บุหลันเคียงรัก - บทที่ 118 กระบี่และฝักกระบี่
เสวียนอี่กัดลิ้นจนเป็นแผลแล้วพ่นลมออกมา รอบกายพลันมีม่านหมอกบางๆ ปรากฏ แม้เบาบางแต่กลับผลักดันเขาออกไปอย่างรวดเร็วโดยไม่ให้เขาได้ต่อต้าน
หิมะจู๋อินตกลงมามากมาย พื้นที่วงกลมที่หิมะสีขาวตกลงมาคือพื้นที่ต้องห้ามของตระกูลจู๋อิน ผู้ที่เข้ามาไม่ว่าจะเป็นใครก็ต้องถูกแช่แข็ง หากขั้นเบาก็คือไม่สามารถขยับได้และไม่สามารถใช้เวทใดๆ ได้ หากขั้นร้ายแรงดับสูญไปเลยก็มีไม่น้อย
คิดไม่ถึงจริงๆ ว่า เซ่าอี๋จะสามารถหนีรอดไปจากหิมะจู๋อินได้ เป็นเพราะตระกูลชิงหยาง หรือเป็นเพราะขนหัวใจหงส์กัน
เซ่าอี๋ค่อยๆ ลุกขึ้น เขาหรี่ตามองนางผ่านม่านหิมะ
เป็นแววตาที่นางไม่เคยเห็นมาก่อนอีกแล้ว มันแสดงความหมายไม่ชัดเจน ราวกับกำลังวางแผนอะไรอยู่ แต่ก็เหมือนกับมีความเศร้ามากมายมหาศาล ทั้งยังแฝงไปด้วยความมืดมนหลังจากเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ด้วย
ผ่านไปครู่หนึ่ง ดวงตาที่เคร่งขรึมและซับซ้อนก็ค่อยๆ หายไป กลายเป็นดวงตาที่อบอุ่นเช่นเดิม เซ่าอี๋ปัดใบหญ้าบนร่างออกแล้วถอนหายใจออกมา พร้อมกับยิ้มอย่างนุ่มนวลพลางกล่าวว่า “ข้าถูกเจ้าทรมานจนแย่แล้วจริงๆ”
เขาหมุนตัวเดินไปช้าๆ เสวียนอี่กล่าวเสียงเย็นว่า “จะหนีอีกแล้วหรือ”
เซ่าอี๋เหลียวหลังกลับมาแล้วฝืนยิ้ม “อยากจะให้ข้าเป็นคนป่าเถื่อนจริงๆ หรือ”
หิมะเริ่มแผ่ขยายออกไป เมฆดำปกคลุมไปทั้งหุบเขา ต้นโพธิ์เขียวขจีถูกหิมะปกคลุมอย่างรวดเร็ว เสวียนอี่กล่าวเสียงขรึมว่า “จับข้ามาที่นี่ ไม่ใช่ว่าอยากจะดูว่าตบะข้าไปถึงไหนแล้วหรือ แม้แต่หิมะจู๋อินยังแช่แข็งท่านไม่ได้ แล้วทำไมท่านยังต้องหนีอีก ให้ข้าได้เห็นหน่อยสิว่า ตระกูลชิงหยางยังมีฝีมืออะไรอีก!”
เขามักเป็นเช่นนี้ตลอด ชอบพูดอะไรแค่ครึ่งเดียว ไม่ว่าอะไรก็ทำไปเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น เอาชีวิตมาบีบบังคับแต่กลับเหมือนต้องการจะรักษาระยะห่างเอาไว้ เขายังทำอะไรตามใจยิ่งกว่านางเสียอีก แล้วนางจะยอมให้คนอื่นมาทำตัวเอาแต่ใจอย่างนี้กับนางได้หรือ!
