บุหลันเคียงรัก - บทที่ 140 ความฝันอันเงียบงัน
เสวียนอี่ฝันเห็นตนเองอยู่ในทุ่งรกร้างมองไม่เห็นที่สิ้นสุดแห่งหนึ่ง ต้นตี้หนี่ว์ซางต้นนั้นของโลกมนุษย์ยืนต้นเด่นตระหง่านอยู่ตรงหน้า ใบไม้ถูกลมพัดจนพลิ้วไหวน้อยๆ ส่งเสียงดังซ่าๆ สดใส
ด้านหลังมีเสียงฝีเท้าดังใกล้เข้ามา นางหมุนตัวกลับไป เทพบุตรชุดขาวกำลังเดินมาที่นาง นางจงใจไม่ให้ตัวเองไปคิดถึงเขา แต่ว่าเขากลับแทรกตัวเองเข้ามาในฝันของนาง
ถ้าอย่างนั้นก็มาเถอะ มาอยู่เป็นเพื่อนนาง
เสวียนอี่ยื่นมือไปหาเขา ที่นี่ก็คือทิวทัศน์สามพันและดินแดนสุดหล้าฟ้าเขียวของพวกเขา
เทพบุตรชุดขาวกุมมือนางเอาไว้ นางรู้สึกด้านหน้าพลันมีแสงสว่างวาบผ่าน ฉุนจวินสีน้ำเงินพลันแทงทะลุร่างของนางไป ความตกใจหวาดกลัวและเจ็บปวดไหลเอ่อออกมาพร้อมกับเลือดสดๆ ที่ไหลออกมาจากปาก ไหลลงไปที่ลำคอ
เสวียนอี่พลันตกใจตื่นขึ้น นอกหน้าต่างฟ้าสว่างแล้ว เหงื่อไหลซึมออกมาจนชุดผ้าไหมเปียกชื้น นางนิ่งงันไปนานมากก็ยังดึงสติกลับมาไม่ได้
…สุดท้ายนางก็ฝันอยู่ดี
หลังจากอาบน้ำ นางนอนเป่าผมอยู่บนตั่งนุ่มในเรือน เอามือมาวางไว้เบื้องหน้าแล้วมองดู ต่อให้ฝันเห็นตนเองกลายเป็นฝุ่นสีดำก็ยังไม่ทำให้นางตกใจมากขนาดนี้เลย ความฝันนี้หมายถึงอะไรกัน นางจะดับสูญหรือว่าไม่ดับสูญกันแน่ เพราะอะไรฝูชางถึงใช้ฉุนจวินฆ่านางกัน
บอกตามตรง หากว่าเซ่าอี๋เอามีดยาวขนนกเล่มนั้นแทงนาง นางยังรู้สึกว่าเหมาะสมกว่าเลย
เหล่าเทพีรับใช้พลันถอยออกไปทำความเคารพพร้อมกัน แล้วเสียงของเซ่าอี๋ก็ดังขึ้นมา “ปลาดุกอุยน้อย ควรจะเปลี่ยนชุดได้แล้ว”
เสวียนอี่พลิกตัวแล้วลุกขึ้นนั่ง ก็เห็นว่าในมือเขาถือชุดนักรบสีแดงของนางชุดนั้นเดินเข้ามา นางไม่ได้กล่าวอะไร เพียงรับมาแล้วตั้งท่าจะกลับไปที่ตำหนักหยวนจัน เซ่าอี๋กลับจับบ่านางไว้แล้วก้มหน้ามองใบหน้านางอย่างละเอียด “เจ้านอนหลับครั้งนี้หลับไปสองวัน ทำไมยิ่งนอนยิ่งไม่กระปรี้กระเปร่าเสียเล่า”
นางจะต้องไปตายอยู่แล้ว ยังไม่ยอมให้นางซึมเซาสักหน่อยอีกหรือ
เสวียนอี่ใช้มือผลักเขา เขากลับไม่ขยับเขยื้อนเลยสักนิด แล้วกล่าวเสียงต่ำว่า “เจ้ามีฝันบอกเหตุแล้วหรือ”
นางขมวดคิ้ว “ปล่อยมือ”
เซ่าอี๋จ้องนางครู่หนึ่งแล้วปล่อยมือออกช้าๆ นางรีบเดินไปที่ตำหนักหยวนจันอย่างเร็ว ไม่นานก็เปลี่ยนชุดเป็นชุดนักรบสีแดงสดออกมา ผมของนางประดับวงแหวนทองอร่ามเป็นประกาย ด้วยใบหน้าที่งดงามของนางทำให้ผิวขาวซีดของนางดูมีชีวิตชีวาขึ้นมามาก
