บุหลันเคียงรัก - บทที่ 146 ตัดสัมพันธ์
หน่วยอู้เฉินยังคงสู้อยู่กับราชาจื่อโฉ่ว ไม่มีใครสังเกตเห็นถึงความผิดปกติไปของทะเลหลีเฮิ่นเลย
เซ่าอี๋กอดอกแล้วจ้องไปยังทะเลหลีเฮิ่นที่หมอกสีดำกำลังม้วนตัวอยู่ สีดำสนิทลึกล้ำของมันจางลงไปมาก ในที่สุดปลาดุกอุยน้อยก็เข้าใจถึงประโยชน์ของขนหัวใจหงส์ทั้งสามเส้นแล้ว
หยาดเหงื่ออุ่นร้อนไหลลงไปตามโครงหน้าและเข้าไปในปกเสื้อ ชุดคลุมยาวสีดำของเขาเปียกชุ่มไปนานแล้ว ความรู้สึกที่ไอขุ่นมัวเข้าไปในนั้นร่างกระทั่งเขาเองยังรู้สึกราวกับกำลังจะดับสูญ
แต่ว่า รออีกหน่อย ยังเหลือขนหัวใจหงส์เส้นสุดท้าย ซากศพร่างนั้นยังไม่สลายไปหมด
เขาหลับตาลง อัญมณีสีแดงเพลิงที่หน้าผากกะพริบวาบอย่างรุนแรง พยายามยามปล่อยพลังของมหาเทพออกมา ความสัมพันธ์กับความยึดติดราวกับเส้นด้ายนั่นกำลังจะขาดลงแล้ว แต่ตั้งแต่ต้นจนจบเขากลับไม่สามารถสื่อสารหรือควบคุมมันได้จริงๆ คิ้วเขาขมวดแน่นขึ้นเรื่อยๆ อย่างอดไม่ได้
ด้านหลังพลันมีเสียงฝีเท้าวุ่นวายดังขึ้น จากนั้นก็มีมือสองข้างมาคว้าปกเสื้อของเขาอย่างไม่เกรงใจ ใบหน้าขาวซีดของชิงเยี่ยนปรากฏเข้ามาในระยะสายตา เพราะเจ็บปวด ลมหายใจของเขาจึงหอบหนักขึ้น หากแต่แววตากลับเยือกเย็นล้ำลึกไปถึงกระดูก น้ำเสียงแฝงไปด้วยไอสังหาร “…เจ้าให้อาอี่เข้าไปในทะเลหลีเฮิ่นหรือ”
ตอนที่เขากำลังรับมืออยู่กับราชาหูเซิน จู่ๆ ก็ได้รับภาพวาดหัวใจขนหงส์แผ่นหนึ่งมา บนนั้นยังเขียนชื่อเสวียนอี่สองคำนี้เอาไว้ด้วย เขาจึงเข้าใจทันทีว่าตระกูลชิงหยางเริ่มลงมือแล้ว หลายปีมานี้เขาพยายามบำเพ็ญตบะอย่างไม่รู้วันรู้คืน ก็เพื่อวันนี้
อยากจะแก้ไขทะเลหลีเฮิ่นนั้นไม่มีปัญหา ขอเพียงเมื่อจบเรื่องแล้วต้องตัดสัมพันธ์หัวใจไป ต่อให้เขาดับสูญในทะเลหลีเฮิ่นก็ไม่เป็นไร
แต่เขากลับคิดไม่ถึงว่า เป้าหมายของเซ่าอี๋ไม่เคยเป็นเขากับท่านพ่อ เป้าหมายของเขานับตั้งแต่แรกก็คือเสวียนอี่
ชิงเยี่ยนหันหน้ากลับไปมองสีของทะเลหลีเฮิ่นที่จางลงไปมาก สีหน้าเศร้าสร้อย เขาปล่อยเซ่าอี๋แล้วหมุนตัวเดินไปทางทะเลหลีเฮิ่น เดินไปไม่กี่ก้าวกลับปะทะเข้ากับม่านพลังไร้รูป เซ่าอี๋กล่าวเสียงเรียบว่า “ข้ารับปากปลาดุกอุยน้อยไว้ว่าไม่ว่าจะสำเร็จหรือไม่ก็ต้องส่งพวกเจ้ากลับไปเขาจงซาน ทางที่ดีองค์ชายน้อยอย่าสร้างปัญหาเพิ่มเลย”
ชิงเยี่ยนกล่าวอย่างเคร่งเครียดว่า “เจ้าคิดว่าหากอาอี่ดับสูญไป เจ้าจะยังมีชีวิตอยู่ได้หรือ”