ที่บ่าของเซ่าอี๋เองก็มีหิมะปกคลุมอยู่ชั้นหนึ่ง ผมยาวของเขาพลิ้วไปกับลมหิมะ เขามองความมืดจู๋อินที่เป็นเมฆหมอกสีดำม้วนตัวอยู่บนท้องฟ้านั้นงียบๆ ตระกูลจู๋อินก็เหมือนกับเมฆดำเหล่านี้ ปกคลุมท้องฟ้าของเขา ตระกูลนี้มักจะเป็นอย่างนี้เสมอ โอหังอวดดีเอาแต่ใจ หยิ่งยโสและเห็นแก่ตัว ไม่เคยคิดว่าสิ่งที่ตนทำจะนำความเดือดร้อนมาสู่คนอื่น แสดงด้านสิ่งที่ร้ายกาจทั้งหมดของตนออกมา
น้ำเสียงของเขาราบเรียบ “ปลาดุกอุยน้อย ฝีมือของตระกูลชิงหยางล้วนเกี่ยวข้องกันตระกูลจู๋อินทั้งนั้น พวกเจ้าคือกระบี่ ตระกูลชิงหยางก็คือฝักกระบี่ ตระกูลของพวกเราทั้งสองแต่ก่อนไม่ว่าใครก็แยกจากกันไม่ได้ ดังนั้นฝีมือข้าเองก็ไม่สามารถทำร้ายอะไรเจ้าได้จริงๆ เจ้าเองก็ไม่สามารถจัดการข้าได้เช่นกัน ข้าไม่อยากจะต้องแข็งอยู่กับเจ้าอย่างนี้ไปชั่วชีวิต”
เขาสะบัดแขนเสื้อ แสงสีทองก็แผ่ออกมาจากฝ่ามือของเขาแล้วกลายเป็นร่มกระดาษลายดอกไม้และนกคันหนึ่ง ประกายแสงอาทิตย์มากมายหลายสายส่องลงจากใต้เมฆดำทาทาบลงบนร่มกระดาษอย่างพอดิบพอดี เขาถือร่มกระดาษแล้วก้าวเท้าอย่างมั่นคงท่ามกลางพายุหิมะบ้าคลั่งพร้อมกับแสงอาทิตย์หลายสายราวกับเดินเล่นอยู่ในลานเรือนมิปาน
“ตั้งใจบำเพ็ญตบะแล้วกัน ข้าคอยมองเจ้าอยู่ตลอด”
คอยมองอยู่ตลอด หากไม่พอใจค่อยออกมาจัดการนาง? เสวียนอี่จ้องเงาหลังเขาอยู่ครู่หนึ่ง แล้วยกมือเก็บพายุหิมะกลับไป
ทันใดนั้นร่างบอบบางอรชรของนางพลันมาถึงข้างกายเขา นางตามติดทุกฝีก้าว ก่อนจะเงยหน้าถามว่า “แต่ก่อนพวกเราสองตระกูลมีความแค้นอะไรกัน”
เซ่าอี๋คลี่ยิ้มบาง สายตาทอดมองลงมาที่ใบหน้าของนาง “ข้าจะรู้ได้อย่างไรกัน ข้ารู้แค่ว่า หากทั้งสองตระกูลไม่มีเรื่องกระทบกระทั่งกัน มาจนถึงรุ่นของพวกเรา แปดเก้าส่วนในสิบส่วน เจ้าต้องแต่งงานกับข้าแน่นอน”
เสวียนอี่ขมวดคิ้วอย่างเหนือคาด “ฟังแล้วไม่ชอบใจเลย”
เซ่าอี๋มีน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าเองก็รู้สึกโชคดีมากที่ตอนนี้ตระกูลพวกเราทั้งสองมีเรื่องกระทบกระทั่งกัน”
เสวียนอี่ยิ้ม “ศิษย์พี่เซ่าอี๋ ทำลายประสาทสัมผัสทั้งห้าท่านก็ได้ลิ้มลองมาแล้ว แต่กลับยังไม่ยอมบอกอะไรข้าเลย ท่านตั้งใจว่าจะไม่บอกข้าไปตลอดกาลเลยหรือไร”
นางไม่พูดถึงยังดี พอพูดถึงเขาก็นึกถึงการลงโทษเมื่อครู่นี้ขึ้นมา ลำคอพลันตีบตันขึ้นมาอย่างอดไม่อยู่ นางช่างเป็นนางมารหญิงโดยแท้
เขาตอบอย่างขอไปที “ไม่อย่างนั้น เจ้ามาร่วมประสานหยินหยางกับข้าสักครั้ง แล้วข้าจะบอกเจ้า”
เสวียนอี่ยังคงยิ้ม “เอาสิ ที่นี่หรือ”
เซ่าอี๋สูดลมหายใจเข้า อดที่จะหยุดเท้าลงไม่ได้พลางกล่าวเสียงต่ำว่า “ข้าไม่ได้ฟังผิดไปใช่หรือไม่”