“ไปทานอาหารก่อนเถอะ”
เขาใช้มือแสดงท่าทาง เหล่าเทพีรับใช้ต่างก็เตรียมโต๊ะยาวทันทีพร้อมยกอาหารเลิศรสขึ้นมา ทั้งยังจงใจวางอาหารไว้เบื้องหน้าเสวียนอี่อีก ในนั้นมีขนมธัญพืชเกล็ดหิมะวางเรียงอยู่สองแถว
เป็นผีที่ท้องอิ่มก็ดีเหมือนกัน
เสวียนอี่คิดอย่างมองโลกแง่ร้าย นางกินขนมทั้งสองแถวนั้นจนหมดเกลี้ยง แล้วยังดื่มชาคืนกำเนิดไปอีกกว่าครึ่งกา
ตอนที่ออกไปจากเขตแดนเมฆานั้น รถคันยาวห้าสีของตระกูลชิงหยางก็รออยู่ด้านนอกแล้ว หงส์แดงตัวใหญ่สองตัวที่ใช้ลากรถเอาหัวมาคลอเคลียเซ่าอี๋อย่างสนิทสนม
เสวียนอี่อึ้งไปครู่หนึ่งแล้วพลันกล่าวว่า “ข้าอยากไปดูชิงเยี่ยนกับท่านพ่ออีกครั้ง”
เซ่าอี๋กล่าว “พวกเขาอยู่บนรถ”
นางรีบเดินไปทางรถคันยาว เทพรับใช้รีบเปิดประตูรถอย่างเคารพนบนอบทันที มหาเทพจงซานกับชิงเยี่ยนถูกวางไว้บนเตียงงาช้างในตัวรถ นางพุ่งเข้าไปหาชิงเยี่ยนก่อน แต่กลับเห็นเขาขมวดคิ้วมุ่นกุมอกเอาไว้ จึงพลันกล่าวว่า “…ท่านใช้ขนหัวใจหงส์กับเขาหรือ”
คิดว่าหากนางทำไม่สำเร็จจะให้ชิงเยี่ยนไปทำงั้นหรือ และหากชิงเยี่ยนไม่สำเร็จก็จะให้ท่านพ่อไปทำต่อหรือ
เซ่าอี๋เดินเข้ามาแล้วอุ้มนางขึ้นไปบนรถคันยาวพร้อมกล่าวเสียงเรียบว่า “เจ้าคงไม่ยินดีที่จะให้พวกเขาเห็นเจ้าเข้าไปในทะเลหลีเฮิ่นสินะ หากว่าให้องค์ชายน้อยตื่นขึ้นมา เขาจะต้องเข้ามาขวางมือขวางเท้าแน่ ขนหัวใจหงส์เป็นของท่านพ่อข้า เจ้าวางใจได้ ไม่ว่าเจ้าจะทำสำเร็จหรือไม่ ข้าก็จะส่งพวกเขากลับไปยังเขาจงซานและเก็บเอาขนหัวใจหงส์กลับมา”
นางเชื่อเขาได้ด้วยหรือ?!
“ตอนนี้ทะเลหลีเฮิ่นไม่เหมือนกับแต่ก่อนแล้ว มันกลืนกินเผ่าเทพได้เอง เคยมีนักรบอยากเข้าไปตรวจสอบสถานการณ์ภายในเหมือนกัน แต่กลับไม่มีใครที่ออกมาได้เลย ทั้งหมดต่างดับสูญอยู่ในนั้น ข้าบอกแล้วว่า มีเพียงตระกูลจู๋อินเท่านั้นที่จะสามารถกลับออกมาได้โดยไม่เป็นอะไร หากว่าเจ้าทำไม่ได้ ใต้หล้านี้ก็ไม่มีใครทำได้แล้ว ทั้งท่านพ่อและพี่เจ้าต่างก็ไม่เหมาะ ข้าเพียงแค่อยากจะจัดการเรื่องทะเลหลีเฮิ่นเท่านั้น ไม่ได้อยากจะยืมเรื่องนี้มาจัดการกับตระกูลจู๋อิน”
สีหน้าเสวียนอี่เคร่งขรึมลงและไม่กล่าวอะไร รถคันยาวถูกลากไปช้าๆ และบินสูงขึ้น ในตัวรถมีเพียงเสียงหอบหายใจหนักของชิงเยี่ยนและท่านพ่อเท่านั้น
“เพราะอะไรถึงต้องเป็นข้า” ตอนที่รถคันยาวบินผ่านหอคอยสีขาวของตำหนักไป นางก็อดที่จะถามออกมาไม่ได้