หากว่าไม่ใช่เพราะเขาไม่ยอมตัดสัมพันธ์ขนหัวใจหงส์กับเสวียนอี่ ตนคงฉีกเขาเป็นชิ้นๆ ไปนานแล้ว
เสียงของเซ่าอี๋ยังคงราบเรียบ “ข้าจะพยายามไม่ให้นางดับสูญ”
แววตาของชิงเยี่ยนเยียบเย็นดุจน้ำแข็ง “ต่อให้นางไม่ดับสูญ แต่เจ้าคิดว่าตระกูลจู๋อินจะยอมปล่อยเจ้าไปหรือ”
เซ่าอี๋หรี่ตาลงแล้วพลันยกแขนขึ้น ใช้ศอกกระทุ้งใส่อกของชิงเยี่ยน เดิมเขาถูกขนหัวใจหงส์ของตระกูลชิงหยางดึงไว้อยู่แล้ว ทรวงอกเจ็บปวดทรมานมาก เมื่อถูกเขากระทุ้งเข้าใส่ก็รู้สึกราวกับจะหยุดหายใจ เขาหน้ามืดแล้วล้มลงไปที่พื้น
“องค์ชายน้อยกังวลกับน้องสาวตัวน้อยของตัวเองก่อนเถอะ” เซ่าอี๋เบนสายตาไปไม่มองเขาอีก หยาดเหงื่อไหลลงไปที่ปลายคางและเข้าไปในปกเสื้อ “ภายในหนึ่งเค่อหากว่ายังจัดการไม่ได้ ข้าจะตัดสัมพันธ์ขนหัวใจเส้นสุดท้ายแล้ว”
เขารู้สึกใกล้จะดับสูญแล้ว ปลาดุกอุยน้อยพอบ้าคลั่งขึ้นมาก็ดุดันน่าดู คิดจะดูดกลืนทั้งทะเลหลีเฮิ่นอย่างนั้นหรือ ยอดเยี่ยม
หยาดเหงื่อผุดพรายมากขึ้นเรื่อยๆ ผมของเขาเปียกชุ่มไปหมด ปากซีดขาวราวกับหิมะ ฝ่ามือกุมที่อก หัวใจแทบจะดีดขึ้นมาถึงคอหอยแล้ว แผ่นหลังพลันรู้สึกเจ็บปวดราวกับถูกฉีกกระชาก ตามมาด้วยขาขวา ขาซ้าย ข้อต่อ…ร่างทั้งร่างราวกับกำลังจะแยกออกจากกัน นางอายุน้อยเกินไปทำให้ร่างกายไม่สามารถรับพลังมืดจู๋อินที่มากมายมหาศาลขนาดนั้นได้ไหว
กำลังจะดับสูญ
เซ่าอี๋หลับตาลง เขาแทงนิ้วเข้าไปในอกแล้วคีบเอาประกายแสงสีทองสลับดำนุ่มนวลสายหนึ่งออกมา ปลายนิ้วบิดอย่างไม่ลังเล ราวกับมีแสงที่มองไม่เห็นถูกตัดขาดไปอย่างรวดเร็ว ร่างของเขาผ่อนคลายลงไปในพริบตา ขนหัวใจเส้นที่สามขาดแล้ว หัวใจสองดวงที่เป็นหนึ่งของพวกเขาก็จบกันเท่านี้
เขาก้มตัวลงดึงเอาชิงเยี่ยนที่หมดสติไปขึ้นมา แล้วเดินเข้าไปในทางลับโดยไม่หันกลับมามอง รถคันยาวห้าสียังคงจอดนิ่งอยู่ในป่า เหล่าเทพขุนนางคารวะเขาอย่างเคารพนบนอบ “องค์ชายน้อยจู่ๆ ก็ได้สติขึ้นมาแล้วบุกเข้าไป ข้าน้อยไม่กล้าขัดขวาง ไปรบกวนท่านชายแล้ว ขอท่านชายอภัยด้วย”
เซ่าอี๋จับชิงเยี่ยนโยนเข้าไปในตัวรถ “ส่งเขากลับเขาจงซาน แล้วจัดการปิดผนึกทางโบราณของโลกเบื้องล่างทั้งหมดเสีย”
“ขอรับ” เหล่าเทพขุนนางขี่รถออกไปจากป่าทันทีโดยไม่ลังเลใจแม้แต่น้อย
เซ่าอี๋เช็ดเหงื่อที่ยังเหลืออยู่บนใบหน้า แสงจากอัญมณีสีแดงเพลิงที่หน้าผากก็ค่อยๆ จางลง เขากับความยึดติดที่คล้ายมีคล้ายไม่มีนั่นได้ตัดขาดจากกันจริงๆ แล้ว จะสำเร็จหรือไม่ก็คงต้องอยู่ที่โชคชะตาแล้ว เขาจะรออยู่ที่นี่จนกว่าจะได้เห็นผลลัพธ์ด้วยตาตัวเอง
