บุหลันเคียงรัก - บทที่ 141 เมืองแห่งเม็ดทราย
เดินไปชั่วเวลาจิบชา เบื้องหน้าพลันมีแสงสว่าง เซ่าอี๋หยุดอยู่หน้ากอดอกมู่ฝูหรง[1]กอหนึ่ง ดอกมู่ฝูหรงกอนี้ของโลกมนุษย์ถูกไอขุ่นมัวย้อมจนกลายเป็นสีดำสนิทแล้ว ใบไม้สั่นไหวราวกับมีชีวิต ด้านหน้าไม่ไกลมีแสงสว่างจากค่ายกลแสงใหญ่ ภายในค่ายกลก็คือทะเลหลีเฮิ่นที่มืดมิดและลึกล้ำ
เสวียนอี่เพิ่งได้มองมันใกล้ๆ อย่างนี้เป็นครั้งแรก ยากจะจินตนาการได้จริงๆ ว่าท่านปู่ทวดของนางคนนั้นจะเก่งกาจขนาดไหน นางยังไม่เคยได้เห็นพลังมืดจู๋อินที่มหาศาลขนาดนี้มาก่อนเลย
“นักรบที่คอยดูค่ายกลทำให้ยุ่งยากเล็กน้อย ข้าจะช่วยล่อพวกเขาออกไปให้เจ้า”
เซ่าอี๋หลับตาลง อัญมณีสีแดงเพลิงที่หน้าผากพลันสว่างวาบขึ้นมา ผ่านไปนาน ใบหน้าเขาก็ขาวซีดลงเรื่อยๆ สุดท้ายเขาก็ลืมตา หยาดเหงื่อไหลลงไปตามสันโครงหน้า “ได้แล้ว รอก่อน”
เสวียนอี่ไม่กล่าวอะไรย่อตัวนั่งลงด้านหลังกอต้นมู่ฝูหรง มองใบสีดำสนิทของมันถูกลมพัดจนสั่นไหวอยู่เงียบๆ ไม่นาน ลมก็พัดแรงขึ้นเรื่อนๆ นางเงยหน้ามองขึ้นไปบนฟ้า หมอกปีศาจสีเหลืองกลุ่มหนึ่งกำลังก่อตัวขึ้นมา นางอดที่จะสูดหายใจเฮือกขึ้นมาไม่ได้
“เรียกราชาจื่อโฉ่วมา” เซ่าอี๋ยกยิ้มมุมปากน้อยๆ “มีราชาหลายตนที่ดูดกลืนเศษแผ่นดินเข้าไปนานมาก ตอนนี้ความยึดติดทำร้ายพวกเขาไปมากพอดูแล้ว คิดว่าราชาตนนี้คือตนสุดท้ายที่ข้าจะสามารถควบคุมได้แล้ว สายสัมพันธ์ยึดติดกำลังจะขาดลงแล้ว”
นางก็คิดอยู่ว่าตอนที่ฆ่าราชาหูเซินและราชาซางเหม่ามันดูแปลกมาก เพราะอะไรราชาหูเซินถึงได้เอาแต่จ้องไปที่ชิงเยี่ยน คลื่นสีดำสุดท้ายยังจงใจฉีดพ่นพาเขาไปเสียไกลอีก ที่แท้ก็เป็นฝีมือเซ่าอี๋นี่เอง
หน่วยอู้เฉินยามนี้วุ่นวายไปทั่ว เหล่านักรบที่คอยดูค่ายกลอยู่ต่างทยอยมารับศึก เห็นพวกเขาถอยไปพอประมาณแล้ว เสวียนอี่ก็รีบอ้อมกอมู่ฝูหรงไปทันที บินมุ่งไปทางทะเลหลีเฮิ่น
ลมบริสุทธิ์พัดมาปะทะใบหน้า เสวียนอี่พลันรู้สึกไม่ดีขึ้นมา จึงรีบสร้างกำแพงน้ำแข็ง มีเสียงดัง “แต๊ง” มังกรทองขนาดใหญ่ตัวหนึ่งชนจนทำให้กำแพงน้ำแข็งของนางแตก มันอ้าปากสีทองขนาดใหญ่คิดจะกลืนนางลงไป
ปราณกระบี่จำแลงมังกร!