พูดถึงตบะแล้ว นางก็มีตบะเพียงสามหมื่นสามพันปีเท่านั้น ต่อให้พรสวรรค์สูงส่งอย่างไรก็ยังห่างกับมหาเทพจงซานมาก กับชิงเยี่ยนก็ยังห่างกันอยู่พอตัว ทว่าเขากลับเอาแต่จ้องนางไม่เลิก ถึงแม้ว่าเป็นอย่างนี้ก็ดี แต่ว่านางก็ยังคงไม่เข้าใจในจุดนี้
วันนี้เซ่าอี๋กลับมีท่าทีผิดแปลกไปจากเดิม ใบหน้าเขาไม่มีรอยยิ้มปรากฏออกมา เขากอดอกแล้วนั่งลงบนเบาะ หลังพิงไปกับตัวรถแล้วกล่าวแค่ว่า “อย่าประเมินตัวเองต่ำไปนัก เจ้าแข็งแกร่งกว่าที่ตัวเองคิดไว้มาก ยิ่งไปกว่านั้น ก็มีเพียงเจ้าที่ในร่างมีขนหัวใจข้าอยู่สามเส้น”
หรือว่ามีขนหัวใจหงส์สามเส้นแล้วร่างนั้นจะยอมรับนาง แล้วจะลงไปนอนยอมให้นางแช่แข็งดีๆ หรือไง
เซ่าอี๋พลันเป่าลมหายใจออกมา มือทั้งสองกุมบ่าของนางไว้พลางกล่าวด้วยสีหน้าจริงจังว่า “เจ้าฟังให้ดี ไม่ว่าด้านในจะไปพบอะไรเข้า ขอแค่พยายามทุ่มเทสุดพลังแล้วต่อสู้ไป ใกล้จะดับสูญก็ยังไม่ต้องกลัว เจ้ามีขนหัวใจหงส์สามเส้นของข้า ก็เท่ากับว่าเจ้ามีสามชีวิต”
เสวียนอี่เข้าใจความต้องการของเขาขึ้นมา “ที่ท่านให้ขนหัวใจหงส์สามเส้นกับข้าก็เพราะอย่างนี้หรือ”
นางคิดมาตลอดว่าที่เขาไม่ยอมตัดสัมพันธ์ขนหัวใจหงส์ออกก็เพื่อวางแผนไว้รอวันนี้ จับตระกูลจู๋อินทั้งสามมาแล้วแก้แค้นเรื่องในอดีต ที่แท้มันยังมีประโยชน์อย่างนี้ด้วย ก็ใช่ ตอนนั้นที่เขาช่วยนางไว้เขามีอายุได้สองหมื่นปี มีขนหัวใจหงส์แค่เพียงสองเส้นเท่านั้น เขาเอาทั้งหมดมาให้นาง เพื่อแบกชีวิตแทนนางเขาไม่สามารถเอาขนหัวใจหงส์กลับไปให้ชิงเยี่ยนหรือท่านพ่อ มหาเทพชิงหยางที่ให้ขนหัวใจหงส์กับท่านพ่อยังมีร่างกายอ่อนแออีก เกรงว่าคงจะอดทนต่อทะเลหลีเฮิ่นไม่ได้ เลือกไปเลือกมาก็เหลือเพียงแต่นางที่สามารถแปลงร่างเป็นมนุษย์ได้ตั้งแต่อายุเพียงสองร้อยปีเท่านั้น อย่างไรก็ยังพอจะใช้คำว่าพรสวรรค์มาปลอบใจตนเองได้บ้าง
เซ่าอี๋ไม่ได้กล่าวอะไร รอบด้านพลันกลายเป็นสีแดงเพลิง เสวียนอี่หันไปมองนอกหน้าต่างอย่างประหลาดใจ ถึงได้พบว่าหงส์แดงยักษ์ทั้งสองกำลังบินไปทางภูเขาไฟอย่างรวดเร็ว มันมุดหัวลงไปในลาวาสีขาว ทันใดนั้น ลาวาในภูเขาไฟก็หายไป ตัวรถตกอยู่ในความมืดมิด
เขานิ่งงันไปชั่วครู่ รู้สึกว่ามือทั้งสองที่บีบไหล่ของนางอยู่ตกลงไปที่หลัง ทั้งยังออกแรงโอบนางเข้าไปในอ้อมอก จากนั้นริมฝีปากที่ร้อนราวกับเปลวเพลิงก็ประทับลงมา เขาเกี่ยวกระหวัดนางเอาไว้อย่างรุนแรงดุดัน ไม่เหมือนกับท่าทีนุ่มนวลอบอุ่นสบายๆ ในยามปกติของเซ่าอี๋เลย ไขสันหลังของนางราวกับจะถูกเขาบีบจนแตกแล้ว
