บุหลันเคียงรัก - บทที่ 14 เฟยเหลียนเจ้าโทสะ
ตามที่จำได้ เสวียนอี่เหาะมาทางทิศตะวันออก บินอยู่ในทะเลเมฆสองเค่อ [1] รู้สึกว่ายิ่งนานเข้าก็ยิ่งมืดลง ลมหนาวเย็นปะทะเข้ากับใบหน้า ชัดเจนเหลือเกินว่า วังของเทพีวั่งซูน่าจะตั้งอยู่แถวนี้
นางลดตัวผ่านกลุ่มเมฆ ผลคือเบื้องหน้าเป็นวังอันโอ่อ่ามโหฬาร เป็นสีน้ำเงินเข้มราวกับท้องนภายามราตรี บนประตูตำหนักที่สูงเสียดฟ้าปรากฏคางคกเงินสามขาตัวหนึ่งขึ้นมาอย่างฉับพลัน
ในตอนนี้มีเทพบุตรหนุ่มคนหนึ่งยืนอยู่หน้าประตูตำหนัก เสวียนอี่เพ่งมองไป นั่นคือกู่ถิง เขาปิดบังใบหน้าไปกว่าครึ่ง มองดูเ**่ยวเฉาซึมเซา
“ศิษย์พี่กู่ถิง” นางเรียกครั้งหนึ่งก่อนร่อนลงข้างชายหนุ่ม
เขาตกใจเล็กน้อย เมื่อเห็นนางกลับมาเพียงคนเดียว ก็ขมวดคิ้วอย่างอดไม่ได้ “ฝูชางเล่า”
นางยกมือขึ้นปิดปากยิ้ม “ศิษย์พี่ฝูชางกับเทพีซีเหอมีความรู้สึกดีๆ ต่อกันจริงๆ “
แย่แล้ว ฝูชางกำลังถูกเทพีซีเหอรั้งให้อยู่ฟังนางพร่ำพรรณนาความรู้สึกอยู่เป็นแน่ ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จึงจะออกมาได้ กู่ถิงมองวังวั่งซูอย่างหดหู่ ไม่พูดไม่จาอยู่นาน
เสวียนอี่เอียงคอพินิจพิเคราะห์ใบหน้าครึ่งซีกของเขาที่ถูกบดบัง ดูแล้วราวกับถูกใครตีจนบวม บนเสื้อผ้าก็มีฝุ่นเกาะเต็มไปหมด ดูแล้วอเนจอนาถที่สุด นางอดไม่ได้ที่จะถามว่า “ศิษย์พี่กู่ถิง ท่านเป็นอะไรไป”
กู่ถิงเห็นรอยยิ้มระบายเต็มหน้านาง ในใจก็ยิ่งไม่สบอารมณ์ ขณะที่กำลังจะเอ่ยปากขึ้น กลับได้ยินเสียงลมเคลื่อนไหวเหนือศีรษะ ฝูชางในชุดขาวยิ่งกว่าหิมะค่อยๆ พลิ้วกายโรยตัวลงมาที่ข้างเขา ชายหนุ่มจึงถามด้วยความประหลาดใจ “เทพีซีเหอไม่ได้ทำอะไรให้เจ้าลำบากใจใช่หรือไม่”
ฝูชางมีสีหน้าเรียบราวผิวน้ำ บ่ายเบี่ยงไม่ตอบ เพียงถามว่า “หน้าท่านเป็นอะไรมา”
กู่ถิงลูบรอยแผลอย่างกระอักกระอ่วน “วันนี้เทพีวั่งซูไม่อยู่ มีเพียงเฟยเหลียนที่อยู่ในวังวั่งซู แก่นจันทราก็ไปเอามาไม่ได้”
