บุหลันเคียงรัก - บทที่ 145 พลังมืดจู๋อิน (ตอนปลาย)
เสวียนอี่นึกถึงที่เซ่าอี๋กล่าวขึ้นมาทันที ทะเลหลีเฮิ่นกลืนพลังมืดจู๋อินได้ นางที่ฉลาดเฉลียวรอบคอบมาตลอด เดิมนางไม่มีทางผิดพลาดอย่างนี้แน่ แต่เพราะท่านพ่อและพี่ชายเกิดเรื่องขึ้นติดต่อกัน เซ่าอี๋ก็เผยข้อมูลให้นางมากเกินไปอีก ทำให้นางลืมเรื่องนี้ไป
นางลืมเรื่องนี้ยังมีเหตุมีผล แต่เซ่าอี๋ไม่มีทางลืม แต่ว่าเขากลับไม่เตือนนาง
ในเมื่อเขารู้ว่าไม่สามารถใช้พลังมืดจู๋อินได้ นางก็แทบจะไม่มีความสามารถอะไรเลย แล้วเขาเรียกนางให้มาแก้ปัญหาร่างไร้วิญญาณนี่ได้อย่างไรกัน ก่อนหน้านี้ฝูชางมาแล้ว ทำไมเซ่าอี๋ถึงไม่ยอมขัดขวางเขาไว้ หรือว่าเพราะรู้ว่านางไม่มีความสามารถต่อสู้อะไร ถึงได้จงใจให้ฝูชางมาเป็นเพื่อนนางงั้นหรือ
เสวียนอี่มีแต่ความสงสัยในใจ เห็นพลังจู๋อินที่เหลือไม่มากกำลังจะถูกไอขุ่นมัวกลืนกิน นางจึงมีสีหน้าเคร่งเครียดฝืนแย่งเอาพวกมันกลับมา พริบตาเดียวรู้สึกว่าพลังเทพเหลือไม่ถึงครึ่งหนึ่งแล้ว มังกรน้ำแข็งที่กักมหาเทพอยู่เล็กลงไปมาก แสงสีขาวมากมายก็หายไปด้วย
นางรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีขึ้นมา รีบหันกลับไปมองฝูชาง ปราณกระบี่แปลงเป็นคลื่นกำลังต่อสู้พัวพันอยู่กับสัตว์ประหลาดอย่างดุเดือด ชุดสีขาวบนร่างของเขามีรอยเลือดเต็มไปหมด สัตว์ประหลาดกลุ่มนั้นเมื่อยังมีชีวิตยังต้องรวมกลุ่มนักรบกว่าหลายพันคนถึงจะฆ่ามันได้ เมื่อตายไปมันถูกไอขุ่นมัวของทะเลหลีเฮิ่นย้อมเข้าทำให้ยิ่งร้ายกาจกว่าเดิม ไอขุ่นมัวที่เข้มข้นขนาดนี้ เกรงว่าพลังเทพของฝูชางเองก็คงหมดไปพอประมาณแล้ว รวมกับบาดแผลที่ถูกไอขุ่นมัวเข้า ยิ่งไม่สามารถเคลื่อนไหวบุ่มบ่ามอะไรได้
ครั้นก้มหน้าลงไปมอง ศีรษะของมหาเทพที่ถูกแช่แข็งเริ่มขยับได้แล้ว นางไม่มีกำลังเหลือพอที่จะแช่แข็งเขาให้แน่นหนาขึ้น หากเป็นอย่างนี้ต่อไป ที่พยายามมาก่อนหน้านี้คงได้สูญเปล่าแน่
ขณะกำลังลังเล แขนพลันถูกคว้าเอาไว้ ฝูชางในชุดสีขาวที่แทบจะถูกย้อมไปด้วยเลือดพุ่งเข้ามา แล้วคว้านาง มุ่งไปทางริมขอบทะเลหลีเฮิ่นอย่างบ้าคลั่ง “ออกไปจากที่นี่!”