…
มังกรน้ำแข็งทั้งหนึ่งร้อยแปดตัวกลายเป็นมีดน้ำแข็งฟันไปยังมหาเทพที่ถูกแช่แข็งตรงหน้าจนไม่เหลือชิ้นดี แต่ว่าเขากลับยังคงไม่ได้ถูกทำลายจนหายไป
เสวียนอี่หอบหายใจหนัก การต้องใช้พลังเทพอีกครั้งทำให้นางรู้สึกหน้ามืดขึ้นมาเป็นระยะๆ นางจ้องไปที่ใบหน้าเรียบเฉยของมหาเทพ สุดท้ายก็รู้สึกจนปัญญาขึ้นมา นางไม่ได้ทุ่มเทสุดแรงหรือ หรือว่าร่างนี้ไม่ได้ทำลายได้ง่ายอย่างที่เซ่าอี๋กล่าวเอาไว้
นางยกมือขึ้นลูบที่อก ขนหัวใจหงส์เส้นที่สามถูกตัดขาดแล้ว นี่หมายความว่าหากนางยังดูดเอาไอขุ่นมัวเข้าไปต่อ นางก็จะดับสูญแล้วจริงๆ
นางเตรียมใจที่จะดับสูญไว้แล้ว แต่ว่าก่อนหน้านี้ นางจะต้องส่งฝูชางออกไปเสียก่อน
เสวียนอี่หันหลังอย่างยากลำบาก กระบี่ฉุนจวินสีน้ำเงินตกอยู่บนพื้นทรายไม่ไกลนัก ขาทั้งสองอ่อนแรง นางเดินเข้าไปทีละก้าวอย่างเชื่องช้า กำลังจะค้อมเอวลงหยิบกระบี่ขึ้นมา กระบี่วิเศษของสวรรค์เล่มนี้พลันออกมาจากฝักแล้วกลายเป็นแสงสีทองทันที มังกรสีทองขนาดใหญ่ปรี่เข้าไปหาร่างของมหาเทพที่ถูกมังกรน้ำแข็งสีดำสนิทรัดเอาไว้ แสงสีทองแผ่ขยาย คลื่นน้ำมากมายกลืนกินมหาเทพและมังกรน้ำแข็งไป
คลื่นน้ำมากมายขนาดนี้…นางหอบหายใจ แล้วหันกลับไปอีกครั้ง จึงเห็นฝูชางที่ก่อนหน้านี้ถูกนางใช้ม่านน้ำแข็งผลักจนหมดสติไปกำลังนั่งเหยียดตัวตรง มือกุมบาดแผลที่ท้อง ดวงตาทั้งสองจับจ้องมาที่นาง แววตาของเขาลึกล้ำจนไม่รู้ยินดีหรือโมโห
ปราณกระบี่แปลงเป็นคลื่นน้ำกดลงไปที่ร่างของมหาเทพซ้ำแล้วซ้ำเล่า มังกรน้ำแข็งสีดำถูกรัดจนแตกเป็นเศษน้ำแข็งไปแล้ว มหาเทพถูกคลื่นน้ำสีทองฟันซ้ำไปมาไปนับครั้งไม่ถ้วน ทันใดนั้นก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ เรือนผมยาวกลายเป็นสีเทาเข้มทีละชุ่น ตามมาด้วยกะโหลก บ่า แขน…
เสวียนอี่จ้องมองร่างที่ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ทำลายไม่ได้เสียทีร่างนั้น ในที่สุดก็ค่อยๆ สลายไปในหมอกสีดำสนิทไร้ประกายของทะเลหลีเฮิ่น จู่ๆ ก็มึนงงสับสนไป ชั่วขณะนั้นยังไม่ทันจะรู้สึกยินดี
สำเร็จแล้วหรือ ในที่สุดร่างนี้ก็ถูกทำลายลงแล้วหรือ แต่กลับไม่ใช่นางที่ทำลายมัน แล้วก่อนหน้านี้ที่นางพยายามมานางทำอะไรกันแน่ ต้องมองเขาแย่งเอาผลงานไปต่อหน้าต่อตาอย่างนี้เลยหรือ
นางมองไปที่ฝูชางอย่างอดไม่อยู่ เขาหมดสติไปแล้วทำไมไม่หมดสติไปดีๆ เล่า เมื่อได้สติขึ้นมาก็แย่งเอาผลงานที่นางพยายามอยู่นานไปเลย!
