บุหลันเคียงรัก - บทที่ 119 พบพานศัตรู
เซ่าอี๋ใช้หลังมือเช็ดเลือดที่มุมปาก แล้วจึงป้ายพวกมันลงบนใบหน้าเย็นชาดุจน้ำแข็งของนางช้าๆ
ได้ยินเสียงหอบหายใจหนักของนาง จู่ๆ เขาก็อยากจะถอนหายใจออกมาจริงๆ มีเพียงตระกูลจู๋อินเท่านั้นที่นิสัยไม่ดีอย่างนี้ ตระกูลจู๋อินที่เหมือนกับเมฆดำ
เขาขมวดคิ้วแล้วปล่อยนาง พร้อมดึงเอามีดน้ำแข็งที่แทงทะลุอกขวาออกมาแล้วบีบจนแตก มองใบหน้านางที่เต็มไปด้วยคราบเลือด พร้อมกับที่มือค่อยๆ ผละออกจากปากนาง
“ปลาดุกอุยน้อย” เขาเรียกนางด้วยน้ำเสียงราวกับกำลังถอนหายใจ “เจ้าทำให้ข้าตกใจจริงๆ ก็ได้ ครั้งนี้ถือว่าข้าแพ้”
ม่านน้ำแข็งถูกพ่นออกมาอย่างรวดเร็ว เขาไม่รอให้พวกมันสัมผัสถูกร่าง รีบถอยห่างออกไปไกลหลายจั้งก่อนแล้ว เสวียนอี่พลิกตัวขึ้นนั่ง ใบหน้าของนางขาวซีดกว่าเดิมหลายเท่า ข้อมือทั้งสองสั่นระริก ไม่ว่าทำอย่างไรก็ใส่เข็มขัดไม่ได้เสียที
เสียงลมพัดกระโหมอย่างบ้าคลั่งดังขึ้นทุกที พื้นที่ราบระหว่างหุบเขาที่สว่างด้วยแสงอาทิตย์ค่อยๆมืดลง เซ่าอี๋เหลียวมองท้องนภาด้านหลัง บนฟ้ามีหมอกปีศาจสีดำอมม่วงกลุ่มหนึ่งรวมตัวกัน มันพัดกระหน่ำอย่างรุนแรง เห็นได้ชัดว่ามีเผ่ามารที่ร้ายกาจกำลังเข้ามาใกล้ที่นี่
ตรงนี้จะอยู่นานไม่ได้
เขาเดินเข้าไปแล้วอุ้มเสวียนอี่ขึ้นมา เห็นนางอ้าปากจะพ่นม่านน้ำแข็งออกมาก็กล่าวว่า “ตอนนี้ข้ายังไม่มีเวลารักษาแผลนี้ หากเจ้ายังอวดดีอีก ข้าจะทิ้งเจ้าให้เผชิญหน้ากับเผ่ามารคนเดียวที่นี่เสีย”
ทันทีที่กล่าวจบ ม่านน้ำแข็งกลับผลักเขาออกไปไกลอีกหลายจั้ง เสวียนอี่ตกกระแทกพื้น เจ็บจนหน้าเขียว ขนหัวใจหงส์สองอันนี้ช่างไม่ยุติธรรมเลยจริงๆ ตอนนี้นางมีเกล็ดเต็มตัวแล้ว อยากจะบาดเจ็บให้เขาเจ็บเสียบ้างก็ยาก จะตีเขา ก็ดูเหมือนว่าเขาไม่ได้กลัวเจ็บเลยสักนิด กลับเป็นนางเองที่ทำตัวเองจนต้องเจ็บแทบตาย ชีวิตของนางอยู่ในกำมือเขา แต่นางยังต้องประคองเขาไว้บนฝ่ามือราวกับแก้วที่แตกสลายได้โดยง่ายอีก แค่คิดนางก็โมโหแทบแย่อยู่แล้ว
นางถอยหลังไปสองก้าวแล้วมองเขาอย่างเย็นชา ความเจ็บปวดที่อกข้างขวาทำให้น้ำเสียงของนางฟังดูอ่อนแรงอยู่บ้าง “…เรื่องที่ท่านอยากจะให้ตระกูลจู๋อินทำให้ เกี่ยวกับทะเลหลีเฮิ่นหรือ”