ออกไปหรือ แต่ว่าออกไปแล้ว ชิงเยี่ยนกับท่านพ่อก็คง…
เสวียนอี่หันหน้ากลับไปมองโดยไม่รู้ตัว แต่กลับเห็นว่าสัตว์ประหลาดกลุ่มนั้นกับฝางเฟิงซื่อที่ก่อนหน้านี้เอาแต่ไล่ตามฝูชาง ถูกมังกรสีทองขนาดใหญ่รัดเอาไว้ภายใน ไม่ว่าจะพยายามดิ้นรนอย่างไร ก็ไม่สามารถหลุดออกมาได้ เสียงคำรามดังสนั่นของฝางเฟิงซื่อแทรกเข้ามาในสมอง จนทำให้นางเวียนหัวตาลาย แม้แต่เกล็ดมังกรก็ยังต้านทานเสียงคำรามของมันเอาไว้ไม่อยู่
ฝูชางหอบหายใจหนัก ที่หน้าอกและแผ่นหลังของเขามีบาดแผลนับไม่ถ้วน ไอขุ่นมัวแทบจะเข้าไปภายในอวัยวะในร่าง เขากัดฟันแล้วเรียกฝักกระบี่ฉุนจวินกลับมา พลางลูบเอาเลือดจากบาดแผลสาดลงไปบนนั้นกำหนึ่ง ฝักกระบี่พลันกลายเป็นมังกรสีทองอร่ามตัวหนึ่งในพริบตา มันมุดเข้าไปในหมอกสีดำอย่างคล่องแคล่ว และเปิดทางหนีให้กับพวกเขา
เขากอดเสวียนอี่ไว้ในอ้อมอกแน่น น้ำเสียงดูเหนื่อยล้ามาก “พวกเราถอยก่อน ยังมีเวลาอีกมาก”
เลือดเทพที่ร้อนระอุหยดลงบนใบหน้าของนาง เสวียนอี่นิ่งอึ้งไปนาน พลันใช้มือกอดเขาเอาไว้แน่น
ไม่มีเวลานานขนาดนั้นแล้ว หากครั้งนี้ล้มเลิกกลางคัน จากนิสัยของเซ่าอี๋ที่นางรู้จัก เขาจะต้องเก็บเอาขนหัวใจหงส์ทั้งสามเส้นไปอย่างไม่ลังเลแน่นอน ท่านพ่อกับชิงเยี่ยนก็คงยากจะหนีพ้นจากหายนะนี้ได้ เดิมเขาไม่อยากจะให้เหล่าเทพรู้ความลับของทะเลหลีเฮิ่นอยู่แล้ว ถึงได้แอบกระทำการอย่างนี้ ตอนนี้ยังลากฝูชางเข้ามาเกี่ยวอีก เขาจะต้องไม่ปล่อยฝูชางไปแน่
เสวียนอี่รู้สึกแค้นใจตัวเองเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เกิดมาว่าทำไมไม่รู้จักเรียนวิชาการต่อสู้ ไม่อย่างนั้นอย่างน้อยนางก็ยังสามารถทุบให้มหาเทพกลายเป็นฝุ่นผงไปได้ ไม่ใช่เอาแต่อึ้งงันที่พลังเทพเหลือน้อย และมองฝูชางบาดเจ็บเพราะนางอย่างนี้
ไหล่นางถูกฝูชางออกแรงบีบแน่น แรงจากมือของเขาทำให้นางรู้สึกเจ็บปวดไปถึงกระดูก
“หากว่าข้าไม่ไหวแล้ว ต้องเชื่อฟัง ออกไปเองเสีย”
เขากล่าวไป เลือดสดๆก็หยดลงไปบนคอของนางไป
ออกไปเองหรือ จะเป็นไปได้อย่างไร คิดว่าเขาคงจะเสียสติไปแล้ว
นางไม่มีพลังมืดจู๋อิน แต่ว่าทะเลหลีเฮิ่นยังมีอีกมาก แม้ว่าจะถูกไอขุ่นมัวและพลังเทพคืนชีวิตย้อมเข้าจนเปลี่ยนไป แต่ว่ามันก็ยังคงเป็นพลังมืดจู๋อิน
เสวียนอี่มองไปยังหมอกสีดำมากมายเต็มท้องฟ้าและผืนดิน ในที่สุดนางก็เข้าใจว่า เซ่าอี๋เอาขนหัวใจหงส์สามเส้นให้นางนั้นเพื่อประโยชน์อะไร