นางรีบหลบอย่างร้อนรน และสร้างกำแพงน้ำแข็งขึ้นมาอีกครั้ง มีเสียงดังขึ้นอีก คราวนี้กำแพงเพียงแค่สั่นไหวแต่ไม่ได้สลายไป เสวียนอี่หยุดเท้าลงแล้วค่อยๆ หันไปสบตาเข้ากับแววตาสีดำลึกล้ำคู่หนึ่ง
เฮ้อ ตอนนี้คนที่นางไม่อยากจะพบที่สุด ก็คือเขา
เทพบุตรในชุดขาวสะบัดแขนเสื้อ แล้วมุ่งมาทางกำแพงน้ำแข็ง เสวียนอี่จ้องไปที่ดวงตาของเขา อย่าเข้ามา อย่าเข้ามา นางกำลังจะเอาชีวิตไปทิ้ง ท่านจะมาทำไม ทำไมท่านถึงมาทะเลหลีเฮิ่นนี่เสียได้
แววตาของนางราวกับกำลังร้องขอ เสมือนกำลังขอร้องให้เขารีบจากไป ฝูชางไม่ได้หยุด เขาไล่ตามมาตลอดทางนับตั้งแต่แดนเทพจนถึงโลกมนุษย์ ไม่ใช่เพราะได้ยินว่านางจะไปทะเลหลีเฮิ่น และไม่ใช่เพื่อมองท่าทีเช่นนี้ของนาง เขาไม่ชอบท่าทีเช่นนี้ของนางเลยจริงๆ
เขาทาบมือลงบนกำแพงน้ำแข็งเบาๆ น้ำเสียงที่เยือกเย็นยิ่งกว่าน้ำแข็งส่งออกมา “เอากำแพงน้ำแข็งออกไปเถอะ”
หัวใจภายในทรวงอกราวกับจะปริแตกอีกแล้ว ความเจ็บปวดนี้ทำให้เสวียนอี่สงสัยขึ้นมาว่าแผลที่หัวใจของนางกำเริบขึ้นมาอีกแล้วใช่หรือไม่ นางก้มหน้ายิ้มแล้วลอยเข้าไป ฝ่ามือของนางแนบไปกับฝ่ามือของเขาโดยมีกำแพงน้ำแข็งคั่นกลาง
“ไม่ต้องมอง” นางที่มักจะตีฝีปากคมกล้าเสมอ ตอนนี้กลับชะงักค้างไปนาน กล่าวออกมาเพียงสามคำเท่านั้น
ไม่มองนาง แล้วเขายังจะมองใครได้อีก
แววตาประสานกัน ผ่านไปเนิ่นนาน ในที่สุดสายตาของฝูชางก็เบนออกไปมองด้านหลังนาง ด้านข้างกอมู่ฝูหรงสีดำสนิท เงาร่างในชุดคลุมยาวสีดำวาบผ่านเข้ามา เขาเอ่ยปากว่า “เขาให้เจ้าเข้าไปในทะเลหลีเฮิ่นหรือ”
ทำไมคราวนี้เซ่าอี๋ถึงไม่มาแล้วเล่า มาช่วยนางขวางเขาเอาไว้ รีบมาไล่เขาไปสิ! เขาไม่ใช่ว่าร้ายกาจมากหรือ พลังมหาเทพอะไรนั่น มาจัดการฝูชางให้หมดแรงแล้วโยนเขาทิ้งไปเสียจะได้ไหม! เขาไม่ใช่ว่าอำมหิตเย็นชามากหรือ แล้วทำไมตอนนี้ถึงไม่อำมหิตเสียหน่อยเล่า
เสวียนอี่กัดฟันแน่น ทันใดนั้นมือทั้งสองก็ประกบกัน กำแพงน้ำแข็งไร้รูปหลายชั้นก็กักฝูชางเอาไว้ภายในกล่องน้ำแข็ง นางหมุนตัวแล้วพลันมุ่งออกไปไกล ทิ้งไว้เพียงประโยคเดียว “มองแล้วก็อย่านึกเสียใจทีหลังล่ะ”
เสียงปริแตกดังสนั่นสะเทือนอยู่ในหู เสวียนอี่ไม่ได้หันกลับไป กำแพงน้ำแข็งหลายชั้นขวางอยู่ทางด้านหลัง จนถึงวันนี้นางก็ยังอำมหิตได้ถึงเพียงนี้ นางรู้สึกนับถือตนเองจริงๆ
แสงจากค่ายกลแสงใกล้เข้ามาตรงหน้า นางพุ่งไปที่นั่นราวกับดาวตก ทะเลหลีเฮิ่นที่ราบเรียบดำสนิทเสมือนรับรู้ได้ว่ามีเผ่าเทพเข้าไปใกล้ หมอกสีดำเข้มเหล่านั้นเริ่มสั่นไหวขึ้นมา นางบินและมุ่งไปยังหมอกสีดำขนาดใหญ่ผืนนั้น เสียงแตกสลายของกำแพงน้ำแข็งเหล่านั้นเองก็ไม่มีแล้ว ใช่ ไปอย่างนี้นี่แหละ
ลมบริสุทธิ์ปรากฏขึ้นข้างกายนาง มือหนึ่งคว้าจับแขนนางไว้แน่น เสวียนอี่นิ่งค้างแล้วหันกลับไป กลับเห็นว่ากำแพงน้ำแข็งด้านหลังนางไม่รู้ว่าแตกสลายไปจนหมดตั้งแต่เมื่อไหร่ เขามีความสามารถถึงเพียงนี้เชียวหรือนี่!