นางคิดหน้าคิดหลังดูแล้ว หลักฐานเดียวในปัจจุบันที่แสดงว่าตระกูลของพวกเขาทั้งสองมีเรื่องบาดหมางกัน ก็คือทะเลหลีเฮิ่นที่ทำให้เทพแห่งแดนเทพทุกองค์ต้องปวดหัวกันอยู่ตอนนี้ เห็นท่าทีลึกลับหลบๆ ซ่อนๆของเขาแล้ว นางก็กล่าวออกไปอีกว่า “ท่านคงไม่ได้คิดอยากจะเป็นราชามารหรอกใช่ไหม”
เซ่าอี๋ขำพรืดออกมา “ตัวร้ายกาจอย่างเจ้ามีความเป็นไปได้ที่จะเป็นราชามารมากกว่าข้าอีก”
เขาเดินเข้าไปอีกครั้ง จับปกเสื้อนางปิดให้มิดชิดแล้วหิ้วร่างนางขึ้นมา “วันนี้เจ้าทำให้ข้าโมโหจริงๆถึงสองครั้ง หากว่ายังมีครั้งที่สามอีก ข้าจะไม่เกรงใจแล้ว”
เขาอุ้มนางเอาไว้ กำลังจะขี่ลมบินขึ้นไป ท้องฟ้าพลันมีแสงรัศมีเทพสว่างสาดส่องไปทั่ว หมอกปีศาจสีดำม่วงกลุ่มนั้นปะทะกับแสงรัศมีเทพและมีเสียงปลดปล่อยวิชาเวทดังสนั่นขึ้นมา ในรอยแยกระหว่างแสงสว่างและความมืดมิดนั้น มีมังกรสีทองขนาดใหญ่ตัวหนึ่งพุ่งออกมา
เป็นมังกรจากปราณกระบี่จำแลงมังกรของตระกูลหวาซวี
เซ่าอี๋ก้มหน้าลงมองเสวียนอี่ นางเองก็กำลังจ้องไปที่มังกรสีทองตัวนั้นอย่างเหม่อลอย แววตาที่จดจ่อและสว่างไสวนั้น ทำให้เขาอดหรี่ตาลงไม่ได้ ก่อนจะขี่ลมบินย้อนไปอีกทาง ใครจะรู้ว่าหมอกปีศาจสีดำม่วงจะกลืนกินที่ราบหุบเขาแห่งนี้อย่างกะทันหันเช่นนี้ ลมเยือกเย็นพุ่งเข้ามาราวกับคมมีด เมื่อลงมาที่พื้นก็รีบแปลงเป็นเงาร่างสง่างามร่างหนึ่งอย่างรวดเร็ว เขาคือชายเผ่ามารที่ดูอายุไม่มากนัก รูปร่างสูงกว่าเผ่าเทพทั่วไปอยู่หนึ่งช่วงศีรษะ ชุดคลุมยาวสีม่วงเข้มราวกับเมฆปกคลุมไปทั้งร่างเขา
ที่น่าประหลาดที่สุดก็คือ มือซ้ายของเขาหิ้วเทพธิดาที่หมดสติอยู่ด้วยกันทั้งหมดสามองค์ ที่บ่าแบกอยู่สององค์ มือขวาหิ้วอยู่หนึ่งองค์ เมื่อลงมาถึงพื้นเขาก็โยนเทพธิดาเหล่านั้นลงกับพื้นแล้วหัวเราะเสียงดัง “เทพธิดาแดนเทพที่มีรูปโฉมงดงามเลิศล้ำดูแล้วก็มีไม่มากนัก ทำไมพวกเจ้าไม่ส่งหญิงงามลงมาให้มากกว่านี้หน่อยเล่า!”
ทันใดนั้นหางตาเขาพลันเหลือบเห็นแสงรัศมีเทพที่อยู่ไม่ไกลด้านบน เขาเงยหน้าขึ้นมอง กลับเป็นนักรบหนุ่มในชุดนักรบสีดำผู้หนึ่ง ในอ้อมอกเขายังอุ้มเทพธิดาตัวน้อยที่เสื้อผ้าหลุดรุ่ยเอาไว้องค์หนึ่งด้วย เข็มขัดแทบจะขาดออกหมดแล้ว เนินไหล่เผยออกมา เท้าน้อยๆเปลือยเปล่าราวกับหยกโผล่พ้นชายกระโปรงออกมา แม้ว่าใบหน้าครึ่งหนึ่งของนางจะเต็มไปด้วยคราบเลือด แต่กลับเรียวเล็กงามเกลี้ยงเกลา เป็นใบหน้างดงามอย่างหาได้ยากโดยแท้
ดวงตาเขาทอประกายวาววับทันใด “คนนี้ไม่เลว! มานี่!”