เขายังคงนิ่ง แววตาทั้งสองจับจ้องมาที่นาง มองเสียจนนางขนหัวลุกชัน
เจ้าใจกล้ามากนะ แววตาของเขากำลังพูดว่าอย่างนี้
เขาต่างหากที่เรียกว่าใจกล้า ถึงกับมาแย่งผลงานของนางไป เสวียนอี่ซวนเซ ขานางไร้เรี่ยวแรงแล้วจริงๆ ร่างจึงอ่อนยวบล้มลงไปบนพื้นทรายอย่างแผ่วเบา นางเหนื่อยมาก ต้องพักสักหน่อยแล้ว ไม่รู้ว่าวันนี้ดูดกลืนเอาไอขุ่นมัวเข้าไปมากมายขนาดนี้จะเกิดผลอะไรบ้าง ร่างของนางหนักอึ้ง หนักอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อนเลย
ลมบริสุทธิ์พัดมา มังกรทองขนาดใหญ่พุ่งมาหานาง มันอ้าปากสีทองอร่ามของมันราวกับจะกลืนนางลงไป นางไม่มีแรงจะต่อต้านแล้วจริงๆ จะกัดก็กัดเถอะ จะกลืนก็กลืนเลย จะขังไว้ในฉุนจวินก็ขังเถอะ นางไม่เชื่อว่าเขาจะไม่ปล่อยนางออกมา
ฉุนจวินพลันหยุดนิ่งข้างกายนางราวกับลังเลอะไร ดวงตาสีทองที่เยือกเย็นทั้งสองจับจ้องไปที่นางเขม็ง และวนเวียนไปมารอบร่างนางอย่างสงสัย
ดูอะไรเล่า ไม่เคยเห็นองค์หญิงที่กล้าหาญงดงามใจดีอย่างนางหรืออย่างไร นางแทบจะต้องดับสูญไปเพื่อปกป้องระเบียบสวรรค์แล้ว ยังเกือบดับสูญไปถึงสามครั้ง เสวียนอี่ทิ้งความคิดก่อนหน้านี้ไปหมด และพยายามคิดว่าตนนั้นทำไปเพื่อรักษาระเบียบสวรรค์
ฝูชางท่องคาถา มังกรทองก็อ้าปากกว้างแล้วกลืนนางลงไป เสวียนอี่รู้สึกเบื้องหน้าเต็มไปด้วยแสงสีทองประกาย มันสว่างเสียจนตานางแทบจะบอด จึงรีบใช้แขนเสื้อปิดตาเอาไว้ แล้วค่อยๆ หมดสติไปช้าๆ นางเหนื่อยมาก ต้องนอนสักระยะแล้ว
มังกรทองกลายเป็นกระบี่วิเศษสีน้ำเงินกลับเข้ามาในฝ่ามือของฝูชาง เขาลูบกระบี่คู่กาย นางอยู่ในกระบี่ฉุนจวินดีกว่า ไม่ต้องออกมาแล้ว
ครั้นโบกมือคราหนึ่ง ฝักกระบี่ก็กลายเป็นมังกรทองขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ตัวหนึ่ง ทำลายหมอกสีดำและมุ่งไปข้างหน้า ไม่รู้ว่าเขารู้สึกไปเองหรือไม่ แต่เหมือนว่าหมอกสีดำของทะเลหลีเฮิ่นจะเบาบางลงไปมาก ทำลายหมอกสีดำง่ายดายกว่าก่อนหน้านี้มากจนแทบจะไม่ต้องออกแรง
ไม่ไกล ฝางเฟิงซื่อและเหล่าสัตว์ประหลาดเหล่านั้นที่ถูกแช่แข็งไว้พลันเคลื่อนไหว ฝูชางกำลังจะส่งฉุนจวินออกไป กลับพบว่าพวกมันไม่ได้สนใจตนเองทางนี้เลย แต่กลับมุ่งไปนอกทะเลหลีเฮิ่น เกรงว่าหน่วยอู้เฉินคงได้มีการต่อสู้ที่เลวร้ายอีกครั้งแล้ว
เขากดบาดแผลที่ลึกที่สุดตรงช่วงท้องเอาไว้ หัวคิ้วขมวดมุ่น แล้วเดินตามฝักกระบี่ที่แหวกทางไว้ออกไปช้าๆ