ความร้อนระอุของเปลวเพลิงและความเยือกเย็นของน้ำแข็งปะทะกัน ตอนนี้เขาก็คือกลุ่มเปลวเพลิงที่แท้จริง เขาแสดงมันออกมาท่ามกลางความมืดที่ยื่นมือออกไปก็ไม่เห็นแม้แต่นิ้วเดียว
ไม่นาน นอกหน้าต่างรถก็เริ่มมีแสงสว่างน้อยนิดส่งมา เซ่าอี๋ปล่อยเสวียนอี่ทันที ร่างของเขามีมีดน้ำแข็งปักอยู่หลายเล่ม แต่เขากลับไม่ได้สนใจ น้ำเสียงทั้งแหบแห้งและดุดัน “หากว่าเจ้าดับสูญไปเสียก็ดี ทำอย่างนั้นข้าจะได้จดจำเจ้าไว้ในใจตลอดไปได้”
นางคือตระกูลจู๋อิน คือผู้ที่ในโลกนี้ไม่ว่าใครก็ดำรงอยู่ได้แต่มีเพียงนางเท่านั้นที่ดำรงอยู่ไม่ได้ คือเทพธิดาที่เขาส่งนางไปยังเส้นทางแห่งการดับสูญด้วยมือของเขาเอง
แต่ว่าการกระทำเหล่านี้ที่แท้หาได้มีประโยชน์ไม่
เพียงแต่ อารมณ์ความรู้สึกคือมายาอันล่องลอย วันนี้รัก พรุ่งนี้แค้น วันหลังบางทีอาจจะไม่เหลืออะไรอีกแล้ว แม้ว่าความรู้สึกและอารมณ์จะหายไป ในเมื่อนางได้ฝันบอกเหตุไว้ก่อนแล้ว ในเมื่อเขาคือผู้ที่ยื่นมีดให้กับมือเอง ถ้าเช่นนั้นนางก็ดับสูญไปในช่วงเวลาที่ดีที่สุดอย่างนี้แล้วกัน
ท้องฟ้าเริ่มสว่างขึ้นมา รถคันยาวที่เดิมเข้าไปในทางโบราณอีกสาย เสวียนอี่ถอยไปด้านหลังสองก้าว ดึงมีดน้ำแข็งออก นางไม่ได้กล่าวอะไร เพียงแค่พิงไปกับตัวรถแล้วมองไปยังผืนดินแดนเทพที่มีแสงสาดส่องด้านนอก
เซ่าอี๋เองก็ไม่ได้กล่าวอะไร เขายังคงกอดอกไว้ แพขนตายาวหลุบต่ำ เขามองไปนอกหน้าต่างอย่างสง่างามและนิ่งสงบราวกับรูปสลัก เสมือนว่าทุกอย่างในความมืดเมื่อครู่นี้เป็นเพียงภาพมายาฉากหนึ่งเท่านั้น
ในที่สุด รถคันยาวก็มาถึงป่าของโลกเบื้องล่างที่มีไอขุ่นมัวเข้มข้นผิดปกติสายหนึ่ง
“ดูแลพวกเขาให้ดี” เซ่าอี๋กำชับเหล่าเทพขุนนางสองคนที่ทิ้งให้คอยดูแลตระกูลจู๋อินทั้งสอง แล้วกล่าวเสียงเย็นกำชับเสวียนอี่ “มากับข้า ที่นี่มีทางลับไปทะเลหลีเฮิ่นที่ข้าสร้างไว้ตอนอยู่ในหน่วยอู้เฉิน”
เสวียนอี่หันกลับไปมองภายในตัวรถครั้งสุดท้าย ท่านพ่อและท่านพี่ผู้เก่งกาจไร้พ่ายในใต้หล้าทั้งสองของนาง ยามนี้กลับแลดูอ่อนนุ่มดุจปุยนุ่น รอให้พวกเขาฟื้นขึ้นมาแล้วไม่รู้ว่าพวกเขาจะคลุ้มคลั่งขนาดไหน
ไม่ว่าอย่างไร อย่าร้องไห้ก็พอ และอย่าให้ฉีหนานร้องไห้ด้วย เขาร้องไห้ทีไรหน้าก็บวมจนขี้เหร่มาก
เสวียนอี่เก็บสายตากลับมา จากนั้นก็เดินตามหลังเซ่าอี๋ไปยังทางลับโดยไม่แม้แต่จะเหลียวหลังกลับมามอง