มือนั้นดึงนางเข้าไปอย่างแรง หลังศีรษะนางเองก็ปะทะกับแผงอกเขาอย่างแรง จากนั้นมืออีกข้างก็ออกมาปิดปากและจมูกของนางเอาไว้ เสียงของฝูชางใช้คำว่าน่ากลัวมาบรรยายได้เลย “อยากจะรีบเอาชีวิตไปทิ้ง ข้าช่วยส่งเจ้าไปดีหรือไม่”
ความสามารถตระกูลจู๋อินที่เก่งกาจของนางเมื่อมาเจอเขาทำไมถึงได้ไม่ร้ายกาจแล้วเล่า เสวียนอี่ออกแรงสะบัดมือของเขา แต่ว่าหากเทียบแรงแล้วนางก็ไม่เคยเอาชนะเขาได้มาก่อน ทุกครั้งมีแต่พ่ายแพ้อย่างน่าอนาถ
ฝูชางลากนางพลางหมุนตัวขี่ลมบินขึ้นไป ทันใดนั้นทะเลหลีเฮิ่นที่ราบเรียบก็มีคลื่นสูง ความเยือกเย็นสีดำนั่นราวกับกำลังอ้าปากขนาดใหญ่กว้างพร้อมถาโถมมาที่พวกเขา เขารีบถอยหลังหลบอย่างเร่งรีบ องค์หญิงมังกรในอ้อมอกกลับเริ่มใช้พลังเทพหมายจะดันเขาออกไป
ทำไมถึงได้ชอบผลักเขาออกไปนัก เพื่อช่วยท่านพ่อและพี่ชายของตนหรือ ไม่ยอมบอกอะไรก็บุกมาที่ทะเลหลีเฮิ่น หรือว่าอยากให้เขาเห็นด้วยกับความยิ่งใหญ่ของนาง องค์หญิงมังกรที่มักเห็นแก่ตัวผู้นั้นเล่า เขาไม่เคยคาดหวังอยากจะให้นางเห็นแก่ตัวมากกว่านี้อีกหน่อยเท่าตอนนี้มาก่อนเลย
หาว่าจะต้องไป ก็ไปด้วยกัน! เดิมวิถีกระบี่ของเขาก็ลับคมขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อนาง หากว่าไม่มีนาง แล้วจะมีกระบี่ฉุนจวินเอาไว้ทำไม
ฝูชางเอามือที่ปิดจมูกนางไว้ออก แขนทั้งสองกอดรัดนางเอาไว้แน่น เขาไม่ได้ถอยแต่กลับเข้าไปรับการโจมตี ท่ามกลางเสียงตกใจของเสวียนอี่ เงาร่างของพวกเขาถูกความมืดกลืนกินจนหายไปอย่างรวดเร็ว
ราวกับเข้าไปในทะเลสาบเหนียวเหนอะหนะที่หนาวยะเยือกไปถึงกระดูกแห่งหนึ่ง หนาแน่นมากจนเกือบจะทำให้ไอขุ่นมัวที่บ้าคลั่งนั่นห่อหุ้มเข้ามา ทำให้พวกเขารู้สึกทรมานราวกับหายใจไม่ออกขึ้นมาทันที สรรพเสียงราวกับหยุดนิ่งลง กระทั่งเวลายังคล้ายกับหยุดนิ่งไป ฉุนจวินส่งเสียงที่เต็มไปด้วยไอสังหารเข้มข้นออกมา ไอขุ่นมัวที่รุนแรงอย่างนี้ทำให้มันรู้สึกถึงการคุกคามเหมือนตอนที่มันรับมือกับราชาก้งกงในตอนนั้น มันแทบจะอดไม่ไหวจนต้องพุ่งออกมาจากฝัก
