บุหลันเคียงรัก - บทที่ 142 ฝางเฟิงตี้เจียง
ไอขุ่นมัวที่เข้มข้นนี้ราวกับน้ำเหนียวเหนอะมาหุ้มร่างเอาไว้ บ้างก็มีลมแรงที่พัดผ่านอากาศขุ่นมัวมาทำให้เสวียนอี่ขนลุกชัน ที่นี่ไม่มีเสียงใดๆ แต่ก็ราวกับถูกเสียงมากมายห้อมล้อมเอาไว้ ทรายสีขาวและดำปนเปกันเต็มพื้น เหล่าปีศาจตัวเล็กทั้งหลายหลบซ่อนในความมืดและเตรียมจะเคลื่อนหนี
เสวียนอี่ปล่อยพลังเทพตามสัญชาตญาณ นางคิดจะใช้พลังหิมะจู๋อินออกมา ทันใดนั้นแขนกลับถูกฝูชางกำไว้แน่น มือเขาออกแรงอย่างไม่มียั้ง เขาบีบนางจนกระดูกนางเจ็บปวด
เขาจ้องนางด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “หากว่าเจ้าลงมือ ข้าจะทำให้เจ้าหมดสติไปเสีย หากว่าเจ้าพูดมาหนึ่งคำ ข้าก็จะทำให้เจ้าหมดสติไปเหมือนกัน”
พูดแล้ว เขาก็ลากนางแล้วเดินไปทางเมืองฉยงซาง
จนถึงนี้เขาก็ยังไม่เข้าใจประโยคที่เซ่าอี๋กล่าวมาตอนนั้น “เจ้าไม่อยากให้นางดับสูญหรอกกระมัง” ว่ามันแปลว่าอะไร แค่ขู่เขาเฉยๆ หรือ หรือว่ามีความหมายอื่น แต่ว่ามองเห็นไอขุ่นมัวมหาศาลอย่างนี้หลอมรวมกับพลังมืดจู๋อิน สังหรณ์ไม่ดีในใจเขาก็กลับมาอีก
องค์หญิงมังกรจะเป็นอะไรไม่ได้ ไม่อย่างนั้นเขา…
แรงที่มือของฝูชางหนักขึ้นอีกหลายเท่าอย่างอดไม่ได้ ตอนนี้เขาโมโหจนแทบจะข่มไม่อยู่ ไม่เพียงแค่เพราะการปั่นหัวคนอื่นเล่นอย่างเซ่าอี๋เท่านั้น ยังเพราะนางด้วย เขาอยู่ใกล้นางขนาดนี้แล้ว แต่ว่านางกลับยังคงอำมหิตและยืนกรานในความเห็นแก่ตัวของตนเอง
ไม่มีใครที่จะเข้าใจนางไปมากกว่าเขาอีกแล้ว นางอยากให้เขามองนางไปตายกับตา ทิ้งความเสียใจราวกับหัวใจถูกฉีกให้กับเขา ให้กับบรรดาคนที่น่าสงสารไม่กี่คนในแผ่นดินนี้ที่รักนางอย่างจริงใจ รวมไปถึงท่านพ่อและพี่ชายของนางด้วย
ตอนนี้จะมองนางไม่ได้ และจะเอ่ยปากพูดไม่ได้ ยิ่งฟังเสียงของนางไม่ได้อีกด้วย ไม่อย่างนั้นคิดว่าเขาจะต้องกลายเป็นคนป่าเถื่อน ไม่สนใจหนักเบาและตีนางแน่ๆ
ทันใดนั้นเอง พายุคมราวกับมีดก็พุ่งเข้ามาปะทะใบหน้า ฝูชางสะบัดแขนเสื้อ มังกรสีทองขนาดใหญ่ที่พัดรัดรอบร่างอยู่ก็กลายเป็นสายน้ำมากมาย ราวกับผ้าไหมที่ยับย่นคลี่ออก ในพริบตาปีศาจตัวเล็กๆ นับไม่ถ้วนถูกสายน้ำสีทองโถมเข้าใส่จนสลายไป กลายเป็นควันสีดำกลุ่มแล้วกลุ่มเล่ากลับไปรวมกับไอขุ่นมัว
