บุหลันเคียงรัก - บทที่ 144 พลังมืดจู๋อิน (ตอนต้น)
นางกัดปลายลิ้นแล้วพ่นม่านน้ำแข็งออกมา ฝูชางพ่นลมหายใจออกมานานแล้ว ทำให้หมอกสีดำและทรายสีขาวถูกพัดจนกระจายเต็มพื้น แต่แค่พริบตาเดียวพวกมันก็กลับมาใหม่อีกครั้ง พวกมันเคลื่อนตัวช้าๆ แล้วก่อตัวเป็นรูปปั้นเทพธิดาองค์หนึ่ง
ไม่ได้เหมือนกับเทพขุนนางที่หยาบกระด้างด้านนอกเหล่านั้น รูปปั้นเทพนี้เหมือนกับเทพจริงๆ ไม่ผิดเพี้ยน คิ้วดั่งขนนก รูปโฉมงามเย้ายวน ลำคอเรียวระหงมีไหมสีเหลืองเส้นยาวผูกไว้เส้นหนึ่ง
ดูแล้วน่าจะเป็นหน้าตาของหลิวซาง
เสวียนอี่ขมวดคิ้วแน่น นี่มันร่างเทพอะไรกัน? ! ไม่เพียงแต่จะขยับได้ ยังพูดจาได้อีก ยิ่งไปกว่านั้นยังเอานางมาเป็นรูปปั้นที่รวมตัวจากเม็ดทรายแกะสลักขึ้นมาอีก เจ้าสารเลวเซ่าอี๋นั่นคงไม่ได้โกหกนางหรอกนะ
มหาเทพเห็นเม็ดทรายรวมกันเป็นรูปลักษณ์ของหลิวซางแล้วก็ไม่สนใจพวกเขาอีก สะบัดแขนเสื้อครั้งหนึ่ง หลิวซางจากเม็ดทรายก็กลายเป็นทรายสีขาวและดำสลายไปอีกครั้ง เขาลุกขึ้นยืน หงส์หินโมราที่ห้อยอยู่ที่ผมเปียกระทบกับไข่มุกที่ประดับบนเสื้อ ทำให้เกิดเสียงใสเสนาะหูขึ้นมา เขาเดินเยื้องย่างเข้าไปในป่าอู๋ถงพฤกษาเพลิง แล้วท่องออกมาอย่างสบายอารมณ์ว่า “หงส์ขับร้อง อยู่บนเนินเขา ต้นอู๋ถงเติบโต ในเช้าตรู่วันนั้น”
ฝูชางจ้องเขาอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวเสียงต่ำว่า “ร่างของเขาถูกความคิดยึดติดตรึงไว้ และยังหลอมรวมกับไอขุ่นมัว น่าจะไม่มีความคิดแล้ว เหลือเพียงแต่ความทรงจำที่ไม่สมบูรณ์เท่านั้น”
ทุกวันนี้หมอกสีดำของไอขุ่นมัวในทะเลหลีเฮิ่นทั้งผืนล้วนแต่เกี่ยวพันติดตรึงอยู่กับความคิดยึดติดอยากจะมีชีวิตต่อไปอย่างแรงกล้าของเซ่าอี๋ ดังนั้นบรรดาเผ่าปีศาจที่กลายเป็นเผ่ามารเพราะกลืนกินเศษแผ่นดินเข้าไปถึงได้มีพลังความสามารถสมานแผลที่รุนแรงอย่างนั้น ดังนั้นเหล่าศพที่ถูกโยนเข้ามาในทะเลหลีเฮิ่นพวกนั้นถึงได้กลายเป็นสัตว์ประหลาด
ก่อนหน้านี้เขารออยู่ที่ทะเลหลีเฮิ่นนานมาก จากการตกแต่งรอบๆ เซ่าอี๋ เขาคาดเดาได้ว่าเขาน่าจะใช้วิธีอะไรไล่เหล่าเทพนักรบที่คุ้มกันค่ายกลใหญ่ของทะเลหลีเฮิ่นไป ถึงลงมือกับทะเลหลีเฮิ่นได้ ตอนที่หมอกปีศาจของราชาจื่อโฉ่วม้วนมานั้น เขาก็รู้แล้วว่า แปดเก้าในสิบส่วนคือฝีมือของเขา
เหล่าปีศาจที่กลืนกินเอาเศษแผ่นดินเข้าไป หากว่าสุดท้ายแล้วต่างถูกความคิดยึดติดกลืนกินสติไป ผลที่ตามมาจะต้องร้ายแรงมากอย่างแน่นอน ก่อนหน้านี้เซ่าอี๋ยังสามารถควบคุมสื่อสารกับความคิดยึดติดได้ หากว่าการควบคุมนั้นหายไปหมด เกรงว่าเหล่าราชาที่ไร้สติจะต้องเริ่มก่อความวุ่นวายแน่