ฝูชางใช้มือหนึ่งกุมมันไว้ อีกมือก็โอบเสวียนอี่ ที่นี่มองไม่เห็นอะไรทั้งนั้น หมอกสีดำที่เยือกเย็น แต่เม็ดทรายใต้ฝ่าเท้ากลับร้อนระอุ เขากำลังจะลุกขึ้น นางที่อยู่ในอ้อมอกเขากลับกำปกเสื้อของเขาไว้แน่น ร่างสั่นสะท้านและออกแรงเขย่า นางไม่กล่าวอะไรออกมา มีเพียงลมหายใจหอบหนักของนางเท่านั้นที่ดังเสียดแทงเข้ามาในหูเขา
เขาปล่อยกระบี่ฉุนจวินแล้วใช้ฝ่ามือกุมใบหน้านางไว้ หยาดน้ำตาเย็นเยียบมากมายไหลลงมาจากแพขนตา
เขากอดองค์หญิงมังกรเอาไว้ ก่อนจะจุมพิตลงไปบนใบหน้าที่เยือกเย็นและเปียกชื้นของนาง จากนั้นจึงออกแรงเคาะศีรษะนางจนเกิดเสียงดัง “โป๊ก” ขึ้นมา
เสวียนอี่กำลังร้องไห้ปานจะขาดใจ เมื่อถูกเขาเคาะศีรษะเข้ากลับชะงักค้างไป มีเกล็ดมังกรอยู่ จะว่าเจ็บมันก็ไม่ได้เจ็บ แต่ว่าเขากลับตีนาง…
ฝูชางดึงนางให้ลุกขึ้นยืน น้ำเสียงยังคงเยือกเย็นดังเดิม “บัญชีนี้เดี๋ยวข้าจะค่อยๆ คิดกับเจ้าภายหลัง”
ฉุนจวินพลันพุ่งออกจากฝักแล้วกลายเป็นมังกรสีทองขนาดใหญ่ แสงสว่างบาดตาทำให้ทิวทัศน์รอบข้างสว่างไสว แต่กลับทำให้พวกเขาต้องอึ้งไป
เดิมคิดว่าภายในทะเลหลีเฮิ่นน่าจะเป็นเพียงผืนทรายว่างเปล่า แต่ใครจะรู้ว่ากลับมีเงากลุ่มตำหนักทรงกลมสูงใหญ่มากมาย ราวกับสร้างขึ้นจากเม็ดทราย สร้างขึ้นบนผืนดินที่เงียบเหงาและดำมืดอย่างนี้ เป็นภาพที่ดูประหลาดยิ่งนัก
เสวียนอี่เช็ดรอยน้ำตาบนใบหน้าจนแห้ง นางเองก็ไม่เหมาะกับการร้องไห้อย่างหนักจริงๆ ร้องไห้ไปครู่หนึ่งตัวนางเองยังรับตัวเองไม่ได้เลย แววตาของนางเหลือบไปยังกลุ่มตำหนักที่สร้างจากเม็ดทรายเหล่านั้น แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงขึ้นจมูกว่า “นี่คือรูปลักษณ์ของเมืองฉยงซาง”
ในเมื่อฝูชางตามมาแล้ว นางเองก็ไม่จำเป็นจะต้องปิดบังอีก เล่าเรื่องราวทั้งหมดออกมาอย่างรวดเร็วรอบหนึ่ง
ความยึดติดของเซ่าอี๋คือจะต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปให้ได้ ทิวทัศน์ที่เหลืออยู่ในนี้คิดว่าน่าจะมาจากความคิดยึดติดของเขา เดิมเขาเลือกที่จะสู้จนดับสูญเพื่อเกียรติยศศักดิ์ศรีของตระกูลชิงหยาง เมืองฉยงซางจากเม็ดทรายนี้จึงน่าจะเป็นบ่วงที่วิญญาณเทพของเขายึดติดมากที่สุด