นางกัดลิ้นจนแตกแล้วพ่นม่านพลังน้ำแข็งออกมา พร้อมกับฝืนผลักฝูชางจนล้มลงไปบนพื้น เดิมเขาก็ฝืนทนอาการบาดเจ็บหนักอยู่แล้ว เมื่อถูกนางใช้วิชาเวทผลักออกไปอย่างแรงกะทันหัน ทำให้เขาหมดสติไป เลือดสดๆย้อมไปบนทรายสีขาวจนกลายเป็นสีแดงอย่างรวดเร็ว ฝักกระบี่สีน้ำเงินร่วงลงไปข้างมือเขา
พื้นทรายพลันสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง เสวียนอี่เหลือบตามองไป เพราะฝูชางหมดสติไปแล้ว ฉุนจวินจึงไร้ฤทธิ์ไปด้วย เดิมสัตว์ประหลาดและฝางเฟิงซื่อที่ถูกกักขังอยู่ในที่ไกลๆก็กำลังไล่ตามมา
นางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วเรียกเอาหมอกสีดำข้างๆเข้ามาภายในร่างอย่างไม่ลังเล ไอขุ่นมัวเข้าไปในร่าง ราวกับชีพจรและอวัยวะทั้งห้าถูกเปลวเพลิงร้อนแรงแผดเผา นางหน้ามืดเป็นระยะๆ หยาดเหงื่อไหลจนชุ่มชุด
ไม่พอ ยังไม่พอ หากอยากจะทำลายร่างที่เป็นต้นตอของหายนะนั่นให้หมดไปได้ จะต้องแช่แข็งสัตว์ประหลาดกลุ่มนั้นเสียก่อน ดูดกลืนต่อไป ในทะเลหลีเฮิ่นมีหมอกสีดำมากมายขนาดนี้ พอที่จะให้นางใช้ได้
หยาดเหงื่อไหลลงไปจากใบหน้าลงไปตามลำคอ ไอขุ่นมัวเหล่านั้นปะทะกับแขนขา นางรู้สึกว่าหัวใจของนางเต้นเร็วมาก ราวกับกำลังจะปริออกมาอย่างไรอย่างนั้น
แสงสีทองสลับดำกลุ่มหนึ่งพลันพุ่งออกมาจากหัวใจของนาง ราวกับสายน้ำที่ไหลไปทั่วร่างกายของนางอย่างรวดเร็ว เสวียนอี่แยกไม่ออกแล้วว่านี่คือภาพมายาหรือว่าเกิดขึ้นจริงๆ ดวงตาของนางจับจ้องไปที่จุดเล็กๆไม่รู้ชื่อบางอย่างบนพื้น ในหูได้ยินเสียงดังอึงอล มีเพียงการดูดกลืนหมอกสีดำเท่านั้นที่ยังคงดำเนินต่อไป
ลมเย็นโถมเข้ามาปะทะหน้า สัตว์ประหลาดทั้งหลายเข้ามาใกล้ตรงหน้าแล้ว เสวียนอี่พ่นลมหายใจออกมา พายุหิมะสีดำสนิทมากมายมหาศาลอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนก็แทบจะพัดโหมอย่างบ้าคลั่ง ปีกปีกตี้เจียงสองคู่ที่เกือบจะตบถูกใบหน้าของนางก็เชื่องช้าลงไป พริบตาต่อมา น้ำแข็งราวกับผลึกแก้วสีดำก็แช่แข็งพวกมันเอาไว้อย่างแน่นหนา
หัวใจที่เต้นอย่างบ้าคลั่งค่อยๆหยุดลง ขนหัวใจหงส์เส้นหนึ่งช่วยสมานแผลที่หัวใจของนาง ความเจ็บปวดจากการปนเปื้อนไอขุ่นมัวที่แทบจะฉีกอวัยวะภายในร่างของนางก็สงบลงไป
เสวียนอี่ลุกขึ้นยืน ดีดปลายนิ้วออกไปหนึ่งครั้ง มังกรน้ำแข็งขนาดใหญ่สีดำแปดตัวก็ม้วนเอาสัตว์ประหลาดเหล่านั้นขึ้นมา นางค่อยๆเดินกลับไปช้าๆแล้วดูดเอาหมอกสีดำเข้าไปต่อ
เป็นครั้งแรกที่นางพบว่าตัวเองกล้าหาญได้ถึงขนาดนี้ ราวกับไม่กลัวความเจ็บปวดสักนิด และไม่ได้เห็นแก่ตัวจนหนีเอาชีวิตรอด