คลื่นน้ำกลายเป็นมังกรทองอีกครั้ง แล้วมาพันรัดรอบร่างของพวกเขา ฝูชางมองไปรอบๆ นอกจากเมืองฉยงซางที่สร้างจากทรายนั่นแล้ว ทิวทัศน์ภายในทะเลหลีเฮิ่นว่างเปล่าอย่างที่พวกเขาคาดไม่ถึง ไอขุ่นมัวที่เข้มข้นบ้าคลั่งอย่างนี้จะมีเพียงแค่ปีศาจตัวเล็กๆ อย่างนี้เท่านั้นหรือ ร่างของฝางเฟิงซื่ออยู่ที่ไหนกัน ปีกตี้เจียงล่ะ หรือว่าจะอยู่กับร่างที่ถูกความยึดติดของเซ่าอี๋ตรึงเอาไว้ด้วยกัน ซ่อนอยู่ภายในเมืองฉยงซางจากทรายนั่น เหล่านักรบที่โชคร้ายถูกกลืนเข้าไปภายใน หากกล่าวตามหลักการแล้วก็ไม่น่าจะดับสูญเร็วขนาดนั้น แต่ว่าที่นี่ไม่มีเงาใครสักคน หรือว่าพวกเขาต่างก็เข้าไปในเมืองกันแล้ว
ลมแรงที่พัดไอขุ่นมัวมาจากรอยแยกแรงขึ้นเรื่อยๆ ทรายสีขาวทั้งผืนถูกพัดจนพรั่งพรูลงมาราวกับหิมะ ทันใดนั้น เสียงดังสนั่นราวกับเสียงกรนดังออกมาจากใต้ดิน เสียงดังก้องยาวสะเทือนแก้วหู ฝูชางรีบหยุดเท้าลงแล้วแบกเสวียนอี่เอาไว้บนหลังพลางสั่งว่า “กอดแน่นๆ”
ยากนักที่นางจะยอมฟัง แล้วใช้แขนขารัดเขาไว้แน่นราวกับปลาหมึก แต่ว่าทรายที่พื้นขยับรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ มันค่อยๆ เดือดพล่าน เสียงดังสนั่นแก้วหูราวกับเสียงกรนนั่นหยุดไป จากนั้นใต้พื้นทรายก็มีปีกขนาดใหญ่คู่หนึ่งยื่นออกไป ขนของมันเป็นสีดำสนิทอย่างน่าประหลาด
ก่อนหน้านั้นพวกมันหุบอยู่ด้วยกัน ไม่นานมันก็พลันกางออก ปีกที่กางออกมาหุบเข้าและกางออกอีกครั้ง จากปีกคู่หนึ่งกลายเป็นสองคู่ มันขยับบนเม็ดทรายไม่หยุด ไอขุ่นมัวมากมายที่แลดูคล้ายน้ำเหนียวหนืด
ปีกตี้เจียงในตำนาน พลันมาปรากฏเบื้องหน้าพวกเขาอย่างกะทันหัน
ตี้เจียงคืออสูรร้ายอันดับหนึ่งในใต้หล้า เริ่มสร้างความวุ่นวายในตอนที่จักรพรรดิสวรรค์องค์ปัจจุบันรับสืบทอดบัลลังก์ จริงๆ แล้วเสียพลังเทพไปมากมายกว่าจะสามารถฆ่ามันได้ และเพราะร่างของมันใหญ่โตเกินไป ไม่สามารถเอาไว้ที่โลกเบื้องล่างได้ จักรพรรดิสวรรค์น่าจะเรียนรู้มาจากมหาเทพไป๋เจ๋อ จึงนำเอาปีกของตี้เจียงที่ดุดันและประหลาดทั้งสองโยนเข้ามาในทะเลหลีเฮิ่น ส่วนอื่นที่เหลือตัดเป็นชิ้นๆ แล้วใส่ไว้ในเจดีย์แก้วของวังสวรรค์
เสวียนอี่รู้สึกว่า เรื่องนี้ไม่ควรจะให้ตระกูลจู๋อินและตระกูลชิงหยางสองตระกูลมารับผิดชอบ มหาเทพไป๋เจ๋อผู้นำเหล่ามหาเทพที่ว่างจัดผู้มีความคิดประหลาดเองก็เป็นหนึ่งในผู้ร้ายด้วยชัดๆ แต่ว่าตอนนี้กลับมีเพียงตระกูลจู๋อินและตระกูลหวาซวีคนรุ่นหลังสองคนเป็นผู้เผชิญหน้ากับปีกอสูรร้ายในตำนานเพียงลำพัง มันยังถูกไอขุ่นมัวของทะเลหลีเฮิ่นแทรกซึมจนร้ายกาจกว่าแต่ก่อนหลายเท่าอีกด้วย