ลมปีศาจพัดกระหน่ำ หอกยาวสีดำที่ย้อมไปด้วยไอขุ่นมัวมากมายพุ่งออกไป เซ่าอี๋กลายร่างเป็นลมร้อนสายหนึ่งหลบหอกยาวนั้น ทว่าชายเผ่ามารผู้นั้นกลับเข้ามาใกล้ถึงตรงหน้าแล้ว ทั้งยังยื่นมือออกไปหมายจะคว้าตัวเสวียนอี่ไป เซ่าอี๋รีบหลบอีกครั้ง
ชายเผ่ามารผู้นั้นเห็นเขาทั้งไม่ลงมือและไม่ด่าทอ เอาแต่หลบไปมาอย่างคล่องแคล่วว่องไวก็โมโหขึ้นมาทันที เขาคำรามออกมาเสียงดัง เสียงนั้นราวกับพยัคฆ์คำราม ดุดันและน่าเกรงขามอย่างที่สุด
เซ่าอี๋หลุมยิ้มออกมา “ดุจริงๆเลย”
ชายเผ่าปีศาจผู้นั้นกำลังจะใช้พลังปีศาจ ทันใดนั้นด้านข้างพลันมีแสงสีทองเล็กละเอียดสายหนึ่งสว่างวาบเข้ามาอย่างรวดเร็ว เสียงลมใสกังวานเฉียดผ่านชุดคลุมยาวของเขาไป แสงสีทองสายนั้นพลันกลายเป็นมังกรสีทองขนาดใหญ่ตัวหนึ่งในบัดดล มันเข้ามาเร็วมากจนเขาหลบไม่ทัน ทำได้เพียงเบี่ยงตัวหลบตามสัญชาตญาณเท่านั้น แขนข้างซ้ายถูกกัดขาด มันเจ็บเสียจนต้องร้องคำรามเสียงดัง
แสงรัศมีเทพมากมายไล่ตามมาด้านหลัง วิชาเวทและอาวุธเทพมากมายตกลงมาใส่ร่างของเขาราวกับห่าฝน เขาอาศัยว่าสามารถสมานแผลได้เรื่อยๆจึงไม่หลบ เขาคาบแขนซ้ายไว้ในปากแล้วหยัดกายกระโดดขึ้นไป กลายร่างเป็นลมเย็นคิดจะหลบหนีไป แต่ด้านหน้าเขาไม่รู้มีกำแพงน้ำแข็งที่มองไม่เห็นปรากฏขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ เขาชนเข้าไปเต็มแรงจนมึนไปชั่วขณะ
มังกรสีทองขนาดใหญ่พุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วแล้วกัดท้องของเขาพร้อมลากไปบนพื้นไกลถึงหลายสิบจั้ง เจ็บเสียจนเขาต้องร้องโหยหวนออกมาอีกครั้ง แทบจะในพริบตานั้นเอง เชือกกักปีศาจกับคาถาสีแดงชาดก็มัดร่างใหญ่โตของเขาไว้อย่างแน่นหนา
“จับเป็นรัชทายาทสามของราชาซุ่ยหู่ได้แล้ว!”
เหล่านักรบทั้งหลายต่างโห่ร้องเสียงดังออกมาราวกับปลดภาระหนักอึ้งลงได้ พวกเขาโห่ร้องอย่างยินดีและตื่นเต้น ใบหน้าของรัชทายาทฉางฉินเองก็ฉายแววยินดีขึ้นมา เขาโบกมือ “ส่งไปประตูสวรรค์ทิศใต้! ส่วนเทพธิดาพวกนี้…”
เขามองไปยังเหล่าเทพธิดาทั้งหกที่รัชทายาทสามจับตัวมา คิดว่าน่าจะจับมาได้ระหว่างทางที่มา รัชทายาทสามเป็นพวกมากราคะอยู่แล้ว เห็นเทพธิดาที่มีรูปโฉมดีหน่อยก็จะลงมือทันที เมื่อข่มเหงนางเสร็จอารมณ์ดีแล้วก็จะปล่อยพวกนางไป หากอารมณ์ไม่ดี ก็จะฉีกร่างพวกนางเป็นชิ้นๆตอนนั้นเลยก็เคยมี ยังดีว่าพวกนางมีโชคอยู่ไม่น้อย ทำให้ไม่ต้องไปเจอกับเรื่องโหดร้ายอย่างนั้น
เหล่านักรบปลุกให้เทพธิดาทั้งหกได้สติขึ้นมาด้วยวิชาเวท เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่ได้บาดเจ็บอะไร ก็ให้พวกนางแต่ละคนกลับหน่วยของตนไป ในนั้นมีนักรบหญิงในชุดนักรบสีเหลืองหน้าซีดเซียวผู้หนึ่งก้มหน้าร้องไห้เงียบๆอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็เงยหน้าขึ้นมาไม่รู้เห็นอะไรเข้า นางร้องอุทานเสียงเบาแล้วก็แน่นิ่งไม่ขยับอีก
รัชทายาทฉางฉินไม่สนใจพวกนางอีก เพียงกล่าวเสียงดังว่า “หน่วยติงเหม่ากับหน่วยเจี่ยไปทางทิศตะวันออกหนึ่งหมื่นลี้ ไปช่วยหน่วยอี่ฆ่าลู่จางต่อ”
เหล่านักรบที่ผ่านประสบการณมามากคุ้นชินกับการระงับความดีอกดีใจที่มากเกินควรมานานแล้ว เรื่องที่จับเป็นรัชทายาทสามได้นั้นทำให้พวกเขายินดีเพียงชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น แล้วพวกเขาก็รีบขี่ลมออกไปไกลทันที รัชทายาทฉางฉินเห็นเงาร่างในชุดขาวร่างหนึ่งยังคงยืนอยู่ที่เดิม ก็อดกล่าวขึ้นมาอย่างแปลกใจไม่ได้ว่า “ฝูชาง?”
