงแล้ว เหล่านักรบที่อยู่รอบฐานที่พักก็อดมองมาอย่างตื่นตะลึงไม่ได้
“ที่นี่คือฐานที่พักของหน่วยอี่ปิ่งอิ๋น เจ้าเป็นนักรบจากหน่วยไหนกัน ไฉนถึงได้บุกเข้ามาอย่างนี้”
หัวหน้านักรบเข้ามากล่าวตำหนิ เสวียนอี่ยิ้มให้เขาน้อยๆ แล้วชี้บนฟ้าโดยไม่กล่าวอะไรออกมา นักรบทุกคนเงยหน้ามองขึ้นไปอย่างเสียไม่ได้ ถึงได้เห็นว่าบนฟ้าห่างออกไป มีหมอกสีแดงโลหิตกำลังรวมตัวกัน จึงพากันตกใจจนหน้าเปลี่ยนสีทันที
“หมอกปีศาจนี่คือการโจมตีของจางลู่ นักรบอันดับสองของราชาซางเหม่า!” เหล่านักรบร้องขึ้นด้วยความตกใจ “ทำไมเขาถึงมาที่นี่ได้?!”
หัวหน้านักรบไม่กล่าวอะไรให้มากอีก รีบสั่งการเสียงเข้มว่า “ตั้งกระบวนทัพ! เตรียมรับมือ!”
เหล่านักรบของหน่วยอี่ปิ่งอิ๋นสุขุมและเจนจัดกว่าหน่วยอี่อี่ไฮ่มาก แต่ละคนมิได้หวาดกลัวแม้แต่น้อย เหินทะยานขึ้นไปในบัดดล พวกเขากระตุ้นพลังเทพออกมา แสงรัศมีเทพส่องสว่างไปครึ่งฟ้า
เสวียนอี่คิดจะรอดูสถานการณ์ว่าพวกเขาจะรับมืออย่างไร แล้วนางก็จะลงมืออย่างนั้น พอดีเลยนางจะได้ทดลองเวทบนร่างของเหล่าเผ่ามารนี้ หากว่าพวกเขาทนไม่ได้…
กำลังคิดอย่างใจลอย ด้านหลังพลันได้ยินเสียงนุ่มนวลอ่อนหวานดังขึ้นมา “ปลาดุกอุยน้อย เจ้าพาเผ่าปีศาจที่ร้ายกาจอย่างนี้มาหรือ”
เสวียนอี่สะดุ้ง นางค่อยๆ หันหลังกลับไป ด้านหลังเขามีเทพบุตรสวมชุดนักรบสีดำสนิทเดินเข้ามา ที่เอวของเขามีมีดยาวราวกับขนนกอยู่หนึ่งเล่ม นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้เห็นว่าเซ่าอี๋มีอาวุธ
เห็นนางเบิกตากว้างมองเขาไม่พูดจา เซ่าอี๋ก็อมยิ้มน้อยๆ อย่างอดไม่ได้ “คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าจะเป็นอย่างที่ข้าคิดไว้ ได้เจอปลาดุกอุยน้อยที่โลกเบื้องล่าง ข้าว่า นี่คือจางลู่ นักรบอันดับสองของราชาซางเหม่า เจ้าพาคนร้ายกาจมา…ทำไมต้องหนีด้วย เขาทำร้ายเจ้าไม่ได้อยู่แล้ว”
เสวียนอี่มองเขา แล้วมองเหล่านักรบด้านบนที่รับมือกับจางลู่แล้ว “…ท่านไม่ไปสู้หรือ”
เซ่าอี๋กอดอกแล้วพิงที่กำแพงของฐานที่ตั้ง “เป็นความยุ่งยากที่เจ้านำมา ก็ควรเป็นเจ้าที่เข้าไปสู้ พอดีเลย ข้าจะได้เห็นว่าตอนนี้เจ้าเรียนเวทไปถึงไหนแล้ว”
เสวียนอี่ใช้ผ้าเช็ดหน้าปูบนพื้นแล้วนั่งลงด้วยท่วงท่าสง่างาม “ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็มาดูกันเถอะ”
เซ่าอี๋อดยิ้มออกมาไม่ได้ “ไม่อยากให้ข้าเห็นความสามารถขนาดนั้นเลยหรือ เจ้าควรจะเชื่อฟังเสียดีกว่า ข้าทำใจทรมานเจ้าไม่ได้หรอก”
ด้านบน หัวหน้านักรบอดทนมานานจนทนไม่ไหวแล้วกล่าวเสียงดังปานสายฟ้าฟาด “ตระกูลชิงหยางและตระกูลจู๋อินทางนั้นน่ะ! รีบมารับมือสิ!”
เซ่าอี๋ถอนหายใจแล้วก้มหน้ามองเสวียนอี่ “เจ้าไปก่อนสิ”
“ข้าจะทำอย่างนั้นได้อย่างไร ศิษย์พี่เซ่าอี๋เชิญก่อนเลย”
เขาถอนหายใจอีกครั้ง “เฮ้อ เจ้าปลาดุกอุยน้อยนี่นะ”
เขาสะบัดแขนเสื้อแล้วเหาะขึ้นไปสูงประหนึ่งมีปีก เสวียนอี่ขี่ลมตามมาด้านหลัง เห็นเขาซัดมีดยาวขนนกออกไป กลายเป็นเปลวเพลิงสีน้ำเงินเหมือนกับเขาสายหนึ่งแล้วพุ่งไปยังดวงตาขนาดใหญ่นั้นของจางลู่
ดวงตาคู่นั้นรีบปิดลงทันที แพขนตาหนาบนหนังตามีแสงวูบวาบเป็นประกาย แต่ละสายล้วนแล้วแต่เป็นคมมีดแหลมคมหาใดเปรียบ บนนั้นยังมีไอขุ่นมัวไหลรินออกมาอีกด้วย
เพลิงสีฟ้าสายนั้นแยกออกกะทันหัน ปีกเพลิงขนาดยักษ์สั่นไหว ขนนกเพลิงลากยาวไปด้านหลัง แล้วกลายเป็นหงส์เพลิงสีน้ำเงินตัวหนึ่ง หงส์เพลิงวนรอบศีรษะของจางลู่ ทว่าทันใดนั้นจางลู่พลันร้องโหยหวนออกมาเสียงดัง หัวและใบหน้าของเขาถูกเปลวเพลิงแผดเผา
ต่อมา ท้องฟ้าก็มืดลง ลมหิมะรุนแรงปรากฏขึ้นอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย เกล็ดหิมะกระทบถูกร่างของจางลู่ ร่างกายใหญ่โตของเขาก็ค่อยๆ ถูกแช่แข็งไปทีละชุ่น สุดท้ายก็แข็งในท่าอ้าปากร้องโหยหวน ตัวแข็งอยู่หลังหมอกปีศาจไม่กระดุกกระดิก มีเพียงเปลวเพลิงสีน้ำเงินเท่านั้นที่ยังคงลุกโชนบนใบหน้าและศีรษะของเขาต่อไปอย่างเงียบเชียบ
ดี! มิน่าเล่าสองตระกูลนี้ถึงสามารถทำให้ทะเลหลีเฮิ่นกลายสภาพเป็นถึงขนาดนั้นได้ สมดังคำเล่าลือโดยแท้ หัวหน้านักรบสั่งการลงไป เหล่านั้นรบก็พุ่งเข้าไปแล้วซัดอาวุธบนร่างออกไป จนทำให้จางลู่ที่ถูกแช่แข็งจนไม่สามารถขยับได้กลายเป็นผ้าขี้ริ้วก้อนหนึ่ง