ขอเพียงร่างไร้วิญญาณที่ผูกติดความคิดยึดคิดไว้ยังคงอยู่ ไม่ว่าจะฆ่าเผ่ามารไปมากเท่าไหร่ก็เป็นแค่การรักษาปลายเหตุไม่ใช่ต้นเหตุ
ฝูชางคว้าแขนของเสวียนอี่ไว้ ก่อนจะลากนางไปยังมุมหนึ่งของใต้ต้นอู๋ถงพฤกษาเพลิงทรายต้นหนึ่ง แล้วกล่าวว่า “อยู่ตรงนี้ก่อนครู่หนึ่ง ห้ามขยับ”
เพราะรู้ดีว่านางต้องไม่ฟังแน่ เขาจึงมีสีหน้าเคร่งขรึมลงแล้วกล่าวว่า “ขยับครั้งหนึ่งข้าจะจับเจ้าเข้าไปขังในฉุนจวินหนึ่งร้อยปี”
เขามักจะใช้วิธีการที่เหี้ยมโหดมาข่มขู่นางเสมอ! เสวียนอี่ปั้นหน้ากอดอกแล้วลุกขึ้นยืนราวกับรูปสลักจากเม็ดทราย ท่าทางอย่างนี้กลับเรียกรอยยิ้มให้ปรากฏขึ้นบนใบหน้าเขา ความไม่พอใจบนใบหน้าก็คลายลงไปบ้าง
ฝูชางยกมือขึ้นแล้วจับวงแหวนทองที่มักจะเบี้ยวและไหลลงมาของนางให้ตรงใหม่ ปลายนิ้วไล้ไปตามโครงหน้านุ่มนวลน่ารักของนาง ฝ่ามือแนบลงไปแล้วกล่าวเสียงต่ำว่า “เชื่อฟังหน่อย”
มหาเทพในป่านั่งลงใต้ต้นไม้อีกครั้ง และเป่าทำนองติดๆ ขัดๆ อีกครั้ง ทำไมไม่โจมตีต่อแล้วเล่า ฝูชางลองหยั่งเชิงดู มังกรทองตัวเล็กก็พุ่งไปที่ไหล่ของมหาเทพอีกครั้ง แล้วไปตัดด้ายสีทองเส้นนั้นที่พัดรัดอยู่กับผมเปียจนขาด หงส์หินโมราร่วงลงไปใต้ต้นไม้
ทำนองเพลงขาดตอน แววตาของมหาเทพมองมาที่ร่างของฝูชาง เขานิ่งจ้องอยู่ครู่หนึ่งแล้วขมวดคิ้วแน่น “ฉางอวี้หรือ ไม่ได้มีหน้าตาอย่างนี้นี่”
ทรายสีขาวและหมอกสีดำทั้งผืนฟ้าและแผ่นดินม้วนตัวขึ้นมา มันรุนแรงกว่าก่อนหน้านี้หลายเท่า ฝูชางกางม่านพลัง เขาไม่รอให้ทรายเหล่านั้นกลายเป็นรูปปั้นเทพ เป่าลมออกไป ทันใดนั้นเบื้องหน้าก็มีแสงสีดำวาบมา “เคร้ง” ม่านพลังถูกมีดยาวขนนกสีดำสนิทกระแทกจนแตกสลายเป็นฝุ่นธุลี เพลิงพินาศทำลายที่ควรวนอยู่รอบตัวมีด ยามนี้เปลี่ยนเป็นหมอกสีดำเวียนวนไปมา จะถูกไอขุ่นมัวที่เข้มข้นอย่างนี้ทำให้บาดเจ็บไม่ได้เด็ดขาด
มังกรทองกลายเป็นคลื่นน้ำโถมออกไปรัดจนทำให้มีดยาวขนนกแตกสลายกลายเป็นฝุ่น มหาเทพกระโดดขึ้น ลอยตัวกลางอากาศพร้อมปล่อยปราณกระบี่ให้กลายเป็นคลื่นน้ำออกไป เขายกมือขึ้น มีดยาวก็กลับไปปรากฏในฝ่ามืออีกครั้ง เขาจ้องไปที่ฝูชางอยู่นานมาก แววตาก็เคร่งขรึมลง ทันใดนั้นก็พลันโบกมือ พื้นดินเริ่มปริแตกออกทีละชุ่น หมอกสีดำราวกับเปลวเพลิงพลันผุดขึ้นมาจากรอยปริแตกนั้น เขาพลิ้วกายไปปะทะกับคลื่นน้ำสีทอง