เทพเฟยเหลียนแม้เป็นเพียงทูตนำทางของเทพีวั่งซู ทว่ายามนี้วั่งซูไม่อยู่ ธุระทั้งหมดในวังวั่งซูจึงกลายเป็นหน้าที่เขา เทพองค์นี้เจ้าอารมณ์ อัธยาศัยไม่ดีอย่างยิ่ง ซ้ำยังเป็นเพราะว่ามหาเทพไป๋เจ๋อเคยส่งลูกศิษย์มาถอนผมก่อนหน้านี้อยู่บ่อยครั้ง ยิ่งทำให้ความประทับใจต่อพวกเขายิ่งแย่ไปกันใหญ่ คำพูดผิดหูนิดเดียวก็ลงไม้ลงมือ อายุของเทพเฟยเหลียนมากกว่าทั้งสามคนหลายแสนปี ใครจะไปเอาชนะได้ แม้แต่องค์ชายเก้าไท่เหยาก็เคยปะทะกับเขามาแล้ว วันนี้ยิ่งหนักกว่าเดิม แม้แต่หน้าของเทพเฟยเหลียนก็ยังไม่ได้พบ พอประตูเปิดก็ถูกโจมตีด้วยทรายจันทราจนหมดสภาพ หน้าบวมเป่งหมดแล้ว
“เช่นนั้นก็กลับไปเถอะ” ฝูชางหันตัวกลับ ไม่มองเสวียนอี่ตั้งแต่ต้นจนจบ
เสวียนอี่มองประเมินฝูชาง จู่ๆ ก็เอียงศีรษะมองพลางชี้ที่แขนเสื้อตัวเอง เอ่ยปากอย่างไม่ทุกข์ร้อน “ศิษย์พี่ฝูชางเสน่ห์แรงจริงๆ “
ฝูชางก้มหน้าลง พบว่าแขนเสื้อขาวราวหิมะเป็นรอยเครื่องสำอางบางๆ ต้องเป็นตอนที่กำลังออกจากวังซีเหอแน่ๆ เทพีซีเหอรั้งเขาไว้ก่อนจะร้องไห้แล้วทิ้งรอยพวกนี้ไว้
ดวงตาทั้งคู่ของเขาหรี่ลงเล็กน้อย ชำเลืองมองกระโปรงเสวียนอี่ที่ใช้หิมะขาวกลบเอาไว้ เอ่ยเรียบๆ “ไม่เลว กระโปรงเจ้าก็ถูกไหม้จนไม่เหมือนใครเหมือนกัน”
เสวียนอี่ถอนหายใจ ตอนนี้ทั้งแค้นเก่าแค้นใหม่ล้วนฝังในใจ นางก้าวขึ้นหน้าไปก้าวหนึ่ง ยังไม่ทันเอ่ยอะไร กลับเห็นว่ารอยแยกตรงประตูคางคกเงินสามขาค่อยๆ เปิดออก ลมหนาวสะท้านพุ่งออกมาปะทะเข้ากับเสื้อผ้าและเรือนผมของเทพทั้งสาม
มีเสียงคำรามเย็นชาลอยออกมาจากภายในตำหนัก “มีพวกสวะมาอีกแล้ว หากเจ้าไม่ไป เช่นนั้นก็ไม่ต้องไปแล้ว! “
เสวียนอี่รู้สึกเพียงว่าแรงหายใจหนักๆ นั้นดึงตัวนางไว้ แล้วถูกฉุดเข้าไปในตำหนัก ใช้กำลังลากเข้าไปอย่างไร้ความเกรงใจ นางพยายามซ่อนตัวอย่างร้อนรน ในเวลาต่อมา ลมพายุโหมแรงขึ้นทันที ทรายจันทราในอ่างดอกไม้ใหญ่ทั้งสี่ลอยขึ้นมา ไม่เพียงทำให้ตาพร่าเท่านั้น บนหน้ายังรู้สึกเจ็บราวถูกมีดกรีดพวกมันหมุนซัดเข้ามาไม่ขาดสาย พัวพันอย่างไร้ความปรานี ตรงเข้ามากระทบร่างของทั้งสาม ราวกับว่าตั้งใจจะทำให้พวกเขาบาดเจ็บ
กู่ถิงรีบตะโกนขึ้น “เทพเฟยเหลียนโปรดอภัย! พวกข้ามาที่นี่ไม่มีเจตนาอื่น! เพียงมาตามคำสั่งท่านอาจารย์เท่านั้น! มิเช่นนั้นคงไม่มารบกวนท่าน! “