หากว่าครั้งนี้นางยังมีชีวิตออกไปได้ นางจะต้องไปคุยกับมหาเทพไป๋เจ๋อและจักรพรรดิสวรรค์เสียหน่อย นางมีเรื่องต้องพูดคุยมากมาย
ฝูชางท่องคาถา มังกรสีทองขนาดใหญ่ก็ขยายขนาดขึ้นหลายเท่าในพริบตา มันกำลังจะบินขึ้นไป แต่ทันใดนั้นทรายก็เริ่มเดือดพล่านอีก แล้วหัวขนาดใหญ่หนึ่งอันก็แทรกผ่านปีกทั้งสี่เข้ามา รูปลักษณ์บนใบหน้านั่นชัดเจนมาก มันยังคงมีท่าทีดุร้ายเหมือนกับตอนที่มันตายไป ไอขุ่นมัวพุ่งทะลักออกมาจากทวารทั้งเจ็ด ดูแล้วน่ากลัวมาก
ไม่รอให้พวกเขาตั้งตัวได้ทัน ร่างใต้หัวนั้นเองก็พุ่งออกมาจากทราย ไม่นาน ยักษ์ตัวโตที่สุดในแผ่นดินก็ยืนห่างไปไม่ไกล ร่างทั้งร่างของมันดำสนิท และเต็มไปด้วยบาดแผลทั้งร่าง บริเวณที่ควรจะมีแขนทั้งสองออกมาตอนนี้กลับมีปีกทั้งสี่ไปติดอยู่แทนที่ ทำให้มันดูน่าประหลาดขึ้นอีกหลายเท่า
ร่างของฝางเฟิงซื่อรวมกับปีกตี้เจียง ปรากฏแก่เบื้องหน้าพวกเขาอย่างยิ่งใหญ่
เสวียนอี่สูดลมหายใจเข้าอย่างไม่รู้ตัว พลันคิดอยากจะถอนขึ้นมา จุดประสงค์ของนางเพียงแค่มาเพื่อหาร่างของเซ่าอี๋เท่านั้น ส่วนเจ้าของเล่นตรงหน้านี้ก็ช่างมันเถอะ นางว่าปล่อยพวกมันออกไปให้มหาเทพไป๋เจ๋อและเหล่ามหาเทพสารเลวเหล่านั้นรับมือจะดีที่สุด
ฝูชางรีบเก็บมังกรทองกลับมาอย่างรวดเร็วและถอยหลังไปหลายก้าว ทันใดนั้นปีกทั้งสองของตี้เจียงก็ขยับ ไอขุ่นมัวทั่วทั้งผืนดินราวกับถูกมือใหญ่ทั้งสองจับกวนอย่างรุนแรง ฝางเฟิงซื่อร้องคำรามอย่างไม่รู้ตัว และหันหน้ามาทางพวกเขาพร้อมก้าวขาไล่ตามมา
ฝูชางมีปฏิกิริยาเร็วมาก เขาหมุนตัวแล้วมุ่งไปทางเมืองฉยงซางอย่างรวดเร็ว
น่าแค้นนักที่ที่นี่ไม่สามารถขี่ลมได้ ยักษ์ตัวใหญ่อย่างฝางเฟิงซื่อยังไล่ตามมาอย่างรวดเร็วอีก เห็นกับตาว่ามันเข้าใกล้มาเรื่อยๆ แล้ว เขาก็ดีดปลายนิ้วไปบนกระบี่ฉุนจวิน มังกรสีทองขนาดใหญ่พลันพุ่งออกไปแล้วไปอยู่ข้างกายร่างใหญ่โตของฝางเฟิงซื่อ มันพุ่งเข้าไปในดวงตาของมัน ไม่นานก็พุ่งตัวจากหัวออกไปบนฟ้า มันเองก็ไม่สนใจ แต่ยังคงไล่ตามมาด้านหลังต่อ มังกรสีทองรีบพุ่งลงมา แล้วไปพันรัดปีกตี้เจียงข้างหนึ่งหนึ่งรอบเร็วราวกับสายฟ้า ฝางเฟิงซื่อร้องคำรามออกมาเสียงดัง ปีกข้างหนึ่งหลุดออกจากร่างของมันทำให้เกิดคลื่นทรายหลายลูก