เสวียนอี่รู้สึกว่าพื้นดินสั่นไหวอย่างรุนแรง หมอกสีดำเข้มข้นมากมายพุ่งขึ้นมาราวกับมังกรขนาดใหญ่ ตำหนักที่งดงามด้านหลัง ลานเรือนต้นอู๋ถงพฤกษาเพลิงสีดำสลับทองด้านหน้าราวกับภาพที่ถูกฉีกขาด มันค่อยๆ กลายเป็นเม็ดทรายสีขาว เมืองฉยงซางที่สร้างขึ้นจากเม็ดทรายกำลังพังทลาย เม็ดทรายพรั่งพรูลงมาราวกับน้ำตก
มหาเทพบนอากาศกำลังสู้อยู่กับปราณกระบี่แปลงเป็นคลื่นน้ำ เดิมตระกูลชิงหยางก็รวดเร็วว่องไวอยู่แล้ว เงาร่างสีดำของมหาเทพเคลื่อนตัวเร็วราวกับสายฟ้า วนเวียนไปมาระหว่างรอยแยกของคลื่นน้ำ หมอกสีดำราวกับเปลวเพลิงขนาดใหญ่หลายชั้นหุ้มคลื่นน้ำเอาไว้ และถูกแสงสีทองชำระล้างจนสะอาดหลายต่อหลายครั้ง
ต้องหาวิธีทำให้เขาหยุด
เสวียนอี่ดีดปลายนิ้ว กำแพงน้ำแข็งไร้รูปมากมายก็ปรากฏขึ้นข้างกายมหาเทพพร้อมกับกักเขาไว้ มหาเทพเบี่ยงตัวและพลันชนเข้ากับกำแพงน้ำแข็ง ร่างที่ลอยอยู่ของเขาหยุดชะงักไปชั่วครู่ ปราณกระบี่แปลงเป็นคลื่นน้ำถั่งโถมเข้ามาจากทั่วทุกสารทิศ ทำลายกำแพงน้ำแข็งจนแตกและกลืนเงาร่างสีดำนั่นเข้าไปภายใน
สำเร็จแล้วหรือ เสวียนอี่รีบก้าวไปข้างหน้า ทันใดนั้นหงส์สีดำสนิทฝูงหนึ่งก็ฝืนปะทะกับคลื่นน้ำสีทองอย่างแรง พร้อมกับวนเวียนไปมาบนท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมอกสีดำหลายรอบ เมื่อลงมาที่พื้นก็แปลงเป็นร่างคน เขาเซถอยหลังไปสองก้าว มือกุมชายโครง ร่องนิ้วมีแต่ไอขุ่นมัว เขาถูกปราณกระบี่ของตระกูลหวาซวีเข้า บาดแผลคงอยู่ครู่หนึ่งก็สมานกันดีใหม่
…เหมือนว่าจะไม่ได้แข็งแกร่งอย่างที่จินตนาการเอาไว้ เป็นเพราะวิญญาณไม่อยู่แล้ว
เสวียนอี่กำลังเตรียมจะแช่แข็งร่างนี้และทรมานสักรอบ ทันใดนั้นแสงสีน้ำเงินก็มาพร้อมกับลมและกระแทกเข้าพื้นที่ข้างเท้าห่างออกไปหลายชุ่นอย่างแรง ทำให้ทรายสีขาวมากมายกระเด็นขึ้นมา ที่แท้มันคือฝักกระบี่ฉุนจวิน ฝูชางที่อยู่ไม่ไกลถลึงตาใส่นางอย่างเย็นชา นางจึงได้แต่ถอยหลังไปสองก้าว แล้วไปกอดอกทำตัวเป็นรูปปั้นทรายต่อ
คลื่นน้ำดึงกลับกลายเป็นมังกรสีทองขนาดใหญ่ แสงสีทองสว่างวาบ ปากอันมหึมากัดมหาเทพไว้ มันดึงเขาลงไปในพื้นทรายหลายสิบจั้ง แล้วหมุนวนพร้อมบินขึ้น มังกรอ้าปากปล่อยร่างนั้นจากนั้นมันก็หดเล็กลงอย่างรวดเร็ว แล้วรัดเอามหาเทพเข้าไปในนั้นหมายจะรัดให้ร่างแตกทันที
ในชั่วเวลาพริบตานี้เอง ปีกตี้เจียงสีดำสนิททั้งสองก็ผุดขึ้นมาจากพื้นทราย ปีกทั้งสี่หักโค้งอย่างประหลาดโอบมังกรทองไว้แน่น หัวขนาดใหญ่ของฝางเฟิงซื่อพลันยื่นออกไปหลังปีก แล้วอ้าปากกัดลงไปทางฝูชาง