น้ำเสียงแหบพร่าของเทพเฟยเหลียนดังออกมาตามห่าทรายจันทรา “แม้มาจากตาเฒ่ามหาเทพไป๋เจ๋อนั่น ไม่ว่ากี่ครั้งก็ทำเรื่องไร้สาระจะมาเอาผมข้า! ข้าไม่สนว่าเขาจะเอาผมข้าไปทำอะไร แต่วันนี้ข้าจะตัดมือตัดเท้าพวกเจ้าให้ได้ ให้เขารู้เสียบ้างว่าข้าร้ายกาจแค่ไหน! “
ทรายจันทราหยุดลงทันที เสวียนอี่ค่อยๆ สะบัดมือ ภายในตำหนักเริ่มมีหิมะโปรยปรายไปทั่ว เมื่อหิมะลอยอยู่กับทรายจันทรา ทรายระยิบระยับสีทองพวกนี้จึงกลายเป็นฝนตกลงมาในพริบตา แล้วสลายตัวไป
นางค่อยๆ โรยตัวลงพื้น จัดชุดตัวเอง เอ่ยขึ้นเรียบๆ “ท่านนี่โมโหร้ายจริงๆ “
ตรงหน้าเงียบไปครู่หนึ่ง จู่ๆ เงาสูงก็ออกมาจากด้านหลังตำหนัก ร่างผู้มาใหม่อยู่ในชุดยาวสีดอกประดู่ แม้ว่าใบหน้านั้นจะสง่างาม ทว่าจมูกงอราวนกเหยี่ยวนั้นช่วยเพิ่มความโหดร้ายหยาบกระด้างมากขึ้น ที่น่าประหลาดเป็นพิเศษคือผมยาวตรงของเขา สีเงินยวงราวแสงจันทร์ เป็นประกายแวววาว ทั้งยังไม่กระดิก ดูน่าอัศจรรย์ใจยิ่งนัก
มิน่าเล่ามหาเทพไป๋เจ๋อถึงอยากได้เส้นผมของเขานัก…เสวียนอี่เข้าใจในบัดดล
“มองอะไร?! ” เทพเฟยเหลียนตะคอกเสียงเย็นชา มองนางอย่างเ**้ยมโหด เรือนผมสีเงินพลิ้วสะบัด “ที่แท้เป็นลูกหลานของตระกูลจู๋อินนี่เอง! เฮอะ! เจ้าอายุซักเท่าไหร่กันเชียว ริอ่านจะมาขู่ข้ารึ?! เจ้าไม่กลัวหยินหยางกับธาตุทั้งห้าแล้วหรืออย่างไร หรือว่าข้าต้องกลัวเจ้า?! ดูเจ้าเด็กสุดแล้ว ข้าจะให้เจ้าแสดงฝีมือก่อนเลย! มา! “
เสวียนอี่ส่ายหัว “ทุกวันนี้การต่อสู้เป็นเรื่องของคนพาล แม้ท่านเทพไม่ต้องการมอบเส้นผมของท่านให้ ทว่าเราก็ได้รับคำสั่งจากท่านอาจารย์ให้มาเอา เช่นนี้ดีหรือไม่ เทพเฟยเหลียน เรามาพนันกัน หากข้าชนะ ท่านต้องให้เส้นผมสามเส้นและแก่นจันทราสามท่อนให้ข้า หากท่านชนะ ท่านลงโทษศิษย์พี่ทั้งสองของข้าได้ตามใจชอบ อยากทำอะไรก็ได้”
นางมารร้ายใจดำอำมหิต! กู่ถิงบันดาลโทสะ “เจ้าพูดอะ…”
เสวียนอี่ไม่รอให้เขาพูดจบ คลี่ยิ้มปลอบ “ศิษย์พี่กู่ถิง พวกเราลงเรือลำเดียวกันแล้ว”
เรือลำเดียวกันกับผีสิ! นางยังอยู่บนฝั่งต่างหาก! การพนันครั้งนี้ฟังดูแล้วก็ยุติธรรมดี หากชนะก็ยกความดีให้นาง แต่ถ้าแพ้เขาทั้งสองก็ซวย!