นางไม่ได้กล่าวอะไร และไม่ได้ใช้วิธีการมากมายของนางมาจัดการเขาอีก นางยืนนิ่งอยู่ที่เดิม เซ่าอี๋บีบไหล่นางโดยไม่รู้ตัว เขาไม่เข้าใจความคิดของนางเลยจริงๆ ตัวเขาเองก็หาได้ยากที่จะมีสภาพเช่นตอนนี้
สายตาของเขาไล่จากลำคอขึ้นไปจนถึงใบหน้าขาวราวกับเครื่องเคลือบหยกขาวของนาง หยุดอยู่ที่ริมฝีปากอิ่มชุ่มชื่นของนางอยู่นาน จากนั้นมองไปยังไหล่เล็กแบบบางของนางแล้วไล่ลงไปยังเอวคอดกิ่วดุจกิ่งหลิวนั้น
มือของเขาค่อยๆ กำแน่น แต่ทว่าสีหน้าของเขากลับแสดงตรงกันข้าม หัวคิ้วขมวดมุ่นแล้วรีบปล่อยมือออกอย่างรวดเร็ว พร้อมทั้งออกแรงผลักนางให้ออกห่างจากเขา
เสวียนอี่ดูเหมือนจะไม่ตกใจนัก นางเลิกคิ้วเล็กน้อย “ไม่ต้องการรึ ถ้าอย่างนั้นก็ช่างเถอะ”
เซ่าอี๋มองแววตาที่แฝงแววเหยียดหยามของนาง ไหนจะท่วงท่ายามนางหมุนตัวหมายจะเดินจากไปอีก นางมาลองหยั่งเชิงท่าทีของเขาหรือ หรือว่าเพียงแค่จะมาเหยียดหยามเขาเท่านั้น นางมองออกว่าแท้จริงแล้วเขาไม่คิดจะทะเลาะกับนางในด้านนี้? เทพธิดาสาวที่เชี่ยวชาญการหยอกเย้าผู้นี้ นางล้อเล่นกับฝูชางก่อนจนทำให้เขาหัวหมุนไปหมด ตอนนี้มาถึงคราวเขาแล้ว ต่อหน้าเขา นางมักจะเจ้าเล่ห์ร้ายกาจอย่างถึงที่สุด เขาจะถูกนางบีบให้บ้าแล้วจริงๆ
“ศิษย์พี่เซ่าอี๋ ตอนนี้ข้ายังคิดวิธีมาจัดการกับท่านไม่ออก” เสวียนอี่กล่าวขึ้นลอยๆ แล้วโบกมือให้เขา “ท่านชนะแล้ว”
ลมโหมกระหน่ำรุนแรง หอบเอาใบไม้ต้นหญ้ารวมถึงดินทรายลอยขึ้นมา เสวียนอี่จับผมเอาไว้ มือข้างหนึ่งทาบบนบ่าของนางเบาๆ
นางเหลียวหลังกลับไปมองสบกับดวงตาหงส์ที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มอบอุ่นของเซ่าอี๋ เขาถอนหายใจเบาๆ “ข้าทำอะไรเจ้าไม่ได้จริงๆ ช่างเถอะ ข้าจะบอกเจ้า ข้าต้องการให้เจ้าทำเรื่องที่ยากมากเรื่องหนึ่งให้ข้า แต่เกรงว่าเจ้าจะไม่ยอม ข้าจึงทำได้เพียงไม่ตัดสัมพันธ์ขนหัวใจหงส์เท่านั้น เจ้าจะต้องรีบเร่งบำเพ็ญตบะ ไม่อย่างนั้นเมื่อทำเรื่องนี้จบแล้ว เกรงว่าเจ้าคงต้องทิ้งชีวิตน้อยๆ ของเจ้าไปแน่”
เสวียนอี่กล่าวอย่างไม่พอใจทันที “เรื่องยากเรื่องนั้นคืออะไร”
ลมพัดแรงขึ้นเรื่อยๆ ใบไม้เขียวขจีบนต้นโพธิ์ถูกลมพัดจนร่วงลงมาเต็มพื้น เซ่าอี๋หลุบตาลงแล้วยิ้มจาง “ที่เจ้าถามมาก่อนหน้านี้ ข้าก็ตอบเจ้าแล้ว ตอนนี้ข้าอยากให้เจ้ามาประสานหยินหยางกับข้า ส่วนคำถามต่อจากนั้น ก็ต้องมาดูกันว่าเจ้าจะทำให้ข้าสนใจมากกว่านี้ได้หรือไม่”
เขาลูบเรือนผมยาวเรียบลื่นของนาง โอบเอวส่วนที่คอดเล็กที่สุดของนางส่วนนั้นไว้แล้วดึงร่างของนางเข้ามาในอ้อมอก ทั้งยังก้มหน้าเข้าไปใกล้ริมฝีปากอวบอิ่มชุ่มชื้นของนาง หากแต่คางกลับถูกมือเย็นเฉียบข้างหนึ่งขวางเอาไว้
เซ่าอี๋มองไปยังแววตาที่เยือกเย็นของนางนั่นแล้วกล่าวเสียงต่ำ “เจ้าคิดจะกลับคำ?”