เขารีบหลบอย่างรีบร้อน ทันใดนั้นด้านหลังพลันมีลมเย็นรุนแรง เขารีบท่องคาถาสร้างม่านพลังขึ้น เสียงดังสนั่นขึ้นอีกครั้ง ไม่รู้อะไรที่ชนม่านพลังจนแตกสลาย ในใจเขาลอบตกใจแล้วกวักมือ ฝักกระบี่เข้ามาในฝ่ามือแล้วกำบังด้านหลังไว้ พลังรุนแรงสายหนึ่งฟาดลงมาบนฝักกระบี่ เขาอาศัยแรงแล้วไถลไปด้านหน้าหลายก้าว จากนั้นหมุนตัวอย่างรวดเร็ว เมื่อเขาเห็นภาพตรงหน้าชัดก็ต้องสูดลมหายใจเฮือกอย่างอดไม่อยู่
ซากศพของเผ่าปีศาจและเผ่ามารที่ร้ายกาจที่ถูกมหาเทพไป๋เจ๋อและจักรพรรดิสวรรค์ผู้เอาแต่ใจโยนเข้ามาซ่อนในความมืดมิดของทะเลหลีเฮิ่นเหล่านั้น ต่างก็ผสมรวมกันจนแลดูประหลาด หากมองผ่านๆ ดูน่าจะมีไม่ต่ำกว่าสิบตน
…ที่แท้สิ่งที่น่ากลัวไม่ใช่มหาเทพชิงหยางที่เสียวิญญาณไปและทิ้งร่างที่ถูกความยึดติดตรึงเอาไว้ แต่ที่น่ากลัวก็คือเขาสามารถควบคุมเหล่าสัตว์ประหลาดที่น่าตื่นตะลึงเหล่านี้ได้
มังกรทองที่พันรัดร่างของมหาเทพอยู่กลับมาอย่างรวดเร็วแล้วกลายเป็นคลื่นน้ำขนาดใหญ่ ขวางกั้นการโจมตีที่บ้าคลั่งของสัตว์ประหลาดกลุ่มนั้นและฝางเฟิงซื่อเอาไว้ มหาเทพร่อนลงมาบนพื้นทราย คราวนี้บาดแผลเขาสมานกันเร็วมาก เขาเพิ่งจะลุกขึ้นยืน พลันมีหิมะสีขาวมากมายตกลงมาราวกับสายฝน เขาราวกับนึกถึงความทรงจำอะไรได้ แววตาหันกลับไปจ้องเสวียนอี่ที่อยู่ไม่ไกลทันที
“หลิวซางหรือ” มหาเทพร้องเรียกอย่างประหลาดใจ
ยังขยับได้อีก นั่นหมายความว่านางยังไม่สามารถแช่แข็งเขาได้ เสวียนอี่ใช้พลังเทพ พายุหิมะบ้าคลั่งก็ถูกเรียกออกมา นี่เป็นครั้งแรกที่นางเรียกพายุหิมะที่ดุดันเช่นนี้ออกมา มหาเทพแทบจะถูกแช่แข็งไปในพริบตา มีเพียงริมฝีปากที่ยังอ้าออกและเรียกว่า “หลิวซางหรือ”
เสวียนอี่กล่าวเสียงเย็น “ข้าไม่ใช่หลิวซาง ท่านเองก็ดับสูญไปนานแล้ว” จากนั้นนางดีดปลายนิ้ว มังกรน้ำแข็งขนาดใหญ่ก็ม้วนรัดตัวมหาเทพไว้ และรัดจนกระดูกของเขาแตก
เร็วหน่อย! รีบๆ จัดการร่างนี้ไปเสีย! ฝูชางกำลังถูกสัตว์ประหลาดกลุ่มนั่นไล่โจมตีอยู่ สัตว์ประหลาดที่น่าตื่นตะลึงเหล่านี้กระทั่งเหล่ามหาเทพยังยากจะเป็นคู่ต่อสู้ของมัน นับประสาอะไรกับเขา ฝางเฟิงซื่อเพียงคำรามออกมา เขาไม่ดับสูญแต่ก็ต้องบาดเจ็บหนัก
เสวียนอี่ขมวดคิ้วมุ่น ทันใดนั้นก็เรียกมังกรน้ำแข็งออกมาอีกตัว มันกลายเป็นแสงสีขาวนับพันนับหมื่นแทงทะลุร่างที่ยากจะทำลายนี้ซ้ำไปซ้ำมา
ไม่รู้ทำไม นางกลับรู้สึกเหนื่อยมากขึ้นเรื่อยๆ ราวกับพลังเทพถูกใช้ออกไปเร็วมาก นางยกมือเรียกพลังมืดจู๋อิน กระบวนท่านี้กลับไม่เกิดอะไรขึ้น ถึงได้ชะงักไปแล้วรู้สึกว่าพลังมืดจู๋อินที่นางปล่อยออกมาเมื่อครู่ถูกไอขุ่นมัวหุ้มเอาไว้ และมีกว่าครึ่งแล้วที่กลายเป็นหมอกสีดำเหมือนกับทะเลหลีเฮิ่น