เทพเฟยเหลียนไม่ได้กินหญ้าแต่อย่างใด ทำตาประหลับประเหลือกมองบน “เจ้ายังเยาว์นัก แต่เอาตัวรอดเก่งจริงๆ ทำไมข้าต้องพนันกับเจ้าด้วย?! “
เสวียนอี่มองผมสีเงินเงางามของเขา ยามถูกยั่วยุผมยาวเรียบจะตั้งตรงขึ้นราวงู แบบนี้ พูดเรื่องปรองดองกันไปก็ไร้ผล
นางนิ่งคิดแล้วเอ่ย “คำพูดของท่านก็มีเหตุผล หากข้ามีวิธีทำให้ผมท่านลงมาสงบได้ แล้วยังช่วยให้เปลี่ยนกลับเป็นสีดำราวขนกา ท่านจะยอมพนันกับข้าใช่หรือไม่”
พายุคลั่งสงบลงทันที เขามองนางอย่างดูท่าที “จริงหรือ เจ้าควรจะรู้ผลของการโกหกข้า ข้าไม่สนว่าเจ้าเป็นเชื้อสายตระกูลจู๋อินที่ไหน ต่อให้มหาเทพเขาจงซานมา ข้าก็ไม่กลัว! “
เสวียนอี่พูดเรียบๆ “ในเมื่อท่านเทพมีความเข้าใจเช่นนี้ แล้วยังกลัวข้าโกหกทำไม พนันหรือไม่ พูดมาคำเดียว”
เฟยเหลียนมองนางด้วยสายตาเ**้ยมเกรียมพักเดียว เขาลองมาหลายวิธี แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ยังไม่สามารถเปลี่ยนกลับไปเป็นสภาพเมื่อยามเยาว์วัยได้ จนกระทั่งมาถึงวันนี้ เห็นว่าใกล้วัยชราเต็มที แล้วยังไม่มีภรรยา ไม่มีผู้สืบสกุล เส้นผมเป็นความเจ็บปวดอย่างหนึ่งของเขา นำมาซึ่งความยุ่งยากและเรื่องปวดหัวนับไม่ถ้วน ที่เขาโมโหร้าย สาเหตุก็มาจากมันเสียมากกว่าครึ่ง
“พูดพล่อยๆ ” เขาเดินไปข้างหน้า “เจ้าลองทำให้ข้าดูก่อนสิ”
เสวียนอี่ยิ้มพลางพูด “ได้ ท่านอย่ากะพริบตาเชียว”
ปลายนิ้วขาวสะอาดของนางมีกลุ่มหมอกสีดำพ่นออกมา นางค่อยๆ ปั้นมันเบาๆ ราวปั้นดอกปุยฝ้าย แล้วเป่าลมออกไป พวกมันร่วงหล่นบนผมของเทพเฟยเหลียนเป็นกลุ่มก้อน ก่อนจะสลายหายไปราวกับหิมะ
ที่น่าแปลกใจ คือ พอกลุ่มหมอกสีดำร่วงลงไป ผมของเขาก็เปลี่ยนเป็นสีเทาชั้นหนึ่ง ทั้งยังซึมลงไปหนึ่งนิ้ว จนกลุ่มหมอกดำหายไปในเส้นผมทั้งหมด เทพเฟยเหลียนจับผมตนดูอย่างดีใจ ไม่เห็นกันมาหลายแสนปี ผมดำสนิทเยี่ยงนี้ ราวกับฝันไป
เขาลูบผมอย่างตะลึงงัน จู่ๆ ก็เงยหน้าขึ้น ตาเป็นประกายจับจ้องที่เสวียนอี่
“เจ้าใช้วิธีใด” น้ำเสียงของเขาอ่อนโยนขึ้นมาก
เสวียนอี่ตอบจริงจัง “นี่คือพลังมืดของพวกจู๋อิน พลังความมืดจากทั่วทุกสารทิศ พอดีที่จะเติมเต็มพลังเทพของท่าน แล้วยังสามารถจัดการได้หมด ตอนนี้ท่านเชื่อข้าแล้วใช่หรือไม่”
เทพเฟยเหลียนหันไปลูบผมอยู่อีกด้าน สีหน้าเปลี่ยนทันที พูดน้ำเสียงขู่เข็ญ “เจ้านี่มันเจ้าเล่ห์นัก! จัดการผมข้าเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น! “
การกระทำเมื่อครู่ของเขาดูแล้วน่าขบขันที่สุด ผมด้านหนึ่งสีดำสนิทคลุมอยู่ด้านหลัง ผมอีกด้านกลับยังขาวเป็นประกายราวงูกลางอากาศ นางจงใจทำเช่นนี้!
เสวียนอี่ยิ้มอย่างสง่างาม “ท่านเทพ ตอนนี้จะเริ่มได้หรือยัง”
—
[1] เค่อ หน่วยวัดเวลาของจีน 1 เค่อ เท่ากับ 15 นาที