ระเบียบสวรรค์หรือ นั่นมันคืออะไรกัน มันไม่มีทางที่จะทำให้นางยอมเอาชีวิตมาเสี่ยงได้อย่างนี้แน่ ที่นางมายืนอยู่ตรงนี้ ก็เพียงเพราะชิงเยี่ยนเท่านั้น คิดว่ายังมีอีกส่วนเล็กๆที่เพื่อท่านพ่อด้วย และตอนนี้ก็เพื่อฝูชางอีกคน
หมอกสีดำที่คอยขัดขวางอยู่ตรงหน้าถูกดูดกลืนเข้าไปหมด เสวียนอี่รู้สึกว่านางราวกับกำลังเดินไปบนคมมีดทุกย่างก้าว ในฐานะที่เป็นตระกูลจู๋อินนั้นก็ยังดี ที่ไม่ดีอย่างเดียวก็คือเพราะเกล็ดมังกร ทำให้ความทนทานต่อความเจ็บปวดของพวกเขาไม่ดีนัก มหาเทพจงซานที่เก่งกาจ องค์ชายน้อยที่มีพรสวรรค์ในการบำเพ็ญตบะ เมื่อถูกเอาขนหัวใจใส่ลงไป มหาเทพตระกูลชิงหยางสร้างแผลไว้ที่หน้าอกก็ทำให้พวกเขาหมดสติไปได้แล้ว ช่างไร้ประโยชน์จริงๆ
พูดถึงความอดกลั้นต่อความเจ็บปวด ยังต้องเรียนรู้จากคนไร้ประโยชน์อย่างนาง คิดว่านางคงเป็นองค์หญิงของตระกูลจู๋อินเพียงคนเดียวที่ไม่ทันไรก็มักจะทักทายกับอาการบาดเจ็บอยู่เสมอ
ดังนั้น ความเจ็บปวดจากการที่ถูกไอขุ่นมัวแผดเผาอวัยวะภายในและชีพจรไม่นับเป็นอะไร ไม่นับเป็นอะไรจริงๆ
บนพื้นทรายที่ว่างเปล่า มหาเทพที่หลุดออกมาจากน้ำแข็งกำลังยืนเอามือไพล่หลัง ครั้นได้ยินเสียงฝีเท้า เขาก็หันกลับมาแล้วนิ่งไปนาน ร่างที่เป็นต้นตอของหายนะทะเลหลีเฮิ่นร่างนี้พลันเอ่ยปากกล่าวว่า “ข้าจะมีชีวิตต่อไป”
เสวียนอี่พ่นลมหายใจออกมา พายุหิมะสีดำสนิทห่อหุ้มร่างของเขาเอาไว้ภายใน นางกล่าวเสียงเรียบว่า “ท่านมีชีวิตอยู่ภายนอกนั่นแล้ว มีชีวิตอย่างดีเลยล่ะ”
ไม่เพียงแต่จะเจ้าชู้เสเพล ยังเหี้ยมโหดมากด้วย อาศัยพลังมหาเทพ อยากจะแก้แค้นเขาก็ยังยาก
พายุหิมะยังไม่รุนแรงพอ นางจะต้องแช่แข็งเขาเอาไว้อย่างแน่นหนาจนพลิกสถานการณ์ไม่ได้อีก
หมอกสีดำพุ่งเข้ามาในร่างราวกับสายน้ำ เสวียนอี่พลันรู้สึกว่าผมนางเองก็ชุ่มไปด้วยเหงื่อแล้ว ที่หน้าอกมีแสงสีทองวาบออกมาอีกครั้ง ขนหัวใจเส้นที่สอง
เซ่าอี๋ที่ไร้ประโยชน์ แค่อาการเจ็บเท่านี้ก็ทนไม่ได้แล้ว
มังกรน้ำแข็งสีดำสนิทสิบตัวถูกเรียกออกมา มันกลายเป็นมีดน้ำแข็งสีดำราวกับผลึกแก้วมากมายจนมืดฟ้ามัวดิน มันแทงทะลุร่างของมหาเทพที่สมานแผลซ้ำไปมา ทำลายยากจริงๆ ท่านปู่ทวดคนนั้นของนางสู้กับตระกูลชิงหยางจนต่างฝ่ายต่างดับสูญได้อย่างไรกัน
หมอกสีดำถูกดูดกลืนเข้าไปในร่างตลอด มากจนกระทั่งเสวียนอี่รู้สึกว่าหัวกำลังจะระเบิดแล้ว แต่ก็ยังไม่พอ ไม่พอ ไม่อย่างนั้นก็ดูดกลืนเอาทั้งทะเลหลีเฮิ่นเข้าไปเลยแล้วกัน เจ้าสารเลวเซ่าอี๋นั่นใช้ทุกวิถีทางมาข่มขู่นาง ตอนนี้ยังอยู่ด้านนอกคอยดูเรื่องสนุกอีก นางจะต้องทำให้เขาเจ็บปวดทรมานอย่างตายแล้วเกิดเกิดแล้วตายถึงจะได้