เสวียนอี่กัดลิ้นจนเป็นแผล กำลังจะพ่นม่านน้ำแข็งออกมาและผลักเขาออกไป ปากนางกลับถูกมือเขาอุดเอาไว้ ทั้งยังออกแรงมหาศาลผลักนางลงไปบนพื้น เซ่าอี๋กดร่างอยู่บนร่างนาง ทั้งยังมองพิจารณานางจากมุมบน “เจ้าช่างมีความสามารถนัก”
ผิวขาวเนียนดุจหิมะและกระเบื้องเคลือบของนาง ใบหน้าเปี่ยมด้วยอารมณ์ที่ปรากฏเป็นครั้งแรกของนาง ช่างเป็นอาหารที่น่าดึงดูดเสียจริง เขาไม่ต้องเสียดายอีกแล้ว สามารถทำให้เขาโมโหซ้ำแล้วซ้ำเล่าได้อย่างนี้ นางไม่ธรรมดาเลยจริงๆ
มีดน้ำแข็งมากมายแฉลบผ่านข้างแก้มและไหล่ของเขาไป ทว่าเขาหาได้ใส่ใจไม่ มืออีกข้างค่อยๆ เกี่ยวดึงเข็มขัดของนางออกทีละชิ้น อากัปกิริยาไม่รีบร้อนและมีท่วงท่าสง่างาม ราวกับกำลังทักทายเข็มขัดทีละชิ้นนั้นอยู่ เมื่อทักทายเสร็จจึงใช้นิ้วเกี่ยวมันจนขาด
ด้านหลังบริเวณใกล้หัวใจพลันถูกมีดน้ำแข็งเย็นยะเยือกไปถึงกระดูกจ่อเอาไว้ ในที่สุดเซ่าอี๋ก็หยุดเกี่ยวเข็มขัดลงเสียที พลางกล่าวถามเนิบๆ “ทำไมไม่แทงเข้ามา”
เด็กสาวที่เห็นแก่ตัวจนถึงที่สุดอย่างนาง ไม่เสียดายชีวิตเลยหรือ
แควก เข็มขัดเส้นหนึ่งถูกดึงขาด มองดวงตาที่เย็นชาของนาง รู้สึกถึงมีดน้ำแข็งที่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่แทงเข้ามาที่หลังเสียทีนั่น เซ่าอี๋ก็หัวเราะออกมาเบาๆ “พูดไปแล้ว พวกเรานี่มันเป็นประเภทเดียวกันจริงๆ”
เมื่อได้เห็นนางที่ตำหนักหมิงซิ่ง เขาก็รู้แล้วว่านางเป็นพวกเห็นแก่ตัวไร้น้ำใจเหมือนกัน ทำอะไรก็แทบจะคิดแต่ตัวเองเหมือนกัน ดังนั้น มีดน้ำแข็งเล่มนี้ไม่มีทางที่จะแทงเข้ามาแน่ ผ่านไปสองหมื่นกว่าปี ฝีมือนางก็พัฒนาขึ้นมาไม่น้อย ปลาดุกอุยน้อยที่อาการเจ็บที่หัวใจกำเริบอีกครั้งเพราะฝูชางก็เป็นเพียงแค่แสงสว่างที่ลอดผ่านรอยแยกของใบไม้เข้ามาเท่านั้น ถ้าอยากจะขับไล่ความเหงาโดดเดี่ยวไป ต้องหาคนประเภทเดียวกันถึงจะดีที่สุด
เซ่าอี๋ยกขาข้างซ้ายของนางขึ้นมาเกี่ยวบนบ่า ปลายนิ้วก็วาดไล้ไปบนน่องของนาง แล้วจับแยกออกเป็นช่องว่าง ก่อนจะก้มหน้าลงไปจูบบนขาอ่อนเรียวเล็กของนาง ทันใดนั้นมีดน้ำแข็งที่จ่ออยู่ที่หลังตรงกับหัวใจของเขาก็แทงเข้ามาอย่างไม่ลังเล เขาเบี่ยงตัวหลบไปด้านข้าง มีดน้ำแข็งที่แหลมคมแทงทะลุอกข้างขวาของเขาทันที โลหิตเทพสีแดงมากมายหลายหยด หยดลงบนใบหน้าขาวซีดของเสวียนอี่ หน้าผากของนางเต็มไปด้วยเหงื่อกาฬในทันใด
เขาขมวดคิ้วมุ่นและสบตากับนาง แววตาของนางราวกับกำลังกล่าวว่า ใครเป็นประเภทเดียวกับท่านกัน