แทบจะในพริบตาเท่านั้นที่ปีกของตี้เจียงทั้งสี่ถูกตัดลงมา ไม่มีปีกทำให้บินขึ้นได้ ความเร็วที่ฝางเฟิงซื่อไล่ตามมาก็ช้าลงไปบ้าง ลมแรงที่ถูกม้วนขึ้นมาราวกับพายุก็สงบลงไป มันไล่ตามมาพักหนึ่ง แต่เพราะเห็นว่าเทพบุตรชุดขาวหนีเร็วมาก ค่อยๆ ทิ้งระยะห่างออกไปเรื่อนย มันก็อ้าปากสีดำสนิทออกมาแล้วสูดลมหายใจเข้าอย่างบ้าคลั่ง
เสวียนอี่กดวงแหวนสีทองบนศีรษะเอาไว้แน่น แต่ถึงกระนั้น ผมยาวที่ปล่อยสยายออกมาก็ยังถูกดึงจนตั้งขึ้น หากไม่ใช่เพราะฝูชางจับเอาไว้ เกรงว่าคงจะต้องลอบออกไปด้วยแล้ว ฝางเฟิงซื่อเชี่ยวชาญการคำราม ตอนสร้างความวุ่นวายตอนนั้น มันเคยคำรามจนทำให้เทพที่มีคุณใหญ่หลวงต้องตายไปมาก่อน ถูกมันคำรามและสูดลมหายใจเข้าอย่างบ้าคลั่งแบบนี้ ผลลัพธ์ไม่อยากจะคิด
นางใช้พลังเทพคิดจะใช้พายุหิมะจู๋อินออกมา พลันถูกฝูชางบีบเอวเอาไว้แน่น “เก็บไปเสีย!”
เสวียนอี่เป็นพวกบ้าจี้ ถูกเขาบีบเขาอย่างนี้จนเกือบหัวเราะออกมา พลังเทพที่เพิ่งจะรวมขึ้นก็ถูกความจั๊กจี้เสียจนสลายไป มังกรทองที่ขดตัวอยู่ก็มุดเข้าไปในปากของฝางเฟิงซื่อ ทำลายลำคอของมันแล้วพุ่งทะลุออกไป ทำให้มันไม่สามารถที่จะคำรามออกมาได้อีก ได้แต่อ้าปากกว้าง และดูน่าขันอย่างประหลาด
ตัดปีกตี้เจียงก็ดี ทำลายลำคอของฝางเฟิงซื่อก็ดี ทุกอย่างก็เพียงได้ชั่วคราวเท่านั้น ภายในทะเลหลีเฮิ่นมีไอขุ่นมัวบ้าคลั่งอย่างนี้ รวมกับความคิดยึดติดและพลังเทพคืนชีวิต ไม่นานเกรงว่าสัตว์ประหลาดนี่คงจะฟื้นกลับมาสภาพเดิมเป็นแน่ พวกเขาจะเสียเปล่าไม่ได้
กำแพงของเมืองฉยงซางจากทรายอยู่ตรงหน้าแล้ว ฝูชางขว้างฝักกระบี่ฉุนจวินไปเสียบกับกำแพงราวกับท่อนไม้ไผ่ เขากระโดดขึ้นไปจับฝักกระบี่ไว้มั่น ร่างก็หมุนตัวราวกับนกและขึ้นไปบนกำแพงอย่างแผ่วเบาก่อนจะกระโดดลงไป
ฝางเฟิงซื่อวิ่งสะเปะสะปะอยู่รอบกำแพงเมือง เสียงฝีเท้าดังสนั่นราวกับฟ้าผ่า ผืนดินสั่นสะเทือนไม่หยุด แต่ว่ามองไปแล้วกลับเหมือนว่ามันไม่กล้าบุกเข้าไป
สถานการณ์อย่างนี้ไม่ได้ทำให้พวกเขาถอนหายใจออกมา กลับกันพวกเขายังรู้สึกจิตใจหนักอึ้ง สัตว์ประหลาดเหล่านี้ล้วนแต่เกิดขึ้นเพราะเซ่าอี๋อยากจะมีชีวิตอยู่ต่อไปทำให้กลายเป็นอย่างนี้ เขาสามารถควบคุมอสูรร้ายของใต้หล้าได้ถึงขั้นนี้ ยังไม่รู้เลยว่าร่างมหาเทพที่ติดตรึงกับความคิดยึดติดนั่นจะร้ายกาจถึงขนาดไหน