เทพบุตรชุดขาวผู้นี้โบกแขนเสื้อ ร่างก็พลันขยับไปอยู่กลางอากาศเสียแล้ว กระบี่ฉุนจวินสีน้ำเงินออกจากฝักทันใด ปลายกระบี่ชี้ไปยังนักรบหนุ่มในชุดสีดำสนิทผู้หนึ่งตรงหน้า รัชทายาทฉางฉินตกใจขึ้นมาทันที จะลงมือกับพวกเดียวกันอย่างนั้นหรือ?! เขารีบไล่ตามไป แต่กลับพบว่าในอ้อมอกของเทพนักรบผู้นั้นอุ้มเทพธิดาองค์หนึ่งไว้ ชุดของนางไม่เรียบร้อยนักซ้ำยังถูกย้อมไปด้วยเลือด เขายิ่งอึ้งงันมากกว่าเดิมอย่างอดไม่ได้
“ปล่อยนาง” ฝูชางจ้องเซ่าอี๋แน่นิ่ง เอ่ยเสียงต่ำเบาอย่างที่สุด
เซ่าอี๋ก้มหน้าแล้วยิ้ม “นางคือของล้ำค่าที่สุดของข้า เจ้ากลับทำร้ายเสียจนแผลที่หัวใจนางกำเริบอีกครั้ง ทำให้ข้าต้องยุ่งยากไม่น้อย ครั้งนี้ข้ารู้สึกไม่อยากปล่อยไปเสียแล้วสิ”
ฉุนจวินของฝูชางกลายเป็นแสงสีทองสายหนึ่ง มังกรสีทองขนาดใหญ่ขดตัวอยู่ข้างกายฝูชาง
เสียงเขายังคงต่ำมาก “ปล่อย”
เซ่าอี๋เอียงศีรษะคิดดู แล้วลูบศีรษะของเสวียนอี่อย่างนุ่มนวลสองที ก่อนจะหัวเราะเบาๆ ”ถ้าเช่นนั้นข้าจะให้เจ้ายืมอีกสักระยะแล้วกัน เสร็จแล้วอย่าลืมเอามาคืนข้าด้วย”
ร่างบอบบางถูกโยนออกไป ร่วงลงในอ้อมอกของฝูชาง
เซ่าอี๋ลอยถอยไประยะหนึ่งแล้วจ้องมองเสวียนอี่ครู่หนึ่ง กล่าวเสียงเรียบว่า “ปลาดุกอุยน้อย จำไว้ด้วยว่าต้องตั้งใจบำเพ็ญตบะให้ดี”
ฝูชางจับไหล่ขององค์หญิงมังกรในอ้อมอกแน่น เข็มขัดของนางถูกฉีกขาดทั้งหมด แต่ก็ยังพอจะปิดบังผิวกายได้บ้าง ขาซ้ายเปลือยเปล่า และที่น่ากลัวกว่านั้นคือ ใบหน้าครึ่งหนึ่งของนางถูกย้อมไปด้วยเลือด ริมฝีปากซีดเผือด ราวกับลมหายใจเฮือกสุดท้ายกำลังจะปลิดปลิวไปอย่างนั้น
มังกรสีทองขนาดใหญ่พุ่งออกไปยังนักรบชุดดำตรงหน้าปานสายฟ้า ได้ยินเสียงตึงดังสนั่น กำแพงน้ำแข็งที่มองไม่เห็นพลันถูกมังกรสีทองทำลายจนแตกไป กำแพงน้ำแข็งตระกูลจู๋อิน
แววตาของฝูชางลึกล้ำ เขาใช้นิ้วมือลูบใบหน้าเปื้อนเลือดครึ่งหนึ่งนั่นของนางเบาๆ แล้วกอดนางไว้แน่น มังกรสีทองกลายเป็นฉุนจวินแล้วกลับมาในฝัก เทพบุตรชุดขาวหมุนตัวจากไปอย่างรวดเร็ว พร้อมกับทิ้งรัชทายาทฉางฉินที่เรียกเขาด้วยความตะลึงงันและเซ่าอี๋ไว้เบื้องหลัง